ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๖๒
~ ความโกรธ รวมไปถึง กิเลสทั้งหลายประการต่างๆ อุปมาเหมือนต้นไม้มีพิษ คิดจะเพิ่มอาหารให้ต้นไม้มีพิษ ให้ฝังรากลึกลงไปอีก และให้งอกงามเพิ่มพูนขึ้น จะเก็บบำรุงรักษาต้นไม้มีพิษนั้นไว้ หรือจะตัดโค่นต้นไม้มีพิษนั้น?
~ ประโยชน์ที่สุดในชีวิต คือ การฟังพระธรรม ที่พระสัมสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง พระมหากรุณาคุณที่ทรงแสดงพระธรรมไว้เป็นอันมาก ก็เพื่อที่จะ ให้เห็นโทษของอกุศลของตนเอง และจะได้เจริญกุศลยิ่งขึ้น
~ เมื่อรู้ว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดควร ก็กระทำ แล้วก็จะไม่กระทำสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร
~ การคบหาสมาคมก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้กุศลธรรมเจริญ หรืออกุศลธรรมเจริญ จะทำให้ความเห็นผิดเจริญ (เพิ่มขึ้น) หรือว่าจะทำให้ความเห็นถูกเจริญ จะทำให้ปัญญาเจริญ หรือว่าจะทำให้อวิชชาเจริญ
~ คำของพระสัมมาสัมสัมพุทธเจ้า ควรค่าแก่การเคารพอย่างยิ่ง
~ เพราะรู้ว่า ไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุที่จะทำให้เกิดอกุศลอื่นๆ จึงฟังพระธรรม เพราะฉะนั้น ยาที่ประเสริฐที่สุด ก็คือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ที่สามารถที่จะกำจัดโรคไม่รู้ได้
~ ขณะใดที่พูดคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วขณะนั้น เป็นผู้เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทุกคำที่กล่าวถึงคำที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้วก็แสดงว่าผู้นั้นประกาศคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ไม่คด ไม่งอ อะไรถูกก็ถูก อะไรผิดก็ผิด เพราะว่าธรรมตรงอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะได้สาระจากพระธรรม ไม่ใช่ฟังแล้วเชื่อ แต่ฟังแต่ละคำละเอียดขึ้นๆ เพื่อที่จะรู้ว่า ถูกต้องตรงอย่างไร ซึ่งขณะนั้น ก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญาทที่สำคัญที่สุดก็คือ ทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา (ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น)
~ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงแสดงพระธรรมที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ ใครจะรู้ได้ ก็มืด แล้วก็ยิ่งทับถมความมืดมากขึ้นๆ เพราะฉะนั้น ทั้งชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายอะไรจะประเสริฐที่สุด?
~ อยู่ในโลกตลอดกี่ภพกี่ชาติ ก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงรู้ว่าสิ่งที่มีค่าที่สุด คือ ความเข้าใจ จากความมืดสนิทเพราะความไม่รู้ ก็ได้เข้าใจ
~ ทุกอย่างแสนสั้นชั่วคราว แล้วประโยชน์อยู่ที่ไหน ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็มีแต่ความไม่รู้และความติดข้อง จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น, เมื่อเห็นค่าของสิ่งที่มีค่าที่สุด ใครจะละทิ้ง?
~ ทุกเวลาทุกนาที ควรจะเป็นสิ่งที่ทำประโยชน์มาให้กับตนเองและชาวโลก สหายทั้งหลายที่เกิดมาร่วมกันในโลก ซึ่งเขาไม่รู้ เพราะฉะนั้น ถ้าจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์จริงๆ ก็คือว่า ต้องให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง นี่เป็นความหวังดีที่สุด ให้อะไรแก่ใครก็ตามแต่ สิ่งนั้นก็ต้องหมดไป แต่ถ้าให้ความรู้ให้ความเห็นที่ถูกต้อง มีแต่จะเพิ่มขึ้น
~ ผู้ใดก็ตามที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็มีความเข้าใจและเห็นประโยชน์ แล้วก็ด้วยความหวังดี ก็แสดงความจริงความถูกต้องของพระธรรมวินัย ให้คนอื่นได้รู้ตามความเป็นจริง นี่คือ จุดประสงค์ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า เราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนโลก ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนคนอื่นได้ แต่สามารถเป็นมิตรหวังดีที่จะให้เขาได้เข้าใจถูก เพื่อ...เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว ก็จะทำให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าตราบใดยังไม่รู้ ไม่มีทางที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องได้เลย
~ คำจริงทุกคำที่กล่าวให้คนอื่นได้เข้าใจ เป็นการประกาศความรู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระรัตนตรัย
~ ทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วยความหวังดี ใครจะรัก ใครจะชัง จะไม่พอใจอย่างไร ก็ห้ามไม่ได้
~ ถ้าไม่มีใครกล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วใครล่ะจะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เพราะเหตุว่า พระพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ฝากไว้กับคนใดคนหนึ่ง หรือ บริษัทหนึ่งบริษัทใดเลย และข้อความในพระไตรปิฎก ก็มีว่า ยิ่งเปิดเผย คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระพุทธศาสนา ยิ่งรุ่งเรือง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกปกปิดด้วยคำของบุคคลอื่นนานแสนนาน ถึงเวลาแล้วที่เมื่อมีใครก็ตามที่เข้าใจถูกต้อง ก็ช่วยกันแสดงความจริง เพื่อประโยชน์ และเพื่อพระพุทธศาสนาจะได้รุ่งเรืองเปิดเผยทุกคำ ทั้งพระสูตร พระวินัยและพระอภิธรรม เมื่อกล่าวรวมแล้ว ก็คือ พระธรรมวินัย
~ ประโยชน์ที่สำคัญที่สุด ก็คือ กว่าใครจะมีโอกาสได้ฟังคำจริงที่ถูกต้อง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นโอกาสที่หายาก เพราะฉะนั้น ต้องช่วยกันเปิดเผย (คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) เพื่อพระธรรมจะได้รุ่งเรืองและกระจ่าง ไม่ต้องหวั่นเกรงอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ทุกท่านที่มีความสุขในปัจจุบันชาตินี้ คงจะระลึกถึงอดีตกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วไม่ได้ก็จริง แต่ขณะใดที่เป็นกุศลวิบาก มีการได้รับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่ดี ขณะนั้นก็เป็นผู้ที่สามารถจะพิจารณาได้ว่า ต้องเกิดขึ้นเป็นผลของกุศลเหตุที่ได้กระทำไว้แล้วได้สั่งสมไว้แล้ว คือ ไม่สูญหาย เมื่อเหตุได้กระทำไว้แล้ว สะสมไว้แล้ว ก็เป็นเหตุให้ผลเกิดขึ้น
~ การศึกษาพระธรรม ต้องรู้ว่าเพื่อประโยชน์อะไร ถ้าศึกษาเรื่องของอวิชชา (ความไม่รู้) ก็เพื่อเห็นโทษ และเมื่อเห็นโทษของอวิชชาแล้ว ก็จะได้หาทางที่จะอบรมเจริญปัญญา ความรู้ เพื่อที่จะละความไม่รู้
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้คนได้เข้าใจถูกต้องทั้งเหตุและผลทุกประการโดยละเอียดยิ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ใช่สิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล นั่น ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าใครจะพูด
~ ถ้าไม่เข้าใจธรรม บวชทำไม เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมแล้วมีการบวชโดยไม่เข้าใจธรรม เป็นสิ่งที่ถูกต้องไหม ไม่ว่าจะบวชเป็นภิกษุหรือบวชเป็นสามเณรก็ตาม จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อที่จะให้เข้าไปสู่พระธรรมวินัยโดยไม่เข้าใจธรรมวินัยและไม่ขัดเกลากิเลสด้วย ด้วยเหตุนี้ ต้องเป็นผู้ที่มีความเคารพอย่างยิ่งว่า ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เพื่อประโยชน์แก่ผู้ฟัง เพื่อที่จะได้เกิดปัญญาซึ่งไม่เคยเกิดมาก่อน แล้วก็สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจมั่นคงขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ ละคลายกิเลสได้
~ ถ้าจะรู้ว่า อะไรคืออะไร มีหนทางเดียวคือพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ทั้งพระวินัย พระสูตรและพระอภิธรรม เพราะฉะนั้น แม้ว่าใครจะกล่าวว่าเป็นภิกษุณี ก็ควรที่จะได้ตรวจสอบกับพระธรรมวินัย ว่า เป็นได้ หรือเป็นไม่ได้ หรือเข้าใจเอาเองว่าเป็นภิกษุณี (เพราะเหตุว่า ยุคนี้ไม่มีภิกษุณี)
~ ภิกษุ ไม่ได้อยู่ที่เครื่องแต่งกาย แต่ว่าจะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมที่ถูกต้อง แล้วขัดเกลากิเลส ด้วยการศึกษาพระธรรม เพราะเหตุว่า ถ้าไม่เข้าใจธรรม ไม่มีอะไรที่จะขัดเกลากิเลสได้เลย เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมแล้วก็ขัดเกลากิเลสตามพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ นั่น จึงจะเป็นภิกษุในธรรมวินัย
~ ใครก็ตามที่กล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้กตัญญู เพราะรู้คุณของพระองค์ จึงกล่าวคุณของพระองค์
~ คฤหัสถ์ที่เข้าใจพระธรรมมวินัย รู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์หน้าที่ใดๆ ที่จะไปตักเตือนใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้กตัญญู กล่าวคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วนั่นแหละ ให้คนอื่นได้ฟัง ได้พิจารณาได้เข้าใจ เป็นเครื่องเตือนให้รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไร ไม่ใช่ไปคิดเอง
~ ถ้าพูดผิด รู้คุณหรือเปล่า? ความผิด สิ่งที่ผิด ไม่มีคุณเลย เพราะฉะนั้น ไม่ใช่รู้คุณ แต่สิ่งที่ดี ที่ถูกที่ควร ที่ตรง เป็นคุณ เพราะฉะนั้น ถ้าพูดถูก พูดตรง ตามความเป็นจริง ก็คือว่า เป็นผู้ที่รู้คุณของความจริง
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๖๑

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ธรรมมีมานัสพร้อม รับฟัง อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้ จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา