เค้ามูลแห่งอารมณ์อันเป็นที่รักและอารมณ์อันไม่เป็นที่รัก ตอนที่ ๓ [สักกปัญหสูตร]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม 2 ภาค 2 - หน้า 134
ส. ก็อารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก มีอะไร เป็นนิทาน เป็นสมุทัย เป็นชาติ เป็นแดนเกิด เมื่ออะไรยังมีอยู่ อารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก จึงมี เมื่ออะไรไม่มีอยู่ อารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รักจึงไม่มี.
พ. อารมณ์อัน เป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก มีฉันทะเป็นนิทาน เป็นสมุทัย เป็นชาติ เป็นแดนเกิด เมื่อฉันทะยังมีอยู่ อารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รักย่อมมี เมื่อไม่มีอารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รักย่อมไม่มี ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม 2 ภาค 2 - หน้า 176
พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า มีความพอใจเป็นเค้ามูล นี้. ความพอใจมี ๕ อย่างคือ ความพอใจในการแสวงหา ความพอใจในการได้เฉพาะ ความพอใจในการใช้สอย ความพอใจในการสะสม ความพอใจในการสละ. ความพอใจในการแสวงหาเป็นไฉน คือ คนบางคนในโลกนี้ เกิดความพอใจไม่อิ่ม ย่อมแสวงหารูป เสียง กลิ่น รส ย่อมแสวงหาสิ่งที่พึงถูกต้อง ย่อมแสวงหาทรัพย์ นี้ความพอใจในการแสวงหา. ความพอใจในการได้เฉพาะเป็นไฉน คือ คนบางคนในโลกนี้ เกิดความพอใจไม่อิ่ม ย่อมได้เฉพาะรูปเสียง กลิ่น รส ย่อมได้เฉพาะสิ่งที่พึงถูกต้อง ย่อมได้เฉพาะทรัพย์ นี้ความพอใจในการได้เฉพาะ. ความพอใจในการใช้สอยเป็นไฉน คือ คนบางคนในโลกนี้ เกิดความพอใจไม่อิ่ม ย่อมใช้สอยรูป เสียงกลิ่น รส ย่อมใช้สอยสิ่งที่พึงถูกต้อง ย่อมใช้สอยทรัพย์ นี้ความพอใจในการใช้สอย. ความพอใจในการสะสมเป็นไฉน คือ คนบางคนในโลกนี้ เกิดความพอใจไม่อิ่ม ย่อมทําการสะสมทรัพย์ ด้วยคิดว่า จะมีในคราววิบัติ นี้ความพอใจในการสะสม.ความพอใจในการสละเป็นไฉน คือคนบางคนในโลกนี้ เกิดความพอใจไม่อิ่มย่อมจ่ายทรัพย์แก่พลช้าง พลม้า พลรถ ขมังธนู ด้วยคิดว่า คนเหล่านี้ จักรักษา จักคุ้มครอง จักรัก จักแวดล้อมเรา นี้ความพอใจในการสละ. ความพอใจแม้ทั้ง ๕ อย่างนี้ ในที่นี้เป็นเพียงตัณหาเท่านั้นเอง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาความพอใจนั้น จึงได้ตรัสคํานี้.
ทีฆนิกายฏฺฐกถา (สุมงฺคลวิลาสินี๒) - หน้าที่ 547
ฉนฺทนิทานนฺติ
พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า “มีฉันทะเป็นเค้ามูล” นี้
เอตฺถ ปริเยสนฉนฺโทฯ ปฏิลาภฉนฺโท ฯ ปริโภคฉนฺโท ฯ สนฺนิธิฉนฺโท วิสชฺชนฉนฺโทติ
ในที่นี้ ฉันทะมี ๕ อย่างคือ ปริเยสนฉันทะ ปฏิลาภฉันทะ ปริโภคฉันทะ สันนิธิฉันทะ และวิสัชชนฉันทะ
ปญฺจวิโธ ฉนฺโทฯ
ฉันทะ ๕ ประเภท อย่างนี้แล
กตโม ปริเยสนฉนฺโท ฯ
อะไรเล่า ชื่อว่าปริเยสนฉันทะ?
อิเธกจฺโจ อติตฺโต ฉนฺทชาโต รูปํ ปริเยสติฯ
ในที่นี้ บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่รู้จักพอ เกิดฉันทะแล้ว ย่อมแสวงหารูป
สทฺทํฯ คนฺธํฯ รสํฯ โผฏฐพฺพํ ปริเยสติฯ
ย่อมแสวงหาเสียง กลิ่น รส และสิ่งที่ควรถูกต้อง (สัมผัส)
ธนํ ปริเยสติฯ
ย่อมแสวงหาทรัพย์
อยํ ปริเยสนฉนฺโท ฯ
นี้เรียกว่าปริเยสนฉันทะ
ปฏิลาภฉนฺโท กตโม ปฏิลาภฉนฺโทฯ
อะไรเล่า ชื่อว่าปฏิลาภฉันทะ?
อิเธกจฺโจ อติตฺโต ฉนฺทชาโต รูปํ ปฏิลภติฯ
ในที่นี้ บุคคลบางคนไม่รู้จักพอ เกิดฉันทะแล้ว ย่อมได้รูป
สทฺทํฯ คนฺธํฯ รสํฯ โผฏฐพฺพํ ปฏิลภติฯ
ย่อมได้เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่พึงสัมผัส
ธนํ ปฏิลภติฯ
ย่อมได้ทรัพย์
อยํ ปฏิลาภฉนฺโท ฯ
นี้เรียกว่าปฏิลาภฉันทะ
กตโม ปริโภคฉนฺโทฯ
อะไรเล่า ชื่อว่าปริโภคฉันทะ?
อิเธกจฺโจ อติตฺโต ฉนฺทชาโต รูปํ ปริภุญฺชติฯ
ในที่นี้ บุคคลบางคนไม่รู้จักพอ เกิดฉันทะแล้ว ย่อมบริโภครูป
สทฺทํฯ คนฺธํฯ รสํฯ โผฏฐพฺพํ ปริภุญฺชติฯ
ย่อมบริโภคเสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ
ธนํ ปริภุญฺชติฯ
ย่อมใช้สอยทรัพย์
อยํ ปริโภคฉนฺโท ฯ
นี้เรียกว่าปริโภคฉันทะ
กตโม สนฺนิธิฉนฺโท ฯ
อะไรเล่า ชื่อว่าสันนิธิฉันทะ?
อิเธกจฺโจ อติตฺโต ฉนฺทชาโต ธนํ สนฺนิจยํ กโรติ
ในที่นี้ บุคคลบางคนไม่รู้จักพอ เกิดฉันทะแล้ว ย่อมสะสมทรัพย์ไว้
อาปทาสุ ภวิสฺสตีติ
ด้วยคิดว่า “จะมีใช้เมื่อคราววิบัติ”
อยํ สนฺนิธิฉนฺโท ฯ
นี้เรียกว่าสันนิธิฉันทะ
กตโม วิสชฺชนฉนฺโท ฯ
อะไรเล่า ชื่อว่าวิสัชชนฉันทะ?
อิเธกจฺโจ อติตฺโต ฉนฺทชาโต ธนํ วิสชฺเชติ
ในที่นี้ บุคคลบางคนไม่รู้จักพอ เกิดฉันทะแล้ว ย่อมจ่ายทรัพย์
หตฺถาโรหานํ อสฺสาโรหานํ รถิกานํ ธนุกฺคหานํ
ให้แก่พวกคนขี่ช้าง คนขี่ม้า คนขับรถ คนแบกธนู
อิเม มํ รกฺขิสฺสนฺติ โคปิสฺสนฺติ มมาภิสฺสนฺติ สมฺปริวาริสฺสนฺตีติฯ
ด้วยคิดว่า “คนเหล่านี้จักรักษา จักคุ้มครอง จักรัก จักแวดล้อมเรา”
อยํ วิสชฺชนฉนฺโท ฯ
นี้เรียกว่าวิสัชชนฉันทะ
อิเม ปญฺจปิ ฉนฺทา อิธ ตณฺหามูลกาเยว ฯ
ฉันทะทั้ง ๕ เหล่านี้ ในที่นี้ มีตัณหาเป็นรากเหง้าอย่างเดียวเท่านั้น
ตํ สุนฺทราย อิธ วุตฺตํ ฯ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาฉันทะนั้น จึงตรัสคำนี้ไว้อย่างงดงามในที่นี้
[สรุป]
>> อะไรเป็นรากเหง้าของอารมณ์อันเป็นที่รักและอารมณ์อันไม่เป็นที่รัก?
>> ตอบ ฉันทะ (ความพอใจ) ๕ ประเภท เป็นรากเหง้า ได้แก่
>> ปริเยสนฉันทะ ได้แก่ ความพอใจที่เมื่อเกิดแล้ว ย่อมแสวงหารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
>> ปฏิลาภฉันทะ ได้แก่ ความพอใจที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมได้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
>> ปริโภคฉันทะ ได้แก่ ความพอใจที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมบริโภคใช้สอยทรัพย์นั้นๆ
>> สันนิธิฉันทะ ได้แก่ ความพอใจที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมสะสมทรัพย์ไว้ เพื่อใช้ในคราววิบัติ
>> และ วิสัชชนฉันทะ ได้แก่ ความพอใจที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมใช้จ่ายทรัพย์ เช่น จ่ายทรัพย์ให้บริวาร เพื่อหวังให้เค้าดูแล คุ้มครองเรา เป็นต้น
>> อารมณ์ทั้งที่รัก และที่ไม่รัก ซึ่งในที่นี้แสดงว่า ได้แก่ ทรัพย์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ หรือสังขาร ซึ่งไม่พ้นไปจากรูปทางตา เสียงทางหู กลิ่นทางจมูก รสทางลิ้น โผฏฐัพพะทางกาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่ามีฉันทะเป็นเค้ามูล
กราบเรียนอาจารย์คำปั่น
1. อิเม ปญฺจปิ ฉนฺทา อิธ ตณฺหามูลกาเยว ฯ เข้าใจว่า แปลว่า "ฉันทะทั้ง ๕ เหล่านี้ ในที่นี้ มีตัณหาเป็นรากเหง้าอย่างเดียวเท่านั้น" ในฉบับแปลบอกว่า "ความพอใจแม้ทั้ง ๕ อย่างนี้ ในที่นี้เป็นเพียงตัณหาเท่านั้นเอง" เข้าใจว่าฉบับแปลนี้อาจจะความหมายไม่ตรงกับตัวบาลีใช่ไหมครับ
กราบอนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลของคุณวิทวัตอย่างยิ่งครับ ฉันทะ เป็นฉันทะ ไม่ใช่ตัณหา เป็นสภาพธรรมคนละประเภทกัน ในขณะที่ตัณหาหรือโลภะเกิด ก็เกิดพร้อมกับฉันทะ แน่นอน
แต่ในบางนัย ฉันทะ ในบางแห่ง มุ่งหมายถึง โลภเจตสิก คือ ความติดข้องนั่นเอง ซึ่งตัณหาหรือโลภะที่มีกำลังอ่อน ท่านก็เรียกว่าฉันทะ ตามข้อความใน
[เล่มที่ 28] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม 4 ภาค 1 - หน้าที่ ๔๘๘
ตัณหาที่มีกำลังอ่อนแรกเกิด ชื่อว่า ฉันทะ ฉันทะนั้นไม่สามารถเพื่อให้กำหนัดได้. แต่ตัณหาที่มีกำลัง เมื่อเกิดขึ้นบ่อยๆ จึงชื่อว่า ราคะ ราคะนั้นสามารถทำให้กำหนัดยินดีได้.
.. ยินดีในกุศลของคุณวิทวัตและทุกๆ ท่านด้วยครับ ...
กราบเรียน อ.คำปั่นครับ
เป็นข้อผิดพลาดอย่างยิ่ง ต้องขออภัยด้วยครับ คำบาลีที่ถูกนำมาลงคลาดเคลื่อนจากในคัมภีร์บาลี ใน 2 ประโยคสุดท้าย ครับ จาก ทีฆนิกายฏฺฐกถา (สุมงฺคลวิลาสินี๒) - หน้าที่ 548
อิเม ปญฺจปิ ฉนฺทา อิธ ตณฺหามตฺตเมว
ซึ่งแปลว่า "ฉันทะทั้งห้าประการเหล่านี้ ในที่นี้ เป็นเพียงตัณหาเท่านั้น"
ตํ สนฺธาย อิทํ วุตฺตํฯ
ซึ่งแปลว่า "ข้อความนี้กล่าวไว้เพื่อหมายเอาเรื่องนั้น"
คำแปลที่ฉบับแปล เข้าใจว่าถูกต้องแล้วครับ และกราบขออภัยในที่นี้ด้วยครับ ถ้าเป็นอย่างนี้ หมายความว่า ฉันทะทั้ง ๕ ที่กล่าวถึง นี้ทรงหมายถึงตัณหาใช่ไหมครับ
ใช่ครับ ในที่นี้ เป็นการอธิบายถึงความเกิดขึ้นเป็นไปของตัณหาหรือโลภะ ครับ
ยินดีในกุศลวิริยะของคุณวิทวัตด้วยครับ
กราบอนุโมทนาครับ