ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ "อพฺยาปาทธาตุ"
โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย
อพฺยาปาทธาตุ อ่านตามภาษาบาลีว่า อับ - พะ - ยา - ปา - ทะ - ดา - ตุ มาจากคำว่า น (ไม่ ซึ่งเป็นคำปฏิเสธ) [แปลง น เป็น อ], พฺยาปาท (ความพยาบาท, ความประทุษร้าย, ความเบียดเบียน, ความยังผู้อื่นให้ถึงซึ่งความพินาศเดือดร้อน) กับคำว่า ธาตุ [สภาพที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน] จึงรวมกันเป็น อพฺยาปาทธาตุ เขียนเป็นไทยได้ว่า อัพยาปาทธาตุ แปลว่า สภาพที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตนคือความไม่พยาบาท เป็นอีก ๑ คำที่แสดงถึงความเป็นจริงของขณะที่เป็นกุศลธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป เป็นธรรมฝ่ายดีที่ระงับความโกรธระงับความคิดปองร้ายผู้อื่น แสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ของพระธรรมที่พระสัมมา-สัมพุทธเจ้าทรงแสดง ที่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม ขัดเกลาอกุศลธรรมโดยตลอด ไม่มีคำสอนแม้แต่บทเดียวที่ส่งเสริมให้เกิดอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย
ข้อความในสัมโมหวิโนทนี อรรถกถา พระอภิธรรมปิฎก พระวิภังค์ ได้อธิบายความหมายของคำว่า อัพยาปาทธาตุ ดังนี้
“ธาตุที่ประกอบด้วยความไม่พยาบาท ชื่อว่า อัพยาปาทธาตุ คำว่าอัพยาปาทธาตุนี้ เป็นชื่อของเมตตา”
ความประพฤติเป็นไปในทางที่ไม่ดีทั้งหมด มาจากสภาพจิตที่ไม่ดีที่เป็นอกุศล เป็นความจริงที่ว่าเมื่ออกุศลจิตเกิดขึ้นแล้วย่อมทำความดีไม่ได้ การทำสิ่งที่ดีที่ถูกต้องเหมาะควร ก็เกิดขึ้นเป็นไปไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่โกรธไม่พอใจ จะทำดีต่อใครๆ ไม่ได้เลยในขณะนั้น
ตามความเป็นจริงแล้ว ความโกรธ ความไม่พอใจ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ผู้ที่ยังไม่ใช่พระอนาคามี ยังต้องมีความโกรธ เพราะเหตุว่ายังมีเชื้อของความโกรธที่ยังไม่ได้ดับอย่างเด็ดขาด บางบุคคล เป็นผู้มีอัธยาศัยดี มีความประพฤติดี เรียบร้อย เกือบจะดูเหมือนว่าไม่เห็นว่าเขาโกรธเลย แต่ตามความเป็นจริงแล้ว เมื่อยังไม่ใช่พระอนาคามีบุคคล ต้องโกรธแน่ แม้ว่าจะไม่มาก เป็นเพียงความขุ่นใจ ไม่พอใจเมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจซึ่งมีมากในชีวิตประจำวัน เวลาเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ก็ยากที่จะไม่เกิดความขุ่นใจ ความไม่สบายใจ อย่างนี้ก็เป็นลักษณะของความโกรธเช่นเดียวกัน
ขณะที่เกิดความโกรธนั้น เป็นอกุศล ไม่ใช่ผลของกรรม แต่เป็นการสะสมโทสะ (ความโกรธ) เมื่อสะสมบ่อยๆ เนืองๆ โดยที่ไม่มีการเห็นโทษเห็นภัย ก็ทำให้กิเลสมีกำลังมากขึ้น จนถึงขั้นประทุษร้ายเบียดเบียน ทำอันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นได้ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีและไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะเป็นโทษเป็นภัยกับตนเองโดยตรงแล้ว ยังก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นอีกด้วย สภาพธรรมที่เป็น อัพยาปาทะ หรือ ความไม่โกรธ ไม่ปองร้ายไม่ประทุษร้ายต่อผู้อื่น จึงเป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับความโกรธ ความเบียดเบียนประทุษร้ายผู้อื่น อย่างสิ้นเชิง ไม่นำมาซึ่งทุกข์โทษภัยใดๆ เลย ไม่ว่าจะกับตนเองหรือผู้อื่น เพราะเหตุว่าไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใดก็ตาม สภาพธรรมฝ่ายดี ไม่มีทางที่จะทำให้เกิดโทษเลย จะไม่มีใครได้รับโทษภัยจากความดีเลยแม้แต่น้อย
ในชีวิตประจำวันขณะใดที่กุศลเกิด ขณะนั้นสงบจากอกุศล ถ้าเรามีความเป็นมิตร มีความเป็นเพื่อนกับคนอื่นบ่อยๆ ใจเราก็จะเบาสบายด้วยกุศลธรรม เราจะไม่มีศัตรูเลย เพราะใจเราไม่เป็นศัตรูกับใคร แม้ว่าคนอื่นจะมีความประพฤติที่ผิดมีการประทุษร้ายต่อเราอย่างไรก็ตาม คนที่ไม่ชอบเรา ประทุษร้ายเรา จะด้วยกายหรือด้วยวาจา เขาย่อมเดือดร้อน วุ่นวาย เป็นอกุศลของเขา แต่เรามีความเป็นมิตร หวังดี ช่วยเหลือเขาเท่าที่จะเป็นไปได้ พร้อมที่จะเป็นผ้าเช็ดธุลีซึ่งเช็ดได้ทุกอย่าง รองรับได้ทุกอย่าง ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ เราก็จะไม่เดือดร้อนเลย แต่คนที่ไม่ชอบเราที่เป็นศัตรูกับเรานั้น เดือดร้อนตลอด เดือดร้อนเพราะถูกอกุศลกลุ้มรุมจิตใจ
ควรอย่างยิ่งที่แต่ละคนจะได้คิดพิจารณาว่า ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าจะละจากโลกนี้ไปเมื่อใด ควรที่จะเห็นคุณค่าของการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ซึ่งได้อย่างยากแสนยาก ด้วยการสะสมแต่สิ่งที่ดีงามในชีวิตประจำวัน มีความมีเมตตา ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน หวังดี ต่อผู้อื่น ไม่ประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่น เป็นต้น รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมด้วย เพราะเมื่อปัญญาเจริญขึ้น กุศลธรรมประการต่างๆ ก็จะเจริญขึ้นตามระดับของปัญญา ความโกรธ ความไม่พอใจกัน ความประทุษร้ายเบียดเบียนกัน รวมถึงอกุศลธรรมประการอื่นๆ ก็จะลดน้อยลงด้วย ที่พึ่งอย่างอื่นไม่มี นอกจากปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจถูก เห็นถูก เท่านั้น และปัญญาจะเจริญขึ้นได้ ต้องไม่ขาดการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ด้วยความจริงใจและเห็นประโยชน์จริงๆ ว่า ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อละความไม่รู้
อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ
ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ควรที่จะเห็นคุณค่าของการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ซึ่งได้อย่างยากแสนยาก ด้วยการสะสมแต่สิ่งที่ดีงามในชีวิตประจำวัน มีความมีเมตตา ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน หวังดี ต่อผู้อื่น ไม่ประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่น เป็นต้น รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมด้วย
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ