มีท่านผู้ฟังซึ่งแต่ก่อนนี้ท่านไม่เคยทราบเลยว่า อกุศลธรรมที่ท่านสะสมมานั้นมีอะไรบ้าง ท่านกล่าวว่าท่านไม่มีริษยา เพราะว่าความริษยาของท่านคงจะไม่รุนแรงถึงกับปรากฏให้เกิดเป็นสภาพความเดือดร้อนของจิต แต่ว่าเมื่อท่านเจริญสติปัฏฐานแล้ว ท่านกล่าวว่าท่านมี ไม่ใช่ไม่มี ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานรู้จักสภาพธรรมที่เกิดกับท่านตรงตามความเป็นจริง ไม่เท็จ และไม่หลอกลวงด้วย เพราะว่าเวลาที่ลักษณะของริษยาเกิดขึ้น คือ ความไม่พอใจในสมบัติ จะเป็นลาภสักการะ จะเป็นวรรณะ จะเป็นคำอนุโมทนาของบุคคลที่มีต่อบุคคลที่ท่านไม่พอใจ ก็สามารถจะสำรวจตรวจรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นถูกต้องว่า ริษยานั้นมีสมบัติของผู้ที่ท่านไม่พอใจ ผู้ซึ่งไม่เป็นที่รักของท่านเป็นสมุฏฐาน และรู้จริงๆ ว่า ถ้าเปลี่ยนความไม่พอใจบุคคลนั้นเป็นความเมตตา ริษยาจะไม่เกิดขึ้น แต่ว่าลักษณะของริษยาที่เกิดกับบุคคลบางคนนั้นก็เพียงเล็กน้อย อาจจะชั่วแวบ ชั่วครู่ และเล็กน้อยที่สติเมื่อระลึกแล้วริษยานั้นก็คลายไป หรือหมดไป เพราะสติสามารถที่จะระลึกและก็รู้ว่า สิ่งใดเป็นสภาพธรรมที่ควรเจริญ หรือสิ่งใดเป็นสภาพธรรมที่ควรละ ถ้ามีมุทิตา มีเมตตา ย่อมยินดีในสมบัติของบุคคลอื่นเวลาที่บุคคลอื่นได้รับ จะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่น่าพอใจ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขที่น่าพอใจ ท่านก็ชื่นชมอนุโมทนาได้ แต่ขณะใดที่ไม่อนุโมทนา ไม่ชื่นชม ไม่ยินดี นั่นเป็นลักษณะของริษยา เพราะฉะนั้น ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานจะรู้จักสภาพธรรมละเอียดยิ่งขึ้น ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 229