
เนื่องด้วยสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ.นำโดย ท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เดินทางไปไต้หวันโดยการเชิญของชาวไต้หวัน คุณวิเซนต์ เพื่อเผยแพร่พระธรรมทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน ตั้งแต่วันที่ 3- 12 กันยายน 2561 ซึ่งนับว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งที่แสงของพระธรรมส่องไกลถึงผู้สะสมปัญญามา จะสมมติเรียกว่าชาวอะไร ก็ไม่พ้นจากขณะจิตที่เป็นไป และได้เข้าใจพระธรรมอันเป็นขณะที่ประเสริฐที่สุด
ซึ่งมีชาวไต้หวันได้รับประโยชน์อย่างมากและสนใจเข้าใจพระธรรมที่ท่านอาจารย์สุจินต์กล่าวตามคำของพระพุทธเจ้าไว้ดีแล้ว และ สิ่งที่ไม่น่าเชื่อและเป็นโอกาสอันดีของพระธรรมที่ไต้หวันที่ไม่ใช่เฉพาะการเผยแพร่พระธรรมที่เป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่สิ่งอัศจรรย์อันเกิดจาความถึงพร้อมตามเหตุปัจจัย ก็ได้มีการสนทนาธรรมเป็นภาษาไทยที่ไต้หวัน ซึ่งเป็นประโยชน์กับชาวไทย ที่จะได้ฟังพระธรรมที่เข้าใจตามภาษาตน ถ่ายทอดทางยูทูปและเฟสบุ๊ค

ที่มาที่ไปที่อัศจรรย์ของการเดินทางไปไต้หวันกลุ่มสนทนาธรรมภาษาไทย ขอเล่าที่มาที่ไปให้ทราบกันครับ เดิมทีเริ่มแรกทางไต้หวันเรียนเชิญท่านอาจารย์สุจินต์ไปสนทนา ตั้งแต่วันที่ 3-15 กันยายน 2561 และมีโปรแกรมเที่ยว หลังจากสนทนาจบในวันที่ 9 กันยายน 2561 คือ เที่ยว 9-15 กันยายน 2561 ทางพี่เล็ก สุรภา และกลุ่มที่เดินทางไปประจำและเป็นผู้จัดการเดินทางไปต่างประเทศที่ต่างๆ เช่น อินเดีย ศรีลังกา อินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า เป็นต้น ให้กับ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา จึงอยากร่วมไปเที่ยวด้วยกับคณะท่านอาจารย์สุจินต์ ในโปรแกรมเที่ยวอย่างเดียว ทางกลุ่มจึงจองตั๋วระหว่างวันที่ 9-15 กันยายน 2561 ประมาณ 20 คน แต่ปรากฏว่าอีกหนึ่งเดือนต่อมาทางไต้หวันเปลี่ยนกำหนดการ เพราะยาวเกินไปจากเดิม 3-15 กันยายน 2561 เหลือ จบถึงแค่ วันที่ 12 กันยายน ทางผมก็จะขอเลื่อนตั๋ว แต่ทางสายการบินต้องปรับค่าใช้เกือบทั้งหมดหากยกเลิกเปลี่ยนวันที่ของตั๋ว ทำให้เปลี่ยนไม่ได้ ทางพี่เล็กสุรภา จึงขอเชิญท่านอาจารย์สุจินต์อยู่ต่อพักผ่อน ท่องเที่ยวและสนทนาภาษาไทย ในวันที่ 12-15 กันยายน 2561 ตามตั๋วที่จองไปแล้ว 9-15 กันยายน 2561 จึงเป็นที่มาที่ไปของการเกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์ของกลุ่มสนทนาธรรมภาษาไทยที่ไต้หวัน

ธรรมเป็นเรื่องปกติ เบาสบายด้วยความเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรมเกิดแล้ว กุศล อกุศล ไม่พ้นจากความเป็นธรรม ผู้ที่จะอบรมปัญญาเข้าใจถูก คือ ต้องเป็นปกติ ไม่ไปทำอะไรที่ผิดไปจากที่เคยเป็นในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น ขณะที่เที่ยว มีจริงเกิดแล้ว เพราะไม่พ้นจากธรรม ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ปัญญาสามารถเกิดได้รู้ความเป็นปกติของธรรมที่กำลังมี กำลังปรากฏที่สมมติว่าเป็นการเที่ยวได้ เพราะฉะนั้นกระทู้นี้ จึงเป็นกระทู้สบายๆ ปกติ ที่จะแนะนำผู้ที่ไม่เคยไปไต้หวัน และที่เคยไปไต้หวันแล้ว ได้รับข้อมูลและคำแนะนำในการไปสถานที่เที่ยวต่างๆ เพื่อประโยชน์กับคณะสมาชิกชมรมบ้านธัมมะที่จะเดินทางไปไต้หวันอีกหลายครั้งได้ประโยชน์จากกระทู้นี้ รวมทั้งสอดแทรกการสนทนาธรรมภาษาไทย ที่เนื้อหาสาระดีมากๆ ในกระทู้นี้เพื่อประโยชน์กับผู้อ่านได้เข้าใจพระธรรมตามความเป็นจริงตามกำลังปัญญาของแต่ละคน ซึ่งในปีหน้าทางไต้หวันก็ได้เชิญท่านอ.สุจินต์ ในวันที่ 5- 16 กันยายน 2562 ที่เป็นการสนทนาภาษาจีนและภาษาอังกฤษ และ ทางพี่เล็กสุรภา ก็ได้เชิญท่านอ.สุจินต์ ตั้งแต่ตอนอยู่ที่ไต้หวันคราวนี้ พักผ่อน ท่องเที่ยวและสนทนาธรรมภาษาไทย ต่อจากวันที่ 16 ถึงประมาณวันที่ 19 กันยายน 2562 เรียบร้อยแล้ว นับว่าการเดินทางไปไต้หวันปีนี้และปีหน้า ก็จะได้ประโยชน์กับผู้ที่เข้าใจธรรมแต่ละภาษาได้ครบถ้วน
ท่านอาจารย์และสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ออกเดินทางไปตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2561 ส่วนทางคณะพี่เล็กสุรภา ตามไปในวันที่ 9 กันยายน 2561 คณะเราทั้งหมด 21 ท่าน คุณป้าเดือนฉาย กับ คุณป้าวรจินต์ (คุณป้าตุ้ม) สมทบมาสองท่านสุดท้าย ได้อ่านโปรแรกมว่ามีเที่ยวและสนทนาภาษาไทย คุณป้าเลยไม่พลาด ก็โอเคครับ ไปไหนไปกัน ไปที่ชอบที่ชอบตามเหตุปัจจัย ก่อนมาเช็คสภาพอากาศ ฝนจะตก ช่วงวันแรกๆ คือ วันที่ 10 และ 11 แต่หลังจากที่ไปรับท่านอาจารย์ที่ไทเป ในวันที่ 12-15 กันยายน 2561 ที่จะพาท่านเที่ยว พักผ่อน และสนทนาภาษาไทย ไม่มีฝน อากาศช่างเป็นใจ
พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งแต่เช้ากันครับ เดินทางไปไต้หวัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ สามชั่วโมงครึ่ง เวลาบ้านเขาเร็วกว่าเราหนึ่งชั่วโมง ครับ เช็คอินกันเรียบร้อย ถ่ายรูปกับยักษ์ก่อน แล้วก็ต่างคนต่างเข้าไป ช็อปปิ้งตามอัธยาศัย ตามโลภะ ตามธรรมทำกิจหน้าที่ ที่เป็นปกติเป็นธรรมไม่ใช่เรา
สามชั่วโมงครึ่งผ่านไป โดยสายการบิน การบินไทย เราเดินทางมาถึงไต้หวันเวลาบ่ายโมงของเวลาไต้หวัน ไต้หวันเป็นเมืองสะอาดครับ คล้ายๆ ญี่ปุ่นเลย อาหารการกินอร่อยมากๆ ไม่เค็ม (โดยทัวร์ไต้หวันเลือกจัดสรรให้ในร้านอร่อยๆ ) และ ขนมก็อร่อยไม่หวาน ทางทัวร์ไต้หวัน จะพาเราไปทานอาหารร้านอร่อยๆ จัดเต็มทุกมื้อ
การเดินทางมาไต้หวันของกลุ่มคนไทยครั้งนี้ ได้จ้างบริษัททัวร์มืออาชีพของไต้หวัน ซึ่งมีทั้งไกด์ชาวไต้หวัน คือ คุณวันชัย ที่พูดและฟังภาษาไทยได้ และ ได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับท่าน อ.สุจินต์ด้วยและได้เพิ่มความเข้าใจธรรมที่ถูกต้องที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน รวมทั้งมีไกด์คุณโจโจ้ ไกด์คนไทยมืออาชีพมาช่วยดูแลอีก เพื่อความสะดวกเรียบร้อยของทัวร์ทั้งหมดและคุณโจโจ้ก็ได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับท่านอ.สุจินต์เช่นกัน นับว่าเป็นประโยชน์กับทั้งสองท่านที่ทำหน้าที่ไกด์ ช่วยเหลือกลุ่มและได้ทำหน้าที่ของการได้เกิดเป็นมนุษย์ที่มีค่าที่สุดคือ การได้ฟังพระธรรม เข้าใจพระธรรม
เดินทางขึ้นรถกันแล้ว คุณวันชัยก็เสริฟของว่างก่อนทานอาหาร คือ ชานมไต้หวัน ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อและควรแก่การดื่มและซื้อไปฝาก รสชาติอร่อยมาก ไม่หวาน หอม และทานแล้วไม่มีปัญหานอนไม่หลับ ครับ หาซื้อได้ที่ร้านสะดวกซื้อของไต้หวัน ครับ นี่คือชานม ที่ทีมคณะเราซื้อกันมา เยอะแยะมากมาย เอากลับบ้านกัน
สำหรับเรื่องอาหารแล้ว มาไต้หวันทั้งทีถ้าพลาดเมนูเด็ดของไต้หวัน ก็เหมือนมาไม่ถึง ซึ่งหนึ่งในเมนูที่เป็นที่นิยมอันดับต้นๆ คงหนีไม่พ้น “ชาบูหม้อไฟสไตล์ไต้หวัน” หรือที่เรียกกันว่า หม่าล่า (Mala) ซึ่งมีร้านชาบูอยู่เยอะมากๆ เรียกได้ว่าเดินไปตามถนนบางย่านเจอเยอะพอๆ กับร้านสะดวกซื้อเลย ครับ แต่จะมีเจ้าไหนอร่อยดังๆ คุ้มค่า
หิวกันแล้ว มื้อแรกที่ผมจองอาหารให้ ที่เรียกว่า วัยรุ่นคนไทยและคนไทยที่มาไต้หวัน คือ ชาบูไต้หวัน คนไต้หวันชอบทางชาบู ครับ ลวกๆ จิ้มๆ แต่ ร้านที่มีชื่อเสียง และ คุ้มค่า ที่จองไว้ ชื่อ Mala Yuanyang Hotpot สาขา ximen พิกัดนี้เลย : https://goo.gl/maps/zB7ir
ร้านนี้เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ กินได้ไม่อั้น ภายในเวลา 2 ชั่วโมง แต่ถ้ามาเองต้องต่อคิวคนเยอะมากครับ แต่มากับทัวร์ไต้หวัน สบายเขาล็อกที่ให้ ไปถึงก็ทานได้เลย อาหารทะเลไม่อั้น อื่นๆ อีกมากมาย ไอศครีมอร่อยมากๆ ไม่อั้น Haagen-Dazs 4 ตู้ 16 รส และมี Movenpick อีก 2 ตู้ 8 รส
เลยบอกกับสายแข็งทั้งหลาย มี พี่วรรณีและพี่หญิง คุณป้าเดือนฉาย เป็นต้น ทานให้คุ้ม

ซุปมาแล้วครับ ทางซ้ายเป็น Vegetable Energy Soup รสออกจืดๆ หวานนิดๆ ติดปลายลิ้นเวลาทานเราจะเอาผัก ลูกชิ้น หรืออะไรที่ต้องใช้เวลาต้มแช่ไว้ฝั่งนี้ ครับ ส่วนอีกซุปหนึ่ง เรียกว่า ซุปหม่าล่า มีรสชาติเผ็ดนะครับ แต่ แล้วแต่จะเติมให้เผ็ดมากหรือเผ็ดน้อย ซุปหมาล่า คือ ซุปที่ใส่ฮวาเจียว (พืชชนิดหนึ่ง) รสชาติเผ็ดแบบชาๆ ลิ้น ไม่ใช่เผ็ดร้อนแบบบ้านเรา อีกด้านหนึ่ง คือ Mala Spicy Soup สีโหดมากนะของจริง แค่ดมก็เผ็ดแล้วเราใช้แกว่งเนื้อในนี้ จะได้มีรสชาติและไม่เลี่ยน รสชาติน้ำซุปเผ็ดๆ อร่อยๆ
ถ้าพูดถึง ฮวาเจียว หรือ มะแขว่น ชื่อ ภาษาอังกฤษ (Zanthozylum limonella Alston) ชาวเหนือ หรือ แถบอีสานตอนเหนือ น่าจะรู้จักดี เพราะเจ้า ฮวาเจียว เนี่ย นิยมนำมาทำอาหาร เช่น ย่าง ต้ม ทอด คั่ว แล้วแต่จะปรุงเลยล่ะ รูปลักษณ์ของมันจะคล้ายๆ พริกไท แต่รสชาติแตกต่างกับพริกไท ด้วยเอกลักษณ์ เฉพาะตัวของเจ้า ฮวาเจียว เนี่ย มันจะมีความรู้สึก หอม เผ็ด ชาลิ้น เหมือนรู้สึกซ่าๆ หน่อย แต่เวลาทำประกอบ อาหารนี่เข้าท่า แถมเป็น หัวใจของ เมนู หม่าล่า เลยทีเดียวเพราะถ้าขาดมัน หม่าล่า จะไม่อร่อยเลย

เทคนิคการกินสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับน้ำซุปหมาล่า คือ แค่เอาเนื้อต่างๆ ไปแกว่งๆ ในน้ำซุปหมาล่าให้สุกก็พอ ไม่ควรเอาผักลงไปต้ม เพราะความเผ็ดจะเข้าเนื้อผัก และทำให้ไม่อร่อย
สายอ่อน สายแข็ง จัดไป ใครว่าอาหารไต้หวันไม่อร่อย อร่อยจริงอร่อยจุง ตามเหตุปัจจัย ตามกรรมที่ได้สะสมกันมา กินกัน บอกไม่ต้องรีบ สองชั่วโมง

ครบเวลา ไม่ไหวกันแล้ว สมาชิกในทีม บอกไกด์ว่าถึงเวลาไปช้อปปิ้งแล้ว มาไต้หวัน ของช้อปเยอะมากๆ ตลาดกลางคืนที่ขายของก็เยอะมาก
ที่ช้อปปิ้งที่แรกที่เราไปกันและใกล้ร้านอาหารที่เราทานและใกล้ที่พัก ชื่อ Ximending ซีเหมินติง (西門町) มีฉายาว่า ฮาราจูกุแห่งไทเป (Harujuku of Taipei) ซึ่งเป็นแห่งช้อปปิ้งของวัยรุ่นชื่อดังอยู่ที่มหานครโตเกียวประเทศญี่ปุ่น

Ximending ซีเหมินติง (西門町) เป็นย่าน ช้อปปิ้งไต้หวัน ที่คนไต้หวันชอบไปมากที่สุด และซีเหมินติงก็ยังเป็นย่านที่นักท่องเที่ยวชอบไปมากที่สุดเช่นกันเด็กวัยรุ่นไต้หวันก็ชอบไปรวมตัวกันที่นั่น และยังมีคนที่มีความสามารถในด้านต่างๆ ไปแสดงโชว์แถวนั้นด้วย
ของช้อปปิ้งเยอะมาก ทีมเราเจออะไรเข้าหมด ร่ม รองเท้า น้ำมะระที่ขึ้นชื่อ อื่นๆ อีกมากมาย วันแรกก็ลุยกันแล้ว
บรรยากาศของย่าน Ximending ซีเหมินติง (西門町) ก็คล้ายๆ สยามบ้านเราที่ทุกคนจะมาช้อปปิ้งที่นี่ ของถูกครับที่นี่ รองเท้าก็ถูก ของอื่นๆ ก็ถูก บรรยากาศสบายๆ ลมเย็นสบายๆ เดินกันจึงถึงสองสามทุ่ม
ค่ำนั้นกว่าจะถึงโรงแรม ก็สองสามทุ่ม แต่ก็อิ่มและสนุก เตรียมตัวเที่ยวในวันพรุ่งนี้ อุทยานแห่งชาติริมทะเลทางตอนเหนือของไต้หวัน อุทยานเย่หลิว Yehliu Geopark (野柳地質公園)

Park city hotel Taipei
โรงแรมที่พักที่ไทเป 3 คืน ครับ Park city hotel Taipei แนะนำโรงแรมนี้ครับ ถ้าจะมาไต้หวัน เมืองไทเป เพราะโรงแรมติดสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน คนไต้หวันโดยเฉพาะเมืองหลวงไทเป เขาจะไปไหนจะใช้รถไฟใต้ดินเป็นหลัก เพราะ ไปถึงได้ทุกที่ แต่กลุ่มเราใช้รถส่วนตัวคันใหญ่เป็นหลัก เพราะ จะไปที่ไหนอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ครับ โรงแรมนี้อาหารดี อร่อยมาก หลากหลาย ห้องพักดีครับ และ แถมมีฟิตเนสใหญ่มาก มีลู่วิ่งอื่นๆ มากมาย เรียกว่าครบ ทั้งทำเล อาหาร ห้องพัก และสิ่งอำนวยความสะดวก

เช้าวันที่ 10 กันยายน 2561 เพิ่งวันที่สองเอง ทำไมเหมือนผ่านอะไรมาที่ไต้หวันเยอะจัง ตากล้องก็เยอะ ถ่ายกันไม่หยุด เห็นกล้องกันไม่ได้เลยครับ เช้ามาที่บนตึกโรงแรม PARK CITY
เช็คสภาพอากาศวันนี้มีฝนเยอะทีเดียว เตรียมร่มและเสื้อกันฝนกันไปครับ วันนี้เราจะไปเที่ยวสองอุทยานเย่หลิว Yehliu Geopark (野柳地質公園) และ อีกที่ คือ เมืองจิ๋วเฟิ่น เมืองสวยงาม นั่งรถออกมาฟ้ามืดครึ้ม ฝนตกเล็กน้อยเป็นระยะ ประมาณชั่วโมงครึ่งครับ ก็ถึง อุทยานเย่หลิว Yehliu Geopark (野柳地質公園) อากาศสดชื่นมากๆ ช่วงสายๆ ฝนตกบ้างเล็กน้อย และก็หยุดตก สลับกันไป
อุทยานเย่หลิว Yehliu Geopark (野柳地質公園) เป็นอีกสถานที่ๆ Must Go (ต้องไปให้ได้) ของประเทศไต้หวันเลยก็ว่าได้ อุทยานเย่หลิวตั้งอยู่ในภาคเหนือของเกาะไต้หวัน ตำบลว่านหลี่ (Wanli District)
พื้นที่ของอุทยานเย่หลิวมีลักษณะเป็นแหลม (ส่วนของผืนดินที่ยื่นเข้าไปในทะเล) ทำให้อากาศแถวนั้นดีมาก และได้กลิ่นอายของทะเล
พื้นที่ของอุทยานเย่หลิวมีลักษณะเป็นแหลมทอดยาวออกไปในทะเลยาว 1,700 เมตร มีอายุยาวนานนับล้านปี เป็นแนวหินปูนเกิดจากการเคลื่อนตัวทางธรณีวิทยาจากเทือกเขา Datun และอิทธิพลของคลื่นลมทะเลทำให้เกิดการผุกร่อนเปลี่ยนแปลงเป็นรูปร่างในลักษณะแปลกตาแตกต่างกันออกไป
นับเป็นภูมิทัศน์ทางธรณีวิทยาที่หาได้ยากและสวยงามเป็นอย่างยิ่ง และจากความแปลกตานี้เองที่ทำให้อุทยานเย่หลิวกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจบวกกับความช่างจินตนาการที่มีการเปรียบเทียบลักษณะของหินแต่ละชิ้นกับรูปทรงต่างๆ ของผู้คน อาทิ หินรองเท้านางฟ้า (仙女鞋) , หินทะเลเทียน (燭台石) , หินช้าง, หินไอศกรีม, หินเศียรเจ้าหญิงและอื่นๆ อีกมากมาย และที่เป็นไฮไลท์และมีนักท่องเที่ยวเข้าคิวรอถ่ายรูปด้วยมากที่สุดคือ หินเศียรราชินิ (Queen’s Head, 女王頭) ซึ่งรอให้คุณไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง

ทีมเรารู้สึกชิวมาก เพราะอากาศดีมากๆ เย็นสบาย และ ไอของคลื่นทะเล เดินถ่ายรูปไป คุยกันไป ปกติของธรรมเป็นไปเจอหินแปลกๆ ก็ถ่ายรูปกันไป ไฮไลท์หินเศียรราชินี เข้าตั้งชื่อกันมาอย่างนั้น เพราะดูเหมือนเศียรราชินี ทั้งหมดก็ไม่พ้นจากคิด ถ้าไม่มีสภาพธรรม คือ สิ่งที่ปรากฏทางตาแล้ว ก็จะไม่มีเรื่องราว รูปร่างสัณฐานและสมมติเรียกว่า นี่คิอหิน และนี่คือ หินราชินี เพราะฉะนั้นก็ถูกปกปิดด้วยความคิด มโนทวารปิดบังปัญจทวาร ไม่ให้รู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฎเพราะเห็นแล้วคิดต่อทันทีอย่างรวดเร็ว จนกว่าจะปัญญาเกิดรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดในขณะนั้นว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาที่เป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา
นำคำบรรยาย ท่านอาจารย์สุจินต์มาประกอบเพื่อประโยชน์ในการเกิดขึ้นของปัญญา

ท่านอาจารย์ ชีวิตปกติที่มีกิเลสจริงไหม ไม่ใช่ฟังเผินๆ แล้วผ่านไป จะไม่ได้สาระ แต่ต้องยอมรับว่า เพราะไม่รู้ เวลานี้เห็นก็ไม่รู้ ได้ยินก็ไม่รู้ เป็นชีวิตที่มีกิเลสที่ไม่รู้
ต้องไตร่ตรองแต่ละคำ แต่ละประโยคจนเข้าใจขึ้น แม้แต่คำถามว่า เดี๋ยวนี้ใช่ไหม ต้องตรง เดี๋ยวนี้มีกิเลสเพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ
เดี๋ยวนี้ชีวิตปกติหรือเปล่า ปกติมีกิเลส เปลี่ยนให้เป็นปกติไม่มีกิเลสได้ไหม ไม่ได้ นี่คือเป็นผู้ตรง
ผู้ถาม ถ้าเปลี่ยนเมื่อไรก็ไม่ปกติ
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ก็ปกติมีกิเลสแล้วจะเปลี่ยนให้ไม่มีกิเลสได้อย่างไร ผิดทันที ไม่ได้ฟังพระธรรมด้วยความเข้าใจเลย คำสอนเป็นที่พึ่ง ที่กล่าวว่า มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง คือมีคำสอนที่ทำให้เกิดความเห็นถูก เข้าใจถูกจนสามารถรู้จริงๆ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลยในสิ่งที่กำลังปรากฏ
ผู้ถาม อบรมปัญญาด้วยชีวิตปกติที่ยังมีกิเลส
ท่านอาจารย์ กำลังฟังอะไรคะ กำลังฟังเรื่องที่มีจริงๆ จะใช้คำว่า ฟังธรรมะก็ได้ เป็นปกติไหม ก็เป็นปกติ
ผู้ถาม.. แม้ดูเหมือนสนใจพระพุทธศาสนา และเดือดร้อนในกิเลส
ท่านอาจารย์ เดือดร้อนในกิเลสมีจริงๆ ไหมคะ
ผู้ถาม.. มีจริง
ท่านอาจารย์ ถูกหรือผิด ถึงมีจริงก็ไม่รู้ว่า ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น เห็นชัดเลยระหว่างรู้กับไม่รู้ มีกิเลสแล้วเดือดร้อน จะรีบไปทำให้หมดกิเลส นั่นผิดเลย เพราะเหตุว่ารีบได้อย่างไร กิเลสตั้งแสนโกฏิกัปป์ที่สะสมมาด้วยความไม่รู้ แล้วจะไปทำอะไร ใครทำก็ผิดแล้ว ไม่มีเราเลย ยังไม่เข้าใจคำว่า “ภาวนา” คืออบรมให้สิ่งที่ยังไม่มีมีขึ้น ให้สิ่งที่มีแล้วเพิ่มขึ้น
ไม่ใช่ภาวนาให้ไม่รู้เลย หรือให้ไม่รู้ยิ่งขึ้น แต่ภาวนาเพื่อให้เห็นถูกทีละเล็กทีละน้อย ถ้าไม่ฟังเลย จะเห็นถูกได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
ผู้ถาม ที่มาฟังธรรมเพราะมีกิเลสมาก แต่ไม่ได้หมายความว่ามาฟังธรรม แล้วมีตัวตนไปดับกิเลสได้ตามที่ต้องการ
ท่านอาจารย์ ก็ผิดอีก เพราะไม่เข้าใจว่า ธรรมะคือไม่ใช่เรา ทุกอย่างเป็นอนัตตา อกุศลก็มีปัจจัยเกิดขึ้น กุศลก็มีปัจจัยเกิดขึ้น จนกว่าจะเข้าใจมั่นคง ค่อยๆ เริ่มเข้าใจ กว่าจะละคลายความเป็นเรา จนหมดความเป็นเราตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตามต้องการ หรือคิดหวัง หรือเข้าใจผิดคิดว่า ไม่มีเราอีกต่อไปแล้ว โดยไม่รู้อะไรในขณะนี้
ผู้ถาม มีชีวิตปกติตามฐานะของแต่ละคน ตอนนี้เป็นปุถุชนที่มีกิเลสมากก็เป็นปกติ
ท่านอาจารย์ ตามการสะสมด้วย กิเลสก็ต่างๆ กันไป หลากหลายแต่ละหนึ่ง นั่นคือปกติของธรรมะที่สะสมมาที่จะต้องเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างเป็นปกติ
ผู้ถาม แต่เข้าใจยาก
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีธรรม ฟังแล้วเข้าใจ อยากทำอะไร
ท่านอาจารย์ เป็นไปได้ไหม
ผู้ถาม ไม่ได้ แต่ตอนโลภะเกิด มีโมหะด้วย
ท่านอาจารย์ แล้วพระธรรมมีประโยชน์อย่างไร มีประโยชน์ให้รู้ความจริงว่า บังคับไม่ให้อยากไม่ได้ แต่รู้ตามความเป็นจริงว่า อยากไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น เห็นโทษแล้ว เพราะอยากจึงผิด ไม่เป็นปกติเลย เมื่อไรที่ค่อยๆ เข้าใจว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมะ นั่นถูกต้องที่สุด

ผู้ถาม ชีวิตจริงๆ ที่เป็นชีวิตของธรรมะ ท่านอาจารย์จะอธิบายชีวิตขณะนี้อย่างไร

ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจิต สภาพรู้หรือธาตุรู้ ขณะนี้กำลังเห็นเป็นจิต ขณะนี้กำลังได้ยินเป็นจิต ขณะนี้ที่กำลังคิดนึกก็คือจิต ทุกขณะในชีวิตประจำวันเป็นจิต เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีจิตกับเจตสิกก็จะไม่มีชีวิตเลย
ที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ใครรู้บ้างว่า จิตแต่ละหนึ่งที่สะสมมาเป็นแต่ละบุคคลมีกุศลมากหรือมีอกุศลมาก มีความดีมากหรือมีความชั่วมาก ไม่ใช่ว่าเราจะพูดถึงคนใดคนหนึ่ง แต่พูดถึงธรรมะ คือสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งไม่ใช่ของใครเลย และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ด้วย แลกกันก็ไม่ได้
แต่สิ่งที่ควรรู้ก็คือว่า แต่ละจิต โดยเฉพาะจิตของแต่ละบุคคลที่ยึดถือว่าเป็นเรา ดีชั่วขนาดไหน และชีวิตก็สั้นแสนสั้น เพียงแต่ขณะนี้ถ้าจิตไม่เกิดก็คือไม่มีชีวิตอีกต่อไป
แต่ละ ๑ ขณะที่เป็นชีวิตที่มีอยู่ ประโยชน์สูงสุดก็คือว่า เป็นจิตที่ดี ไม่ใช่จิตที่เป็นอกุศล เพราะเหตุว่าถ้าเป็นจิตที่ไม่ดี เป็นอกุศลเกิด ผลก็อย่างที่เราเห็น มีตาแบบไหน แบบช้าง แบบมด หรือแบบมนุษย์ หรือแบบเทวดา ทั้งหมดเป็นธรรมะซึ่งไม่มีใครสามารถดลบันดาลได้เลย
แต่ก็มีแล้วตามที่เห็นทุกวันว่า เป็นธรรมะที่เลือกไม่ได้เลย และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร มีตาเพื่อเห็น หรือมีตาแล้วไม่เห็น แล้วจะมีตาไว้ทำไม แต่เพราะเหตุว่าตาสามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏเฉพาะขณะนี้ที่ปรากฏได้เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น
นี่คือความละเอียดของชีวิตซึ่งไม่ใช่ของใคร แต่ก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นอกุศลธรรม แม้แต่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็สามารถเป็นทุกข์ได้ เจ็บตาก็ได้ เป็นโรคหูก็ได้ จมูก บางคนก็หายใจไม่ออก เป็นไซนัส ลิ้นก็เป็นเม็ดมีหนองไหลก็ได้ กายก็เห็นแล้วแต่

บางคนก็มีหน้าช้างเพราะมีเนื้อทั้งหมด อันนี้ไม่ใช่ที่ประเทศไทย แต่ข่าวหลากหลายจากทุกมุมโลกที่สามารถได้ยินได้ฟัง ก็จะได้เห็นความวิจิตรของทั้งรูปธรรม รูปร่างกายและนามธรรมยิ่งละเอียดกว่านั้น
แต่ละ ๑ ขณะ ก็กำลังเป็นไปในขณะนี้ ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยละเอียดยิ่ง ไม่มีใครสามารถรู้ว่า ทุกอย่างที่ปรากฏขณะนี้เป็นผลซึ่งมาจากเหตุ ต้องเป็นไปตามเหตุ ไม่ว่าสุขทุกข์ใดๆ ก็เป็นเรื่องยาวอย่างที่เราฟังกันมามากในเรื่องของสภาพธรรมะที่มีจริง

แต่ฟังทั้งหมดเพื่อเข้าใจความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏขณะนี้เคยมีใครคิดบ้างไหมว่า ปรากฏได้อย่างไร อย่างเห็น เห็นจนชิน ไม่รู้ว่า น่าอัศจรรย์ มีธาตุเห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป แม้แต่ได้ยินขณะนี้มีเสียงปรากฏ ก็มีธาตุที่กำลังได้ยินเสียง แล้วก็ดับไป นี่คือชีวิตทุกขณะเลย ไม่ว่าโลกไหน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือเป็นสัตว์เดรัจฉาน ในนรก เป็นเปรต อสุรกาย บนสวรรค์ชั้นไหนก็ตาม สภาพธรรมะก็มีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย
หลังจากจบเที่ยวอุทยานเย่หลิว Yehliu Geopark (野柳地質公園) แล้ว ถึงขนาดต้องไล่กลับขึ้นรถได้แ้ลว เกินเวลา ต้องไปรับประทานอาหารกลางวัน จองร้านพิเศษไว้ ที่เป็นร้านสัญลักษณ์ของเมือง จิ่วเฟิ่น ชื่อร้าน A MEI TEA HOUSE หรือ ร้านน้ำชาโคมแดง ที่ใครมาเมืองจิ่วเฟิ่น ไม่มาถ่ายรูปร้านนี้ ก็เหมือนมาไม่ถึง

จิ่วเฟิ่น (Jiufen, 九份) นับเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังเมืองไทเป และอยากสัมผัสบรรยากาศหมู่บ้านที่ยังคงอนุรักษ์ความเป็นดั้งเดิมท่ามกลางหุบเขา ซึ่งมีไฮไลท์เป็นถนนโบราณจิ่วเฟิ่นที่มีลักษณะเหมือนถนนคนเดิน ขายของท้องถิ่นมากมายหลายชนิด อาทิ อาหารและขนมแบบท้องถิ่น ของกระจุกกระจิก สินค้าแฮนด์เมด

แนะนำก่อนเลยครับ ไอติมม้วนถั่วตัดผักชี A-Zhu Peanut Ice Cream Roll ร้านดังแห่งจิ่วเฟิ่น ใครมาไต้หวันไม่ได้กินไอติมถั่วตัดผักชี ถือว่าไม่ได้มาจิ่วเฟิ่นนะครับ เพราะร้านเค้าดังออกรายการทีวีทั้งทีวีไต้หวัน และทีวีไทยเลย ไอติมเค้ามีเอกลักษณ์ แถมบริการดี สุภาพ ยิ้มแย้ม ที่สำคัญอร่อยมากๆ ครับ หวานน้อย เข้ากับผักชี อย่างไม่น่าเชื่อ





ตอนค่ำที่ตลาดกลางคืน Shinlin Market ตลาดกลางคืนที่ใหญ่ที่สุดในไทเป

Shinlin Market จบภาระกิจวันที่ 10 กันยายน 2561 แค่สองวัน รู้สึกนานมากครับ แต่ทั้งหมด ก็เพียงเห็น เห็นแล้วก็ดับหมด ไม่รู้เลยว่าเป็นธรรม จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจความจริง เข้าใจความเป็นปกติในชีวิตประจำวัน

อุทยานแห่งชาติหยางหมิงชาน (Yangmingshan National Park, 陽明山) เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติชื่อดังยอดฮิตของเมืองไทเป ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไทเปไปทางเหนือประมาณ 20 กิโลเมตรเท่านั้น เป็นเทือกเขาที่กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ถึง 7 หมื่นกว่าไร่ มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ทั้งจุดแคมป์ปิ้ง, เส้นทางเดินป่า, ปีนเขา, ชมสัตว์ป่า, น้ำตก, ต้นไม้, ป่าไม้, บ่อน้ำแร่ มีสภาพเป็นป่าเขาแบบอบอุ่น และมีความหลากหลายทางธรณีวิทยาและภูมิประเทศที่เป็นภูเขาไฟที่แม้จะมอดดับไปแล้วก็ยังมีไอร้อนพวยพุ่งออกมาอยู่ มีความสูงตั้งแต่ 200 ถึง 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ท่านอาจารย์ ทุกคนก็จะเห็นได้ว่า ชีวิตชาติหนึ่งๆ มากหรือน้อยสำหรับการอบรมเจริญปัญญา ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้น เพราะว่าวันหนึ่งๆ ก็เต็มไปด้วยความวุ่นวายของธุรกิจการงานต่างๆ แล้วก็ยังมีการรื่นเริง การขวนขวายเพลิดเพลินพักผ่อนต่างๆ การที่จะสนุกสนานโดยวิธีฟังเพลงบ้าง หรือวาดภาพบ้าง หรือซื้อของบ้าง ปรุงอาหารบ้าง ปลูกต้นไม้บ้างในวันหนึ่งๆ ชีวิตของชาติหนึ่งที่ปัญญาจะเจริญขึ้น ที่จะอบรมเจริญความเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมจะมากหรือจะน้อย เพราะว่าบางชีวิตก็สั้นมาก บางชีวิตก็อาจจะยืนยาวพอสมควร แต่ก็เป็นชีวิตที่ไร้สาระ เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
แต่ละคนก็จะต้องจากโลกนี้ไป หมดสภาพความเป็นบุคคลนี้ แล้วก็สะสมกุศลบ้าง อกุศลบ้าง มากน้อยต่างๆ กันไป แต่ว่าสิ่งที่แน่นอนที่สุด คือ ต้องจากเหตุการณ์และเรื่องราวต่างๆ ของโลกนี้โดยสิ้นเชิงในวันหนึ่ง สิ่งที่ควรจะติดตัวไป ก็ควรจะเป็นการเจริญกุศลและการเข้าใจสภาพธรรมเพิ่มขึ้น โดยการฟัง การพิจารณา และการอบรมเจริญสติปัฏฐาน
ไม่ชักนำในสิ่งที่ไม่ดี ในขณะนี้การฟังธรรมก็เพื่อที่จะให้พระธรรมเตือนให้ประพฤติในทางที่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะรู้แต่เพียงคำแปล เรื่องราว แต่ก็ยังไม่เป็นมิตรเท่าที่สมควร จะเป็น
เพราะเหตุว่าบางคนก็อดทนคำของคนอื่นไม่ได้ หรือความประพฤติของคนอื่นไม่ได้ หรือความคิดเห็นของคนอื่นไม่ได้ ทั้งหมดขณะนั้นจิตเป็นอกุศล โทสะ ความขุ่นเคืองใจเกิดขึ้นเมื่อไร ตัวโทสะเป็นมิตรหรือเปล่า ไม่เป็น
แล้วโทสะเกิดเพราะใคร คิดถึงใคร ขณะนั้นคนที่เราโกรธ เป็นมิตรหรือเปล่าในขณะที่เราโกรธเขา ไม่เป็นเลย เหมือนกับเขาเป็นศัตรู เป็นบุคคลที่เราไม่ชอบ ไม่พอใจ
แต่ความบริสุทธิ์ของพระศาสนาก็คือว่า ให้ปัญญาเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ความไม่ดีแม้เพียงเล็กน้อย ควรจะเก็บไว้ไหม หรือควรที่จะขัดเกลา
เพราะกว่าจะขัดเกลาได้หมด ก็ลองคิดดู มองไม่เห็นอกุศลค่ะ ถ้าเห็นก็น่าตกใจ เห็นโลก เห็นจักรวาลมากมาย แต่ก็ยังไม่เท่ากับอกุศลที่ได้สะสมมา
โดยเฉพาะความไม่รู้ ไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ เมื่อไม่รู้แล้ว ก็เป็นเหตุให้เกิดรักบ้าง ชังบ้าง แค่คิดยังไม่พอ ก็ยังออกมาทั้งกายและวาจา

ตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ จนสามารถถึงประทุษร้ายเบียดเบียนได้มาก พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุเคราะห์ให้ใครมีแม้เพียงอกุศลเพียงเล็กน้อย เพราะว่าเห็นว่าเป็นโทษจริงๆ
พระธรรมทั้งหมด กัลยาณมิตร ทำให้เป็นผู้เป็นมิตรที่ดี ที่ประเสริฐสุด ที่ไม่มีใครจะเปรียบได้ เพราะว่าจะไม่ชักนำไปในทางที่ไม่ดี
เพราะฉะนั้นวันนี้ก็ไม่ใช่เพียงแต่อ่าน แล้วก็ฟัง แล้วก็จำ แต่ว่าเป็นมิตรกับใครขณะนี้หรือเปล่า ตอบตรงๆ ไม่ให้ต้องให้ใครได้ยินก็ได้ แต่ว่าเป็นผู้ที่ตรงต่อธรรม
ความจริงต้องเป็นความจริง ต้องเป็นสัจธรรม ถ้าเกิดไม่ชอบใคร เป็นอกุศลแน่นอน ของใคร ของตัวเอง แล้วก็จะให้มีมากๆ ต่อไปอีก หรือว่าเห็นโทษ
นี่เป็นสิ่งที่จะทำให้เราเห็นพระคุณของพระผู้มีพระภาคที่ทรงแสดงธรรมโดยละเอียดยิ่ง แม้ในเรื่องของมิตร ในเรื่องของผู้เป็นคนดี ผู้มีมีปัญญาต่างๆ เหล่านั้น ก็ให้รู้ถูกตามความเป็นจริง เป็นผู้ที่ตรงต่อตัวเอง
ผู้ถาม มีผู้บ่นว่า พอฟังแล้ว อันนั้นก็เป็นโลภะ อันนี้ก็เป็นโทสะ รู้สึกว่าเป็นอกุศลทั้งวัน ชักจะท้อแล้ว เหมือนกับหมดกำลังใจ เกิดวิตกกังวล
ท่านอาจารย์ สู้หลอกตัวเองว่าไม่มีไม่ได้ ใช่ไหมคะ อยากจะหลอกตัวเองต่อไป หรืออยากจะรู้ความจริง รู้จักตัวเองขึ้นให้ถูกต้อง วันนี้ตักตวงวัดอกุศลไม่ได้เลยว่า มากสักเท่าไร เพราะมากจริงๆ ชั่วขณะที่ฟังธรรมเป็นกุศล และขณะอื่นเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต
สำหรับคนที่สะสมกุศลมามาก วันหนึ่งกุศลมีโอกาสเกิดได้บ่อย แต่ไม่ได้หมายความว่ามากเท่าอกุศล เพราะเหตุว่าทันทีที่ลืมตาก็โลภะแล้ว แล้วจะให้บอกว่าอย่างไร ถ้าเป็นพระอรหันต์ซิคะ ลืมตาแล้วไม่มีหรอกโลภะ
แต่เมื่อยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ต้องยอมรับตามความเป็นจริง การที่จะรักษาโรค ก็ต้องรู้สมุฏฐานของโรค ถ้าไม่รู้สมุฏฐานแล้วจะละอย่างไร
คนที่ไม่มีปัญญารู้ความจริง ไม่มีทางที่จะดับทุกข์หรือดับกิเลสได้เลย เมื่อมีกิเลสแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเป็นกิเลส แล้วจะละกิเลสได้อย่างไร เมื่อไม่รู้ว่าเป็นกิเลส แต่ว่าผู้ที่รู้จักกิเลส สามารถละกิเลสได้ เพราะรู้ว่า กิเลสเป็นอย่างไร
ถ้ารู้ตัวเองว่าเป็นคนไม่ดี แล้วจะได้ทำดี กับคิดว่าตัวเองดีแล้ว พอแล้ว ก็ต่างกัน ใช่ไหมคะ ถ้าใครเขาบอกเราว่าไม่ดี เราจะรับไหมคะว่า จริงค่ะ ถูกค่ะ ไม่ดีจริงๆ เพราะตั้งแต่ลืมตาก็เป็นอกุศลมามากมายแล้ว
ท่าน อ.สุจินต์ ... ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้ามีอากาศธาตุ ช่องว่างแทรกอยู่โดยละเอียดยิบ พร้อมที่จะแตกทำลายกระจัดกระจายเป็นผงธุลีเมื่อไรก็ได้ ขณะไหนก็ได้
นี่คือส่วนที่เราเคยยึดถือว่า เป็นคิ้ว เป็นตา เป็นแขน เป็นขาของเรา แต่ความจริงแล้วก็เหมือนกับกองดินซึ่งมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ รูปไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอก ไม่ต่างกันเลย แข็งที่นี่กับแข็งที่ตัว หรือแข็งที่ไหนๆ ก็คือลักษณะที่แข็ง เป็นธาตุแข็ง
เย็นหรือร้อนที่ไหนก็ตาม ก็คือลักษณะที่เย็นหรือร้อน แต่พอมาอยู่ตรงส่วนที่มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น เราก็เลยยึดถือว่า นี่เป็นกาย หรือเป็นของเรา แต่ความจริงตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าก็มีสมุฏฐานให้เกิดว่า รูปกลุ่มใดประเภทใด เกิดเพราะกรรม รูปกลุ่มใดประเภทเกิดเพราะจิต รูปกลุ่มใดประเภทใดเกิดเพราะอาหาร รูปกลุ่มใดเกิดเพราะอุตุ คือ ความเย็น ความร้อน
เพราะฉะนั้นก็มีสมุฏฐานทุกอย่างสำหรับทุกสิ่งที่เกิด ไม่มีใครไปบันดาล แล้วก็ไม่เป็นของใครด้วย เสียงที่ดับไปแล้วเป็นของใคร ได้ยินที่ดับไปแล้วเป็นของใคร
ก็เป็นเพียงชั่วขณะจิตที่เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ ตามเหตุตามปัจจัยที่สะสมมา ทำให้มีบุคลิกหรือเป็นแต่ละบุคคลตามการสะสม แต่ก็คือจิตแต่ละขณะซึ่งเกิดดับสืบต่อมานั่นเอง
ผู้ ถาม ทำอย่างไรถึงจะเกิดปัญญา
ท่าน อ.สุจินต์..มีทางเดียวค่ะ ฟังพระธรรม เพราะพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมเพื่อใคร เพื่อสาวก คือ ผู้ฟัง แม้ท่านพระสารีบุตรก็ต้องฟังพระธรรม ผู้ที่บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว ยังฟังพระธรรม
เพราะฉะนั้นก็เห็นประโยชน์ ผู้ที่เห็นโผฏฐัพพะของพระธรรมแล้ว ยอมรับว่าไม่มีสมบัติอื่นใดที่จะเท่าพระธรรม เพราะเหตุว่าเงินทองลาภยศทั้งหมดก็ยังมีเวลาเสื่อมสูญได้
แต่ว่าความเข้าใจที่ถูกต้องในธรรมไม่สูญหาย และไม่ว่าคนนั้นจะประสบกับโลกธรรม เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เจ็บไข้ได้ป่วย มีความทุกข์ด้วยประการใดๆ ก็ยังเบาบางได้ เพราะรู้ว่าเป็นความจริงของธรรม ซึ่งไม่ใช่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุปัจจัย
ทำไมจึงต้องเกิด ซึ่งส่วนใหญ่ก่อนที่จะศึกษาธรรม ก็มักจะถามกันสมัยหนึ่งว่า “ทำไมถึงต้องเป็นเรา” แต่ถ้าศึกษาธรรมแล้ว คำตอบก็คือว่า “เพราะต้องเป็นเรา เป็นคนอื่นไม่ได้”
เพราะทำกรรมอย่างไรมา ก็เป็นผลของกรรมนั้นที่คนนั้นจะต้องได้รับ ไม่มีคำถามอีกเลยว่า ทำไมจึงต้องเป็นเรา นอกจากอะไรจะเกิดขึ้นก็เพราะต้องเป็นเราที่ได้กระทำสิ่งนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นผลก็คือ ต้องรับกรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
ถาม การทำสมาธิหรือการนั่งปฏิบัติ คือนั่งหลับตาเจริญภาวนาจะได้กุศลแรง ทีนี้ก่อนจะนั่งภาวนา หรือกล่าวคำว่า “พุทโธ” จะต้องรักษาศีลมาก่อน ถือศีล ๕ หรือศีล ๘ ก็ตามโดยเคร่ง เพราะฉะนั้นศีลก็จะเป็นการดับกิเลสเบื้องต้นก่อนทำสมาธิ เพราะฉะนั้นโดยเหตุผลนี้ก็น่าจะมีเหตุว่า การทำสมาธิ น่าจะเป็นกุศล ขอเรียนถามอาจารย์
สุ. ตอนแรกที่ได้ฟัง ได้ฟังว่า การทำสมาธิจะได้กุศลแรง ใช่ไหมคะ
ผู้ถาม ใช่ครับ
สุ. เรื่องเอา ใช่ไหมคะ เรื่องได้ ใช่ไหมคะ ไม่ใช่เรื่อง “ละ” เลย เพราะฉะนั้นกุศลก็เป็นเรื่องละค่ะ ไม่ใช่เรื่องได้ นี่ก็ต่างกันแล้ว ใช่ไหมคะ กุศลก็คือขณะใดที่ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ จึงเป็นกุศล แต่ขณะใดที่ต้องการ ขณะนั้นจะไม่ใช่กุศลเลย
นี่เป็นเรื่องละเอียดที่ต้องแยกแม้แต่ในขั้นของการฟัง ลักษณะของโลภะ ความติดข้อง ต้องการไปหมดทุกอย่าง ต้องการแม้กุศล ถ้าถามใครๆ ดู ก็บอกว่าอยากได้กุศล หรือพูดอีกแบบหนึ่งคือ อยากได้บุญ
ทำไมเอาของไปถวายพระ ก็อยากได้บุญ อะไรๆ ก็อยากได้บุญ โดยที่ไม่ทราบจนต้องถามว่า ทำอย่างนี้เป็นบุญไหม คือ ไม่รู้จักบุญ แต่อยากได้บุญ และคิดว่าที่ทำไปนั้นเป็นบุญ
นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความละเอียดที่จะต้องสะสางตั้งแต่ขั้นต้นให้เข้าใจจริงๆ ว่า “บุญ” คือ จิตที่ดีงาม จิตที่ดีงามก็คือขณะที่ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ไม่มีอกุศลใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ริษยา ไม่ตระหนี่ ขณะใดที่จิตใจสะอาด ประกอบด้วยสภาพจิตที่ดี ขณะนั้นถึงจะเป็นกุศล หรือเป็นบุญ

เพราะฉะนั้นถ้ามีการอยากได้ ขณะที่อยากได้ สภาพที่กำลังอยากได้ไม่ใช่บุญ เพราะฉะนั้นจะกล่าวว่า “ได้บุญ” จะได้บุญแล้วก็ทำเพราะต้องการได้บุญ ขณะนั้นต้องเป็นอกุศลแน่นอน จะเป็นบุญไปไม่ได้

และอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ทำสมาธิแล้วจะได้บุญ ถ้ายังไม่รู้ว่า “บุญ” คือ ขณะไหน จะไม่รู้เลย ก็ยังคงเป็นโมหะ
ในวิสุทธิมรรค มีการอบรมเจริญภาวนา และมีอารมณ์ของสมถภาวนา ๔๐ อย่าง เริ่มต้นด้วยกสิณ คือ เอาดินมาทำเป็นวงกลมแล้วเพ่งดูเพื่อให้จิตสงบ คนที่อ่านวิสุทธิมรรคทำตามนั้น แต่ผลก็คือว่าไม่มีปัญญาหรือไม่มีความเข้าใจ ไม่มีสติสัมปชัญญะที่จะรู้ว่า จิตขณะที่สงบต่างกับขณะที่ไม่สงบอย่างไรในขณะนี้
เพราะเหตุว่าจิตเกิดดับสลับเร็วมากจนยากที่จะรู้ว่า จิตที่สงบนั้นต่างจากจิตที่ไม่สงบ ขั้นนี้ต้องมีก่อนในการทำสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิ แต่ถ้าไม่มีการระลึกรู้สภาพของจิตเลย ไม่มีความต่างกันเลย
มีแต่ความต้องการเหมือนเดิม เพียงแต่ย้ายสิ่งที่ถูกต้องการเท่านั้นเอง ก่อนที่จะทำสมาธิก็ต้องการอาหารอร่อย ต้องการเสียงเพราะๆ ต้องการฟังเพลง นั่นคือก่อนสมาธิ แต่พอทำสมาธิ ก็ไม่ต้องการรูป ไม่ต้องการเสียง ไม่ต้องการกลิ่น ไม่ต้องการรส
แต่ต้องการใจสบายๆ ที่ไม่กังวล ไม่เดือดร้อน ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่คิดมาก ไม่ห่วงใย ก็เลยคิดว่า ขณะนั้นเป็นกุศล แต่ความจริงขณะที่กำลังพอใจสิ่งใดก็ตาม ขณะนั้นเป็นอกุศล เป็นความติดข้อง และเป็นลักษณะของโลภะ
เพราะฉะนั้นจึงต้องศึกษาอย่างละเอียดในความต่างกันของอกุศลจิตกับกุศลจิต แล้วอย่าเป็นผู้ที่เชื่อง่าย แต่เป็นผู้ที่มีสติสัมปชัญญะ ซึ่งสัมปชัญญะทีนี้ก็คือปัญญา ต้องมีปัญญาพร้อมสติที่จะรู้ลักษณะของจิต ซึ่งกำลังเกิดดับอยู่ในขณะนี้
ท่าน อ.สุจินต์..ทีนี้ก็มาถึงเรื่องของศรัทธา ใครจะรู้ดีกว่าใครไหมว่าใครมีศรัทธาเท่าไหร่ มากหรือน้อย นอกจากตัวเอง เพราะเหตุว่าแม้แต่การที่จะสนใจฟังธรรมหรือว่ากุศลประการใดก็ตามมีไม่ได้โดยไม่มีศรัทธาๆ เป็นสภาพธรรมที่ผ่องใส ขณะนั้นจิตปราศจากอกุศลใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ
เพราะฉะนั้นเวลาที่กุศลจิตเกิดมีศรัทธา แต่ว่าศรัทธาระดับไหน ระดับของทาน สามารถที่จะสละวัตถุให้บุคคลอื่นก็เป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นไปในกาม ก็เป็นกามาวจรกุศล ศรัทธาในศีล
เพราะว่าเมื่อมีศรัทธาจิตผ่องใสเป็นกุศล ที่จะไปเบียดเบียนคนอื่นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นแต่ละคนในแต่ละวัน ก็สามารถที่จะรู้สภาพธรรมที่สะสมมาตามความเป็นจริง เมื่อเกิดขึ้นว่าขณะนั้นเบียดเบียนใครหรือเปล่า
แม้เพียงเล็กน้อยนิดเดียว เบียดเบียนโดยการโกง การทุจริต แม้ในการแข่งขัน ในการเล่นกีฬาหรือในการอะไรก็ตามแต่ ขณะนั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้ที่เบียดเบียน ขณะนั้นก็จะเป็นผู้ที่มีศรัทธาไม่ได้ เพราะเหตุว่าศรัทธาต้องเป็นไปในขณะที่กุศลจิตเกิด
ด้วยเหตุนี้แต่ละคนก็มีชีวิตประจำวันเป็นไปในทางต่างๆ แล้วแต่กิจการงานหน้าที่ เพราะฉะนั้นขณะนั้นมีอกุศลจิตหรือกุศลจิตเกิดย่อมรู้ได้ และก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าทำไมอกุศลจิตเกิด ขณะใดที่อกุศลจิตเกิด ขณะนั้นไม่มีศรัทธา
ถ้ามีศรัทธาจิตต้องผ่องใสและก็ไม่สามารถที่จะกระทำอกุศลใดๆ ได้เลย เพราะฉะนั้นนอกจากจะเป็นผู้มีศรัทธา การกระทำทางกาย ทางวาจาเพราะศรัทธาก็เป็นไปในทางกุศลด้วย เป็นไปในระดับของศีลที่ไม่เบียดเบียนคนอื่นและก็ยังเป็นไปในทานด้วยก็ยังไม่พอ
นอกจากศรัทธาและศีลแล้วก็ยังมีการฟังพระธรรม เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ โดยไม่ได้ฟัง จะคิดยังไงก็ไม่มีทาง กี่ภพกี่ชาติก็มีสิ่งที่ปรากฏ
เราเที่ยวอุทยานแห่งชาติเสร็จก็รับประทานอาหารกลางวันกัน บ่ายก็ออกมาเที่ยวต่อที่ อนุสรณ์สถานเจียงไคเชก (Chiang Kai-Shek Memorial Hall)
อนุสรณ์สถานเจียงไคเชก (Chiang Kai-Shek Memorial Hall) เป็นหนึ่งสัญญลักษณ์ของประเทศไต้หวัน และสถานที่ท่องเที่ยวหลักที่ต้องมาของเมืองไทเป สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1976 เพื่อเป็นการรำลึกและเทิดทูนอดีตประธานาธิบดีเจียง ไคเชก เป็นอาคารสีขาวทั้ง 4 ด้านมีหลังคาทรง 8 เหลี่ยมสีน้ำเงินแบบสถาปัตยกรรมแบบจีน ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลางของจตุรัสเสรีภาพ (Freedom Square) มีบันไดด้านหน้า 89 ขั้นเท่ากับอายุของท่านประธานาธิบดี โดยภายในจะมีรูปปั้นทำจากทองสัมฤทธิ์ของท่านในท่านั่งขนาดใหญ่ที่มีใบหน้ายิ้มแย้มต่างจากรูปปั้นของท่านในที่อื่นๆ ซึ่งจะมีทหารยืนเฝ้าไว้ 2 นายตลอดเวลา และที่กำแพงด้านในหลังจะมีข้อความปรัชญาทางการเมืองการปกครองของท่านอยู่ 3 คำ คือ จริยธรรม ประชาธิปไตย และวิทยาศาสตร์


ไฮไลท์สำคัญที่ไม่ควรพลาดในการมาเที่ยวชมอนุสรณ์สถานเจียงไคเชก คือพิธีเปลี่ยนเวรทหาร ซึ่งจะมีทุกๆ ต้นชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 10:00-16:00 ของทุกวัน
นอกจากนี้ก็จะมีพิธีเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาในตอนเช้าตรู่และในตอนเย็นด้วย คือเวลา 06:00 และ 18:10 ในช่วงเดือนเมษายน-เดือนกันยายน อีกช่วงคือเวลา 06:30 และ 17:10 ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคม ซึ่งทหารที่ทำหน้าที่นี้จะผลัดเปลี่ยนกันมาจาก 3 เหล่าทัพซึ่งจะมีสีของชุดยูนิฟอร์มไม่เหมือนกัน โดยจะทำหน้าที่กันครั้งละ 4 เดือน
อดีตประธานาธิบดีเจียงไคเชก (Chiang Kai-Shek) เป็นอดีตผู้นำทางการเมืองและการทหารของจีนในยุคต้นศตวรรษที่ 19 ภายใต้พรรคชาตินิยมจีน (Chinese Nationalist Party) ก๊กมินตั๋ง (Kuomintang, KMT) แต่พ่ายแพ้ให้กับประธานเหมาเจ๋อตง (Mao Zedong) ในสงครามกลางเมืองจึงหลบมาอยู่ที่เกาะไต้หวัน ก่อตั้งรัฐบาลใหม่และพัฒนาไต้หวันจนก้าวหน้าอย่างในปัจจุบัน จึงเป็นบุคคลสำคัญอย่างยิ่งของประเทศไต้หวัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ได้เคยเสด็จไปเมืองไทเป ในโอกาสที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เมื่อปีพุทธศักราช 2506 และได้พบกับท่านประธานาธิบดีเจียงไคเช็ค ครับ

หลังจากเที่ยวอนุสรณ์สถานเจียงไคเชก (Chiang Kai-Shek Memorial Hall) ในยามบ่ายเสร็จแล้วคณะของเราก็เดินทางไปเที่ยวกระเช้าลอยฟ้าเมาคอง ถึงในเวลายามเย็นพอดี ใครไม่มาเที่ยวกระเช้าเมาคอง ถือว่าพลาดเที่ยวไทเปอย่างแรง โดยเฉพาะยามเย็น สวยมากๆ ครับ
กระเช้า "Maokong Gondala" นั้นเป็นชื่อเคเบิลคาร์ที่ใหญ่สุดในเกาะไต้หวัน มีความยาวกว่า 4.3 กิโลเมตร และะมีสถานีทั้งหมด 4 สถานีด้วยกัน ประกอบไปด้วย สถานี Taipei Zoo, Taipei Zoo South, Zhinan Temple และสถานี Maokong เริ่มเปิดใช้งาน ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายม 2007

ใครที่อยากจะชมวิวเมืองไทเปทั้งเมือง ยามต้องแสงพระอาทิตย์ยามเย็น และ ตึกที่สูงที่สุดของไต้หวัน เป็นฉากด้วย คือ ตึกไทเป 101 พร้อมวิวอลังการหละก็ ที่นี่เลยครับ ผมไปญี่ปุ่นไปหลายที่ขึ้นกระเช้า ที่นี่วิวสวยมากจริงๆ และระยะทางของกระเช้า ใช้เวลานานมาก เพราะ สี่กิโลกว่าเรียกว่าคุ้มสำหรับตอบสนองโลภะที่ยินดีในสิ่งที่ปรากฎที่ประณีต ครับ มาตอนเย็นสวยสุดครับ

พวกเราพร้อมแล้วที่หน้าสถานที่กระเช้า
กระเช้าเมาคองมีสองแบบนะครับ นั่งได้ประมาณ 4 คน ใหญ่อยู่ครับ แต่ สองแบบที่ว่า คือ พื้นใส มองเห็นวิวที่เท้าข้าล่างเลย ใครกลัวความสูงไม่เหมาะอย่างยิ่งและอีกแบบ คือ พื้นไม่ใส ทึบ
เราเริ่มขึ้นมาได้สักพัก ก็ต้องร้องว้าว เมื่อพูดกล่าวออกไปตามโลภมูลจิตที่ติดข้องในสิ่งที่ปรากฎ

พระอาทิตย์กำลังตก เห็นวิวเมืองไทเปทั้งหมดครับ
กระเช้าค่อยๆ ไต่ระดับไป

เห็นวิวตึกไทเป 101 แล้วครับ ทางขวามือครับ

พื้นกระเช้าใส มองเห็นต้นไม้ข้างล่าง ครับ

ตึกไทเป 101 จะอยู่ทางขวามือ


ใช้เวลาเกือบ 20 นาที ครับ แค่ขาขึ้นขาเดียว คุ้มครับ และเราจะมาทานอาหารค่ำ ดื่มด่ำธรรมชาติวิวเมืองไทเป พระอาทิตย์ตกที่ร้านอาหารชื่อดังที่เห็นวิวสวยงามครับ ชื่อร้าน REDWOOD HOUSE แนะนำครับ อาหารอร่อยมากและวิวสวยมากครับ

บรรยากาศร้านตกแต่งได้น่ารัก เข้ากับพื้นที่ธรรมชาติและก็มีการปลูกไร่ชาด้วยครับ ขอนำคำบรรยายท่าน อ.สุจินต์มาดังนี้
ท่าน อ.สุจินต์ ... นักปราชญ์มีชีวิตที่ประเสริฐด้วยปัญญา ถ้าไม่รู้ว่า ปัญญารู้อะไร ประโยคนี้มีความหมายไหมคะ ก็กล่าวตามๆ กัน
นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า ชีวิตที่ประเสริฐคือชีวิตที่อยู่ด้วยปัญญา เท่านี้ แต่ไม่รู้เลยว่า พูดทำไม พูดแล้วเข้าใจอะไร จนกว่าจะรู้ว่า ปัญญารู้อะไร
จึงสามารถรู้ความต่างได้ว่า เพราะมีปัญญาชีวิตจึงประเสริฐ แต่ถ้าไม่มีปัญญา ชีวิตจะประเสริฐได้อย่างไร ก็เป็นความไม่รู้ เพราะเหตุว่าปัญญาเป็นสภาพที่รู้ถูก เห็นถูก เข้าใจถูก
เพราะฉะนั้น กว่าจะถึงการละความเป็นตัวตนโดยไม่รู้ ไม่เข้าใจอะไรเลย เป็นไปไม่ได้ แต่เพราะเหตุว่ารู้ความจริงของทุกอย่างที่ปรากฏว่า เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแล้วจะยึดถืดว่าเป็นเราได้ไหม
แต่เพียงได้ฟังแค่นี้ไม่พอ เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ แต่ละคนก็ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างคิด แล้วแต่คิดตามที่ได้ฟังมานานและสะสมมานานในสังสารวัฏฏ์ หรือจะเพิ่งเริ่มคิดก็แล้วแต่
เช่น ชีวิตที่ประเสริฐ ชีวิต คือ จิตเจตสิก ในภพภูมิที่มีขันธ์ที่มีรูปธรรม ก็มีรูปด้วย เพราะฉะนั้น แต่ละชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ต้องมีจิต เจตสิกและรูป
เพราะฉะนั้น คำว่า “ประเสริฐ” ที่นี่ รูปประเสริฐ หรืออะไรประเสริฐ หรือจิตที่แต่ละคนเข้าใจว่าเป็นเรา ขณะนั้นรู้ไหมว่าดีชั่วระดับไหน ต้องเป็นปัญญาจึงจะรู้ได้ ถ้าเป็นเรา จะไม่รู้เลย เราพยายามจะทำดี ความเป็นเรานั่นหรือถูกต้อง ไม่ใช่ปัญญาเลย
เพราะฉะนั้น ต้องไม่คิดถึงว่า “เรา” แต่คิดถึงจิต สภาพของจิตจำกัดไหม เรียกว่า สัตว์ เรียกว่า บุคคล แต่ความจริงจิตเป็นจิต จิตจะเป็นสัตว์ บุคคลใดๆ ไม่ได้เลย แต่เพราะมีรูปต่างกัน เราก็มองเห็นว่าเป็นหญิง เป็นชาย เป็นนก เป็นคน หรือเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่ละหนึ่งๆ ไปเพราะรูแ แต่ถ้าเอารูปออกไป เริ่มคิดถึงจิตจริงๆ และพิจารณาจิตของคนอื่นก็ไม่ได้
จะไปรู้จิตของคนอื่นไปกล่าวว่าเขาดี เขาชั่วไม่ได้เลย แต่จิตที่มีที่เกิดขึ้นที่เป็นธาตุรู้ ที่ไม่เคยรู้เลยว่า ไม่ใช่เรา เข้าใจว่าเป็นเรา เป็นของเราตลอด ก็เริ่มพิจารณาโดยความถูกต้องว่า จิตนี้ดีชั่วแค่ไหน เพราะวันหนึ่งๆ เคยคิดถึงจิตไหม มีแต่เรื่องอื่น แต่คิดถึงจิตคงน้อยมาก
แต่ฟังดูแล้วจะรู้ว่า ชีวิตที่ประเสริฐก็เพราะจิตที่ประเสริฐ ถ้าจิตไม่มีปัญญาจะประเสริฐได้อย่างไร เช่น จิตเห็น พอเกิดมาแล้วเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นมนุษย์ เกิดแล้วต้องเห็น ไม่เอารูปร่างใดๆ มาปะปนเลยทั้งสิ้น จิตเห็นจะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๗ เหมือนกันหมดไม่ว่าเป็นมนุษย์ เป็นงู เป็นมด หรือเป็นช้าง ขณะนั้นประเสริฐไหม เป็นผลของกรรมต้องเห็น ต้องได้ยิน แต่เห็นแล้ว เกิดมาแล้วมีโอกาสได้ยินได้ฟังความจริง
เพราะฉะนั้น ไม่เอารูปร่างมาเกี่ยวข้องก็มีเห็น มีได้ยินต่างๆ แต่สำหรับสัตว์เดรัจฉาน จะเป็นงู จะเป็นช้าง สุนัข แมวก็แล้วแต่ ได้ยินเหมือนกับเรา ที่บ้านมีสุนัขหรือเปล่า เห็นสิ่งเดียวกันกับเราหรือเปล่า แต่เห็นเป็นอย่างไร ไม่สามารถจะรู้จะเข้าใจอะไรได้เลยทั้งสิ้น ได้ยินเสียง เราสามารถรู้ความหมายของเสียงซึ่งเป็นเสียงที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ พอฟังแล้วก็สามารถรู้ได้ว่า นี่คือสิ่งที่มีจริงที่สามารถเริ่มเข้าใจถูกต้อง
แต่สุนัข แมว จิ้งจกที่บ้านได้ยินเหมือนกัน จิตเหมือนกันทุกประเภท จิตจะไม่เป็นไปตามคนนี้จิตอย่างนี้ หลังจากจิตเห็นแล้วก็จะต้องมีจิตได้ยินเกิดขึ้นทันที ไม่ได้ค่ะ จิตต้องเป็นไปตามนิยามะของธรรมะว่า เมื่อจิตนี้เกิดขึ้นแล้วดับไป จิตอะไรจะเกิดต่อ

ในบรรดาจิตที่เกิดต่อก็จะต้องมีกุศลและอกุศล สัตว์เดรัจฉานมากด้วยอกุศลหรือกุศล แล้วมนุษย์ล่ะคะ ต่างกันตรงไหน ใครคิดว่า หลังจากเห็นแล้วจิตมนุษย์เป็นกุศลมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน อาสวะเหมือนกันหมดไม่ว่าใคร

เพราะฉะนั้น จะกล่าวว่า เราดีกว่า ดีกว่าเมื่อไร ประเสริฐกว่า ประเสริฐเมื่อไร ไม่ใช่ว่าพอเห็นแล้วประเสริฐเพราะเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เลย เห็นแล้วก็มีอาสวะ จะเป็นกามาสวะ พอใจในสิ่งที่เห็น ภวาสวะ ติดข้องในความเป็นสิ่งนั้น สุนัขไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็นสุนัข แต่ก็ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏด้วยความยินดีพอใจในความเป็น ในความเห็นก็ได้ว่าเที่ยง
จบจากทานอาหารค่ำแล้วก็พักผ่อนกันเต็มที่ เตรียมไปรับท่านอาจารย์สุจินต์ กับคุณป้าจี๊ดและคุณชลชินี ที่โรงแรมที่เมืองไทเป ในเช้าวันพรุ่งนี้ ครับ

เช้าวันที่ 12 กันยายน 2561 คณะของเรา เดินทางมาที่โรงแรม Haward พบท่านอาจารย์และพบคณะสนทนาธรรมที่มาก่อนหน้านี้ ทางคุณวินเซนต์ คุณซาร่าห์ คุณป้าแดงและอีกหลายๆ ท่าน ก็ต่างถ่ายรูป ร่ำลากัน
ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่จะศึกษาพระธรรมตามแนวทางที่ถูกต้องไม่เคยจางหายไปจากใจของผู้ที่สะสมความเห็นถูกมา




ร่วมกันถ่ายรูปที่หน้าโรงแรม และ คณะที่มาก่อนหน้านี้ก็เดินทางกลับกรุงเทพ ครับ ส่วนคณะเราก็พาท่าน อ.สุจินต์ คุณป้าจี๊ดและคุณชลชินี ไปเที่ยวพักผ่อนต่อ ที่ เมืองหนานโถว และ เมือง Cingjing 12-15 กันยายน 2561 ครับ

บรรยากาศเป็นไปด้วยความน่ารักและเป็นมิตรไมตรีอย่างยิ่งครับ
สายๆ ประมาณ 10.00 น. คณะเราได้ออกเดินทางไปเมืองหนานโถว ที่อยู่ตอนกลางของประเทศ สบายๆ ใช้เวลา สองชั่วโมงก็ถึงร้านอาหาร วันนี้เลยจัดเต็ม มื้ออร่อยต้อนรับผู้มีปัญญาและเป็นที่เคารพอย่างยิ่งครับ
เราเลือกสเต็ก และบุฟเฟ่ต์สลัดผักและอาหารอื่นๆ มากมาย มีทั้งสเต็กเนื้อ สเต็กปลาแซวมอล สเต็กปลาหิมะ (อร่อยมาก) สเต็กปลาซาบะ สเต็กเนื้อ ทุกคนส่วนใหญ่สั่งสเต็กปลาหิมะกัน แต่ท่านอาจารย์สั่งสเต็กเนื้อ
ท่านบอกว่า ไม่มีคนสั่งเนื้อ จะได้แบ่งให้คนอื่น! นี่คือความละเอียดของผู้ที่คิดแบ่งบันให้คนอื่น กราบท่านอาจารย์ด้วยความเคารพครับ
และคนที่ได้สัมปทาน ได้ทานเนื้อ ก็คือ ผม อิอิ ทานแบ่งมาให้เยอะเลย กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ครับ

อาหารอร่อยมากมื้อนี้ ใครว่าอาหารไต้หวันไม่อร่อย อร่อยครับ แล้วแต่ว่าจะเลือกร้านไหน อย่างไร

ท่านอาจารย์ทานเสร็จแล้ว ไม่ละเลยโอกาสเลย สนทนากับสหายธรรมคณะของเราต่อ

และรถก็ออกเดินทางไปที่โรงแรม ที่พักของเราถึงตอนบ่ายสองโมงครับ

ที่พักที่กระผมเลือกเป็นวิลล่าที่เป็นบ้านพักส่วนตัว มีบ้านพักใหญ่สองหลัง แนะนำครับ ถ้าใครจะมา Sun Moon Lake และ ฟาร์มแกะ Cingjing โรงแรมนี้อยู่กึ่งกลาง สะดวกไปทั้งสองที่และสถานที่พักดีมากๆ ๆ ห้องใหญ่ สวย น่ารักและการบริการดีมากๆ ท่านอาจารย์บอกให้ 10 ดาว เพราะ ทั้งสถานที่พัก เจ้าของโรงแรม คอยขับรถรับส่งท่านอาจารย์เองตลอด ขอบคุณในน้ำใจของเจ้าของโรงแรมมา ณ ที่นี้ ครับ

ชื่อโรงแรม Saint Paul villa เมือง Yuchi ไต้หวัน
เจ้าของวิลล่าบินไปต่างประเทศ คือ ยุโรปบ่อย คิดว่าแถวนี้ไม่มีโรงแรมสไตล์ยุโรป จึงซื้อเฟอร์นิเจอร์ออกแบบสไตล์ยุโรปเองครับ
ท่านอาจารย์ท่านพัก บ้านหลังสีออกสีอิฐ ห้องพิเศษใหญ่ชั้นล่าง


ส่วนพวกเราบางท่านก็พักวิลล่าสีเหลืองสไตล์ยุโรป

บรรยากาศสบายๆ มีสวน ที่เดิน ในสวน อากาศก็ดีมากๆ เพราะที่พัก ล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งหมดครับ



ให้เห็นถึงห้องพัก รายละเอียดความเอาใจใส่

เย็นนี้คณะทีมเราก็ไปเที่ยวแถวทะเลสาบซันมูนเลค ส่วนท่านอาจารย์ก็พักผ่อนสบายๆ ที่โรงแรม มื้อเย็น เจ้าของยังทำอาหารให้ทาน สามสี่ท่าน ที่ไม่ได้ทานอาหารข้างนอกอีก ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ขอบคุณมากๆ ครับ เป็นการพักผ่อนในสถานที่ที่สุดวิเศษ

เช้าวันที่ 13 กันยายน 2561 แล้ว ตื่นเช้ามา สดใส สบายๆ จริงๆ และ ทานอาหารเช้ากันครับ เจ้าของโรงแรมทำเองให้พวกเราทาน 24 ท่าน

อาหารน่ารักมากและอร่อยมาก และเป็นอาหารสุขภาพด้วยครับ


เช้านี้ทานกันเสร็จแล้วก็จะมีการสนทนาธรรมที่ห้องอาหารน่ารัก ตอนเวลา 10.00-12.00 ครับ


ทานอาหารเสร็จแล้ว มีเวลาสบายๆ กันครับ ท่านอาจารย์ก็สบายๆ อยู่กับอิริยาบถพักผ่อน และ คุยธรรมสบายๆ ตอนเดินเที่ยวชมสวนด้วย สบายจริงๆ ครับ สหายธรรมก็สบายๆ ถ่ายรูปกันกับบรรยากาศโรงแรมและอากาศที่สดชื่น
ท่านอาจารย์สุจินต์ ... เวลาที่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ความเข้าใจถูกอยู่ที่ไหน ต้องไม่ลืมว่า มีกรรมและมีผลของกรรม แล้วอีกอย่างหนึ่ง ใครเปลี่ยนใจใครได้ไหม
คนกำลังโกรธ ไปบอกเขาว่า อย่าโกรธนะ ตกนรกนะ โกรธแล้วไม่ดีนะ ร่างกายจะไม่แข็งแรง จะเจ็บไข้ได้ป่วย เขาจะโกรธต่อไปไหมคะ หรือเขาจะหยุดโกรธเพราะเราพูดอย่างนี้ เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น
เพราะถ้าเข้าใจธรรมะมากขึ้นจะอยู่เป็นสุข เพราะความเข้าใจธรรมะที่จะรู้ว่า ขณะใดเป็นอกุศลและขณะใดเป็นกุศล และธรรมะก็คือมีปัจจัยเกิดขึ้น ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้

ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงในเรื่องกุศล ที่สำคัญมากก็คือเรื่องความเป็นมิตรหรือความเป็นเพื่อน ซึ่งมาจากคำว่า “มิตตะ” ภาษาบาลีก็ใช้คำกับคำว่า “เมตตา” ทั้ง ๒ คำ
เพราะฉะนั้น หมายความถึงอะไร ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน พูดได้ แต่ความลึกซึ้งและความจริงใจอยู่ที่ไหน
ถ้าเป็นเพื่อนในภาษาไทย ก็คือความเป็นมิตรหรือเมตตา หมายความถึงความหวังดีกับบุคคลนั้น พร้อมที่จะช่วยเหลือทุกโอกาส ไม่คิดร้าย ไม่โกรธเคืองด้วย ขณะใดที่โกรธ ขณะนั้นไม่ได้เป็นมิตรเลย
และขณะนั้นก็เป็นอกุศลจิตสะสมไว้บ่อยๆ ต่อให้มีสิ่งที่ดีรอบข้างก็ไม่เป็นสุขก็ได้
เพราะความขุ่นเคืองใจ หรือเป็นเหตุที่มีกำลังถึงกับทำอกุศลกรรมได้ ตามข่าวที่ได้ยินบ่อยๆ ไม่มีอะไรเลยก็ฆ่ากันตาย แค่คำพูดคำเดียวหรือการกระทำเพียงเล็กน้อย เพราะกำลังของกิเลสเป็นปัจจัย
เพราะฉะนั้น จะเป็นอย่างนั้นหรือ ใครทำ ใครโกรธ ทำแล้วใครได้รับผลของกรรม เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ว่า ถ้าเข้าใจธรรมะจริงๆ จะไม่เดือดร้อน
แต่มีความเป็นเพื่อน คือ เข้าใจแล้วเห็นใจว่า จิตใจของแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย บางคนก็สะสมอกุศลมามาก บางคนก็สะสมกุศลมามาก แล้วเราจะทำอะไรได้
นอกจากรักษาจิตของตนเอง ด้วยการเข้าใจถูกต้องว่า เป็นมิตร ไม่ใช่เป็นศัตรู ไม่ใช่หวังร้าย อะไรดีกว่ากันคะ เป็นมิตรดีกว่า เพราะอะไรคะ เราอยากให้คนอื่นเป็นมิตรเราใช่ไหมคะ
หรือเราอยากให้คนอื่นหวังร้ายต่อเรา เราเพียงอยากให้เขาเป็นมิตรกับเรา แล้วทำไมเราไม่อยากเป็นมิตรกับเขาหรือ แทนที่จะคอยให้เขามาเป็นมิตรกับเรา เราซิคะที่จะเป็นมิตรกับคนอื่น ไม่เดือดร้อนเลย
เพราะฉะนั้น ธรรมะทั้งหมดนำมาซึ่งความสุข ถ้าเข้าใจจริงๆ ไม่เป็นทุกข์ไม่เดือดร้อนด้วย แต่ที่สำคัญที่สุด คือ บังคับบัญชาไม่ได้ ฟังอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ แต่มีปัจจัยที่จะขุ่นใจ ขุ่นใจก็ต้องโกรธ
แต่ก็ได้ยินได้ฟัง เห็นโทษว่าอะไรดีกว่ากัน ในขณะที่กำลังจะโกรธ บางคนฟังธรรมะไม่นาน ก็บอกว่า นึกได้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรมะที่ไม่ดี ขณะนั้นก็เลยไม่โกรธ
เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับความเข้าใจจริงๆ เพราะอะไรคะ ทุกคนต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน
เพราะฉะนั้น ธรรมะที่ควรระลึกอยู่เสมอก็คือไม่มีใครรู้วันตาย ไม่รู้ว่าจะตายวันไหน เวลาไหน เมื่อไรด้วยอาการอย่างไร
เมื่อจะตายเดี๋ยวนี้ควรมีเมตตา ความเป็นมิตรหรือความเป็นเพื่อน เพราะถ้ามีความเป็นมิตรจริงๆ
จะไม่ทำร้ายด้วยวาจาหรือกายแม้สักเล็กน้อยก็ไม่มี แล้วก็เป็นประโยชน์กับคนนั้นเอง ใครก็ช่วยเราไม่ได้ ถึงเวลาไปนรก ไปเพราะกรรมที่ได้ทำไว้
เพราะฉะนั้น เห็นเลยว่า ขอให้เขาอย่าได้ไปสู่นรกก็เมื่อขอให้เขาได้เข้าใจธรรมะ หรือขอให้เขาเป็นคนดี นี่คือความหวังดี
แต่ไม่ใช่ไปท่องเสร็จก็โกรธ อย่างนั้นไม่ได้เข้าใจความเป็นมิตร ไม่ต้องพูด ไม่ต้องบอก แต่พร้อมทันทีที่เห็นใครก็ไม่หวังร้ายเลย และพร้อมจะช่วยเหลือเกื้อกูล
ท่าน อ.สุจินต์ ... ที่สำคัญที่สุดคือขณะนี้ เป็นขณะที่หาได้ยากยิ่ง คือขณะที่มีโอกาสได้ฟังเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีในชีวิต เพราะว่าชีวิตคือแต่ละหนึ่งขณะ
เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่มีชีวิตอยู่โดยไม่ได้เข้าใจสิ่งที่มีในชีวิต ขณะนั้นก็ผ่านไปโดยที่เมื่อไรมีโอกาสจะได้ฟังและเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้
ทุกอย่างไม่ได้เกิดเพราะความต้องการ ทุกคนอยากไม่มีกิเลส อยากมีปัญญา อยากรู้ความจริงของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏในขณะนี้

แต่ไม่ใช่จะสำเร็จไปด้วยความอยาก เพราะสิ่งที่มีในแต่ละขณะก็มีทุกขณะ แต่ก็ไม่เข้าใจ แสดงถึงความยาก ความลึกซึ้ง ความละเอียดอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น โอกาสที่ประเสริฐสุด คือ แต่ละ ๑ ขณะที่มีโอกาสได้ฟังความจริงของสิ่งที่ปรากฏ แล้วจะรู้จริงๆ ว่า สิ่งนี้ไม่ได้รู้โดยง่าย ผู้ที่จะรู้ได้ไม่ใช่บำเพ็ญความดีในเวลาสั้นๆ แล้วจะรู้ได้
แต่ต้องอาศัยการรู้จักสภาพธรรมะตามความเป็นจริง ตรงต่อธรรมะ แล้วก็รู้ว่า หนทางเดียวที่สามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงที่เคยหลงยึดถือว่า เที่ยง เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มั่นคงแม้ในขณะนี้ ก็ต่อเมื่อมีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม พระพุทธพจน์ที่ทรงแสดงเมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้ว

ท่าน อ.สุจินต์ ... ผู้ใดก็ตามที่ได้ฟังก็รู้ได้ว่า ขณะที่มีประโยชน์ที่สุดก็คือได้ฟังด้วยความเคารพเพื่อที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าเพียงเห็นรูปพุทธปฏิมากรเตือนให้ระลึกถึง
แต่รูปนั้นก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น จะไม่ได้เข้าใจความจริงเพียงการกราบไหว้ แต่ด้วยการรู้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา ก็คือเป็นสิ่งที่มีในขณะนี้ แล้วสามารถเข้าใจถูก เห็นถูกได้ต่อเมื่อได้ฟัง

การได้ฟังแต่ละครั้งก็เป็นสิ่งที่ยาก เพราะเหตุว่าแม้สิ่งนี้มีจริง มีศรัทธา มีจิตผ่องใส ไม่ติดข้องในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่โกรธเคือง หรือไม่ขุ่นเคือง

ขณะนั้นจิตสามารถรับฟังพระธรรมด้วยการที่ว่า เมื่อฟังแล้วจะเห็นความยากยิ่งว่า กว่าจะได้รู้คำที่ได้ยินได้ฟังโดยยากยิ่ง ทั้งแม้การได้ฟังและในการที่ฟังแล้วจะรู้ความจริงของที่ได้ฟังก็ยากยิ่ง

แต่ก็มีบุคคลในครั้งก่อนนานแสนนานมาแล้วคิดอย่างนี้ แต่ก็ไม่ละความเพียร และเมื่อมีโอกาสเมื่อไรก็สามารถสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริง เพราะรู้ว่า ขณะนี้ ธรรมดาอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ คิดอย่างนี้ ได้ยินอย่างนี้ เป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อรู้ความจริง โดยใช้เวลานานมาก

เพราะฉะนั้น เราเป็นใคร ก็คือผู้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ คือฟังเพื่อเข้าใจ เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ แล้วรู้ว่า ยากที่จะรู้ตามอย่างที่ทรงแสดง รู้อย่างอื่นจะเป็นความจริงได้ไหม ในเมื่อความจริงก็คืออย่างนี้แหละ

ฟังเพื่อเข้าใจอย่างมั่นคงว่า ฟังเพื่อชำระจิตจากความไม่รู้ ทำให้เกิดติดข้องที่นำมาซึ่งการประสบกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่เที่ยง เพียงชั่วคราว

แม้แต่ชาตินี้จะอยู่นานสักเท่าไร ไม่มีใครบอกได้เลย แต่ชีวิตที่เป็นอยู่คุ้มค่ากับการเกิดมา หรืออยู่ไปวันๆ สุขทุกข์ไปวันๆ แล้วจากโลกนี้ไปโดยเก็บความไม่รู้ติดตามไปด้วยมากมายทุกชาติ
กว่าจะเข้าใจจริงๆ ก็ต้องรู้จริงๆ ว่า ต้องอาศัยพระธรรมที่ทรงแสดง แต่ละคำไม่ผ่านและไม่เผิน แม้แต่คำว่า “ธรรมะ” ก็ต้องรู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ กำลังปรากฏ

แล้วเข้าใจแค่ไหน ถ้ารู้ว่า ไม่สามารถรู้การเกิดดับของสภาพธรรมะที่มีจริง เพราะเหตุว่าความไม่รู้กั้นไว้มาก แล้วยังติดข้อง อาจจะต้องการรู้จนกระทั่งไปทำอย่างอื่นที่ผิดปกติ และไม่ใช่ความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ
ขณะนั้นก็เห็นได้ว่า ไม่ทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ แต่ขณะนี้ที่ฟังสิ่งที่ปรากฏ ถ้าฟัง ทุกคำยากลึกซึ้งและละเอียด

อาศัยความเข้าใจเท่านั้นที่ทำให้ละความคิดที่เป็นตัวตนจะไปรู้ความจริง เพราะเหตุว่าการรู้ความจริงได้ต้องเป็นความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ในการสนทนาธรรมของเช้าวันนี้ ครับ สามารถคลิกฟังทางยูทูปได้ ทางลิ้งข้างล่างครับ
หลังจากจบสทนนาธรรม ก็ออกไปทานข้าวแถวทะเลสาบซันมูนเลค และก็เที่ยววัดต่อ ครับ ท่านอาจารย์ก็เที่ยวด้วย


นี่คือ ชีวิตปกติ ที่ปัญญาสามารถเกิดได้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน เพราะ ทุกขณะไม่พ้นจากธรรม ครับ

บรรยากาศสนุกรื่นเริงเป็นกันเองอย่างยิ่ง


เที่ยวัดได้สักครึ่งชั่วโมง เจ้าของโรงแรมก็ขับรถตู้เล็กมาด้วยตนเอง รับท่านอาจารย์ และ คุณป้าจี๊ด กลับโรงแรมไปพักผ่อน สบายๆ ที่โรงแรมที่พักครับ บริการเป็นเยี่ยมครับ

คณะก็เที่ยวกันต่อไป ล่องเรือที่ทะเลสาบซันมูนเลค ครับ
ท่าน อ.สุจินต์..รู้สิ่งที่ได้ยินโดยยากยิ่ง ไม่ต้องใช้คำมากมายเลย แต่รู้สิ่งที่ได้ยินโดยยากยิ่ง ยากแม้แต่จะได้ยิน มีธรรมะจริง วิทยุรายการธรรมะ ไม่เปิดวิทยุจะได้ยินไหม
เพราะฉะนั้น แม้แต่จะได้ยินก็ยากยิ่ง เมื่อได้ยินแล้วที่จะรู้จะเข้าใจคำที่ได้ยิน ก็โดยยากยิ่ง ใครจะประมาทบ้างว่า เดี๋ยวก็รู้ เมื่อไรจะรู้ คำว่า “เมื่อไรจะรู้” ถ้าเข้าใจจริงๆ จะไม่มีเลย
เพราะคำตอบคือความเข้าใจของคนนั้นเอง ถ้ายังไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วจะถามว่าเมื่อไรจะรู้ได้อย่างไร เวลานั้นก็ไม่รู้แล้ว ใช่ไหมคะ
เพราะฉะนั้น เมื่อไรจะรู้ก็คือค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้นแค่ไหนก็รู้ว่า เข้าใจเพียงเท่านั้น แต่พระธรรมที่ทรงแสดงไว้มากมาย และไม่เป็นไปที่ทำให้คนฟังไปในทางที่ผิด
ถ้าไม่ประมาทและเคารพในการฟังพระธรรมจริงๆ ว่า ฟังเพื่อเข้าใจแต่ละคำ ไม่ใช่คิดเองแล้วไม่ใช่หวัง และไม่ใช่เพื่อเรา เพราะเหตุว่าเพียงฟังว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ เป็นเพียงสิ่งที่มีจริง เมื่อเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ถ้าเข้าใจอย่างนี้จริงๆ มีเราที่จะหวังอะไรไหมคะ
และแล้ว and the gang ก็เตรียมเต้นเพลงของอาลิซาน ทั้งทีมเต้นกันสนุก สุดเหวี่ยง เห็นนิ่งๆ อย่างนี้ พลิ้วกันสุดๆ ครับ หลุดโลกเลย 555 วีดีโอหาดูกันได้ทางเฟสบุ๊คสหายธรรมครับ
จบจากการเที่ยวล่องเรือ ตอนเย็น คณะก็มารอกันที่จุดสนทนาธรรมที่สวยงาม ริมทะเลสาบ Sun moon lake อากาศเย็นสบายยามเย็น สวยงามมาก อุปกรณ์ถ่ายทำเตรียมมาเป็นระบบที่ไม่ต้องใช้ไฟ จึงสามารถถ่ายทำ สนทนาได้ทุกที่ที่ต้องการ เรามีนัดสนทนาธรรมรอบพิเศษที่ริมทะเลสาบ ครับ

ท่านอาจารย์สนทนาเกื้อกูลคุณวันชัย ไกด์ไต้หวันเป็นอย่างมากครับ คุณวันชัยไม่เคยฟังพระธรรมที่ถูกต้องมาก่อน และ บรรยากาศหัวเราะ ผ่อนคลายสบายๆ
แต่ สิ่งที่คณะเราคาดไม่ถึง คือ ความเข้าใจของคุณวันชัย ที่ค่อยๆ ปะติดปะต่อได้อย่างรวดเร็ว ท้ั้งเรื่องสภาพธรรม เรื่องของจิต เจตสิกได้ ในตอนใกล้จบสนทนาครับ

ธรรมจึงเป็นเรื่องของปกติในชีวิตประจำวัน ผู้ถามก็ถามปัญหาในชีวิตประจำวัน ท่านอาจารย์ก็อธิบายตามธรรม

เพราะชีวิตประจำวันก็คือ ไม่พ้นจากธรรมนั่นเองครับ

ท่าน อ.สุจินต์ ... บางท่านเข้าใจว่า ธรรมะแยกจากชีวิตประจำวัน แต่ถ้าได้ศึกษาพระธรรมแล้วจะรู้ว่า ธรรมะก็คือชีวิตประจำวันนั่นเอง พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องของโลภะ ความติดข้อง ความต้องการ เป็นชีวิตประจำวันหรือเปล่า

พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องโทสะ ความขุ่นเคือง ความไม่พอใจ เป็นชีวิตประจำวันหรือเปล่า

พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องความเมตตา ความกรุณา การเห็น การได้ยิน ความสุข ความทุกข์ต่างๆ พระธรรมที่ทรงแสดงเป็นชีวิตประจำวัน นอกจากนั้นยังทรงแสดงว่า ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมะทั้งหมด

เพราะฉะนั้น จะไม่มีเลยที่คนที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเข้าใจแล้ว แล้วจะบอกว่า ธรรมะแยกจากชีวิตประจำวัน ถ้าคนไม่รู้จะพูดอย่างนั้น แต่ถ้าคนที่รู้ว่า ธรรมะคืออะไร จะพูดอย่างนี้ไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าขณะนี้ก็เป็นธรรมะ

กำลังเห็น อาจจะเคยเข้าใจว่าเป็นเรา เป็นตัวตน เป้นคนนั้นคนนี้ แต่ความจริงแล้วเป็นสภาพธรรมะชนิดหนึ่งซึ่งมีจริง อะไรก็ตามที่เป็นสิ่งที่มีจริง แล้วเราไม่ต้องเรียกชื่อก็ได้ อย่างเห็น จะเรียกว่าเห็น หรือไม่เรียกว่าเห็น

จะใช้ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษามอญ พม่า เปลี่ยนชื่อไปสารพัดชื่อ แต่เห็นก็เป็นสภาพธรรมะที่มีจริง และสภาพธรรมะที่มีจริง อีกชื่อหนึ่งอาจจะเรียกว่า สัจธรรมะ คือเป็นธรรมะที่เป็นของแท้ ที่พิสูจน์ได้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงความละเอียดของธรรมะทุกอย่าง ไม่เว้นเลย
ติดตามการฟังสนทนาธรรมที่ริมทะเลสาบซันมูนเลคได้ที่ลิ้งยูทูปนี้ครับ
จบการสนทนาก็มาทานอาหารค่ำ อาหารจัดเต็มอีกแล้ว ตามเหตุปัจจัย ขาหมูอร่อย ยกยอกุ้งอร่อย ปลาอร่อยแต่ก้างเยอะ ครับ
เช้าวันที่ 14 กันยายน 2561 โปรแกรมวันนี้ สบายๆ ตื่นสายๆ สิบโมงค่อยออกเที่ยว ครับ วันนี้เราจะไปฟาร์มแกะ Cingjing ขึ้นเขาไปสองพันกว่าเมตร ใช้เวลาเดินทางัชั่วโมงกว่าครับ ไม่ไกล อากาศดี ท้องฟ้าสดใสมาก

เริ่มอออกเดินทาง ทางคณะไปทานอาหารกลางวันที่บนยอดเขา Cingjing ส่วนกระผมมาติดตั้งระบบสนทนาที่ในฟาร์มแกะ Cingjing เนื่องด้วยระบบสนทนาไม่ใช้ไฟฟ้าเลยสะดวก หาสถานที่สวยๆ สนทนา

ศาลาหลังนี้เองครับ ขึ้นมาอากาศข้างบนแปลกมาก เย็นมากครับ แดดแรงแต่ อากาศไม่น่าจะเกิน 20 องศา ท้องฟ้านี้แจ่มใส ฟ้าเป็นฟ้าจริงๆ

ทิวทัศน์นี่สวยงามมาก เขียวขจี มองสบายตา สูดอากาศได้เต็มปอด

ท่านอาจารย์และคณะก็มารับประทานอาหาร ในบรรยากาศบนยอดเขาอากาศดี ครับ
เมือง Cingjing เค้าขนานนามที่นี่ว่าเป็น สวิสเซอร์แลนด์ของไต้หวันเลยทีเดียว เพราะความสวยงามของภูเขา น้ำตก และ อากาศที่บริสุทธิ์มากๆ ครับ

ที่เราเห็นปราสาทนี้ก็คือ บริเวณฟาร์มแกะที่ะมีนักท่องเที่ยวมาดูแกะและชมบรรยากาศที่สวยงามกัน

ระหว่างกระผมติดตั้งเครื่องเสียงและระบบกล้องที่ศาลา ก็มีคนมาแวะเวียนดู เจอหนูน้อยชาวไต้หวันเข้า ดูเป็นมิตรน่ารัก
เลยแกล้งถือกล้องจะถ่ายเท่านั้น หนูน้อยก็ชูนิ้วขึ้นทันที ขอสักภาพนะครับ
ท่านอาจารย์และคณะพร้อมแล้วที่จะมาชมบรรยากาศที่สวยงามและสนทนาธรรมในสถานที่สวยงามอากาศบริสุทธิ์ครับ

ท่านอาจารย์และคณะชื่นชมบรรยากาศด้วยความเป็นกันเอง


ยอดภูเขาสลับซับซ้อนที่เรียงรายสูงขึ้นไปถึงสามพันเมตร ถ้ามาตอนหน้าหนาว ธันวา มกราหละก็ หิมะตกครับที่นี่

ทางเดินที่เราเดินมาที่ศาลา ถ่ายมุมไหนก็สวยครับ เพราะท้องฟ้าและทิวทัศน์สวยงามอย่างยิ่ง


ก่อนเริ่มสนทนาธรรมก็ถ่ายรูปกันสบายๆ ครับ


การสนทนาธรรมเริ่มขึ้น คุณวันชัยก็ยังสนใจพระธรรม และสอบถามสนทนาต่อ นับว่าเป็นประโยชน์กับพี่เขามากๆ ครับ ไม่มีคำว่าบังเอิญแต่มีแต่คำว่าเหตุปัจจัยพร้อมจริงๆ สะสมบุญมาแล้วในชาติปางก่อน แม้อยู่ไต้หวันธรรมจัดสรรให้ได้ฟัง ได้เข้าใจพระธรรม ไกด์โจโจ้ ก็สะสมบุญมาดี สนทนาสอบถามได้เข้าใจเป็นอย่างดีมากครับ

ท่าน อ.สุจินต์ ... รู้สิ่งที่ได้ยินโดยยากยิ่ง ไม่ต้องใช้คำมากมายเลย แต่รู้สิ่งที่ได้ยินโดยยากยิ่ง ยากแม้แต่จะได้ยิน มีธรรมะจริง วิทยุรายการธรรมะ ไม่เปิดวิทยุจะได้ยินไหม

เพราะฉะนั้น แม้แต่จะได้ยินก็ยากยิ่ง เมื่อได้ยินแล้วที่จะรู้จะเข้าใจคำที่ได้ยิน ก็โดยยากยิ่ง ใครจะประมาทบ้างว่า เดี๋ยวก็รู้ เมื่อไรจะรู้ คำว่า “เมื่อไรจะรู้” ถ้าเข้าใจจริงๆ จะไม่มีเลย
เพราะคำตอบคือความเข้าใจของคนนั้นเอง ถ้ายังไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วจะถามว่าเมื่อไรจะรู้ได้อย่างไร เวลานั้นก็ไม่รู้แล้ว ใช่ไหมคะ
เพราะฉะนั้น เมื่อไรจะรู้ก็คือค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้นแค่ไหนก็รู้ว่า เข้าใจเพียงเท่านั้น แต่พระธรรมที่ทรงแสดงไว้มากมาย และไม่เป็นไปที่ทำให้คนฟังไปในทางที่ผิด
ถ้าไม่ประมาทและเคารพในการฟังพระธรรมจริงๆ ว่า ฟังเพื่อเข้าใจแต่ละคำ ไม่ใช่คิดเองแล้วไม่ใช่หวัง และไม่ใช่เพื่อเรา
เพราะเหตุว่าเพียงฟังว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ เป็นเพียงสิ่งที่มีจริง เมื่อเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ถ้าเข้าใจอย่างนี้จริงๆ มีเราที่จะหวังอะไรไหมคะ
เพราะฉะนั้น ตราบใดที่คิดว่า เมื่อไรจะรู้ เมื่อไรจะเข้าใจ ขณะนั้นไม่ได้เข้าใจธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริงเพียงชั่วคราว ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นเดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ เกิด ปรากฏ ดับไป แต่ไม่รู้เลย
ฟังต่อไป แล้วจะรู้ว่า ปัญญาเท่านั้น ความเข้าใจเท่านั้นที่จะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังซึ่งรู้ได้โดยยากยิ่ง ไม่ใช่ยากธรรมดา อย่างสิ่งที่ปรากฏทางตา พูดทุกวัน ได้ยินบ่อยๆ ถ้าได้ยินไปเรื่อยๆ ในสังสารวัฏฏ์ มีหรือที่จะไม่เริ่มเข้าใจขจริงๆ ว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น
วันนั้น ไม่ใช่วันที่เพียงหวัง แต่ต้องมีเหตุที่สมควรว่า ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังธรรมะเหมือนกับได้เฝ้าได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เราก็จะประมาท แต่ผู้ที่มีปัญญาน้อย ในกี่อสงไขยมาแล้วก็อาจจะเคยได้เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่รู้ว่าพระองค์ไหน

แต่เมื่อมีปัญญาน้อย ก็รู้เหตุว่าทำไมปัญญาน้อย ตั้งใจฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่งหรือเปล่า หรือฟังแล้วเข้าใจมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ธรรมะไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไปเลย เหมือนฟ้าแลบ เก็บไว้ได้ไหม เห็นชัดเจนหรือยังว่า อะไรเป็นอะไร เพราะแสนสั้น

แต่ละคำที่ได้ยินได้ฟังก็ดับไป ไม่ใช่หน้าที่ของใครเลย นอกจากธรรมะ คือ สังขารขันธ์ เพราะฉะนั้น เข้าใจเมื่อไรต้องโยนิโสมนสิการหรือเปล่าคะ
ต้องไปทำอะไรหรือเปล่า ก็ชอบไปคิด แต่จริงๆ แล้วไม่ต้องไปทำอะไรเลย เพราะสภาพธรรมะกำลังทำ ไม่มีใครทำ เข้าใจเมื่อไรก็คือเจตสิกที่เป็นโสภณเจตสิกเกิดขึ้นทำกิจการงาน และปัญญาขณะที่เข้าใจถูกก็มีที่จะสะสมต่อไป

นี่คือการฟังธรรมะด้วยการตั้งตนไว้ชอบ ซึ่งไม่ใช่เรา แต่ปัญญานั่นเอง เพราะฉะนั้น ปัญญาคือความเห็นถูก ความเข้าใจถูกซึ่งเกิดในขณะที่ฟังโดยยากยิ่ง
เพราะฉะนั้น ขณะที่เข้าใจเมื่อกี้นี้เองก็ละคลายความไม่รู้ไปน้อยมาก ทีละเล็กทีละน้อย ไปเรื่อยๆ และสิ่งที่สะสมมามากๆ วันหนึ่งก็สามารถหมดได้

เหมือนคนที่อยู่คนละฝั่งของมหาสมุทรไปสู่อีกฝั่งหนึ่งได้ แต่ไม่ใช่อยู่เฉยๆ ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย คือ ปัญญา
ท่าน อ.สุจินต์..มั่นคงว่าในชีวิตอะไรสำคัญที่สุดเพราะว่าทุกคนจะตายเมื่อไหร่เพราะกรรมอันนี้เป็นของที่แน่นอนที่สุดนะคะ
แต่ไม่ได้หมายความว่าเราละเลยหรือว่าเห็นแก่ตัว ไม่ช่วยใครนะคะ แต่ว่าสิ่งที่เราทำ เมื่อเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้ เราก็ทำสิ่งที่ดีที่สุดนั้นด้วย และก็รู้ด้วยว่าการฟังธรรมนั้นก็มีค่า เพราะไม่รู้ว่าเราจะจากไปวันไหนก็ได้
แต่เราก็ได้ช่วย ได้ดูแล และก็มีความมั่นคงว่าถึงยังไง ถึงเวลาขณะที่จะสิ้นชีวิต ใครก็ช่วยไม่ได้ ไม่มีใครต่ออายุของใครได้เลยทั้งสิ้น และเราก็ได้ทำสิ่งที่ดีที่สุด พร้อมกันนั้นเราก็มีความมั่นคงในการฟังพระธรรมด้วย ไม่ได้ทอดทิ้ง อย่าทอดทิ้ง แต่ว่าทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
สามารถติดตามฟังสนทนาธรรมที่ Cingjing ฟาร์มแกะ ได้ที่ลิ้งยูทูปนี้ครับ เนื้อหาดีมากๆ เริ่มนาทีที่ 44 คร้บ
ระหว่างสนทนา รุ้งกินน้ำก็เกิดขึ้นสวยงามมาก ครับ สหายธรรมก็ถ่ายรูปก่อนกลับโรงแรม ท่านอาจารย์ก็ชื่นชม สนทนาเรื่องรุ้ง ครับ


เช้าวันที่ 15 กันยายน 2561 เป็นวันที่เราต้องเดินทางไปสนามบินเถาหยวน ไทเป เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพกันแล้ว เจ้าของโรงแรมก็ขอมาถ่ายรูปกับเรา คุณป้าจี๊ดให้สร้อยและอื่นๆ ตอบแทนน้ำใจของเจ้าของโรงแรมที่ดูแลอย่างดีมากๆ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ ขออนุโมทนาคุณวินเซนต์ (Mr. Vincent Chen สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ 3016) อย่างยิ่งที่เชิญท่านอาจารย์มาเผยแพร่พระธรรมที่ถูกต้อง พระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ประดิษฐาน ณ เกาะไต้หวัน เมื่อปี 2561 หลังจากที่พระพุทธศาสนาได้ประดิษฐานดีแล้วที่เกาะลังกาเมื่อสองร้อยกว่าปีหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน
กราบขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
อนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่าน ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ