ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๒๖
โดย khampan.a  20 ก.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 50442

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๒๖




~
เมื่อมีบุคคลผู้ประเสริฐที่สุด ทรงดับกิเลสจนหมดสิ้น ทรงตรัสรู้สภาพธรรมทุกอย่างตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงความจริง คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ควรฟังคำของพระองค์ ด้วยความละเอียด รอบคอบ ไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง
~ การศึกษาธรรม ถ้าเข้าใจจุดประสงค์ว่าเพื่อเข้าใจลักษณะของ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สติระลึกว่า ธรรมไม่ได้อยู่ในหนังสือ แต่ทุกอย่างที่ได้ศึกษามาแล้ว ความเข้าใจทั้งหมดนั้นจะต้องในขณะที่ กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังรู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง แม้แต่เรื่องของปัจจัยที่ทรงแสดงไว้ ก็เพื่อให้เห็นสภาพความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมในขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน เป็นต้นนั่นเอง
~ ตามความเป็นจริงทราบว่าไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน และเมื่อได้ศึกษาเรื่องของนามธรรมและรูปธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นั่นเป็นความเข้าใจขั้นฟังและพิจารณาว่าไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน แต่ต้องทราบว่า ธรรมทั้งหมดที่ได้ฟัง คือ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เอง
~
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม คือ แสดงเรื่องของธรรมที่เกิดขึ้นเพราะ เหตุปัจจัยให้ปัญญารู้ ไม่ใช่ให้ทำอย่างอื่น เพราะว่ามีสภาพธรรมเกิดแล้วโดยความเป็นอนัตตา โดยเหตุโดยปัจจัย ไม่ใช่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดทำ เพราะฉะนั้น ปัญญา ก็เพียงรู้ให้ถูกต้องตามลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีแล้วในขณะนี้
~ การที่จะรู้ว่าธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน ก็โดยการเข้าใจสภาพธรรมละเอียดขึ้น เพราะฉะนั้น ธรรมที่เป็นกุศลก็มี ธรรมที่เป็นอกุศลก็มี ซึ่งธรรมที่เป็นกุศลไม่ใช่ธรรมที่เป็นอกุศล นี่ก็เห็นประโยชน์แล้วใช่ไหมว่าเป็นประโยชน์ที่จะต้องเข้าใจธรรมที่เป็นกุศลโดยถูกต้อง และต้องเข้าใจธรรมที่เป็นอกุศลโดยถูกต้อง
~
ถ้าไม่มีการเริ่มตั้งแต่ขั้นฟังด้วยความเคารพ จะไม่ถึงการที่จะรู้ว่า สิ่งที่มีในชีวิตประจำวันเป็นธรรมแต่ละหนึ่งอย่างไร พูดคำว่า "สติ" ตำรามีคำว่า "สติ" ทุกคนได้ยินคำว่า "สติ" รู้ว่าสติคืออะไร ขณะใดที่ระลึกเป็นไปในกุศล แล้ววันนี้ล่ะ กุศลเกิด รู้ไหมว่านั่นคือ "สติ"
*** ~
ถ้าศึกษาในจริยาปิฎก คือ ความประพฤติของพระผู้มีพระภาคเมื่อครั้งที่บำเพ็ญพระบารมี จะเห็นได้ว่า แม้มีผู้ที่กระทำสิ่งที่เลวร้ายในขณะที่พระองค์ เป็นพระโพธิสัตว์ด้วยประการต่างๆ กำลังจะโกรธก็ระลึกได้ว่าไม่ควรจะโกรธ เพราะว่าความโกรธนั้นจะไม่ทำให้ถึงฝั่งคือพระนิพพาน***
~
เวลาที่ความโกรธเกิดขึ้น เมื่อไม่ได้พิจารณาก็โกรธคนนั้น หรือไม่พอใจ คนนี้ แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ขณะนั้นที่ความโกรธเกิดขึ้น เพราะไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่าไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน แม้ความโกรธที่เกิดก็เป็น แต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง จนดับกิเลสได้ จึงยังต้องโกรธอยู่
~
โดยมากทุกท่านได้ยินคำว่า "ละคลาย" แต่ควรจะเข้าใจด้วยว่าละคลาย หมายถึงคลายความไม่รู้ในขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังคิดนึก กำลังเป็นสุข เป็นทุกข์ในชีวิตประจำวันตามปกติ ขณะใดที่รู้ขณะนั้นจะทราบได้ว่าละคลายทีละเล็กทีละน้อย
~
ต้องฟังพระธรรมและต้องเข้าใจ และต้องเป็นผู้ที่ละเอียด มิฉะนั้นจะทำให้เข้าใจผิด เพราะถ้ามีคนบอกว่าถ้าไม่อยากมีโทสะก็ให้ทำอย่างนั้นๆ ผู้นั้นก็ทำอย่างนั้นๆ และคิดว่าขณะนั้นดีที่ไม่มีโทสะ แต่โทสะก็ต้องเกิดอีกแน่นอน ตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นพระอนาคามีบุคคล เพราะฉะนั้น ปัญญาเกิดในขณะใด ขณะนั้นอกุศลจึงเกิดไม่ได้
~
ขณะนี้นึกออกไหมว่าโกรธใครอยู่บ้างหรือเปล่า ขณะที่เรื่องผ่านไปแล้ว แต่ยังไม่ลืม ยังไม่พอใจ ยังขุ่นเคืองใจ ยังโกรธอยู่ นั่นคือผูกโกรธ เพราะฉะนั้น ควรจะได้พิจารณาว่า เราเป็นคนมักโกรธ ผูกโกรธ จริงหรือเปล่า ซึ่งขณะที่ไม่ลืมความโกรธ ไม่อภัย ไม่เมตตา กุศลทั้งหลายก็เจริญเป็นบารมีไม่ได้
~
ชีวิตประจำวันที่จะสงเคราะห์ช่วยเหลือกันจริงๆ สามารถที่จะกระทำได้ทั้งในระดับขั้นของวัตถุทาน และในระดับขั้นของธรรมทาน ซึ่งเป็นการช่วยเหลือให้ผู้อื่นได้มีโอกาสเข้าใจธรรมถูกต้อง และได้ประพฤติปฏิบัติธรรมด้วย นอกจากนั้นการทำให้บุคคลอื่นมีความเข้าใจธรรม จะทำให้กุศลทั้งหลายเจริญขึ้นด้วย เพราะถ้าไม่เข้าใจธรรม กุศลอื่นๆ ก็เจริญไม่ได้
~
กายวาจาของบุคคลอื่นซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้นนั้น ไม่ใช่เหตุอันแท้จริงที่จะทำให้อกุศลจิตเกิด แต่เหตุอันแท้จริง คือ การสะสมอกุศลของตนเอง และไม่เห็นโทษของอกุศล ไม่จริงใจที่จะประพฤติปฏิบัติตาม ถ้าจริงใจที่จะประพฤติปฏิบัติตาม สละความโกรธทันทีได้ และเมตตาก็เกิดได้ทันที แต่ถ้ายังไม่เป็นอย่างนี้ ก็จะมีความโกรธและไม่สามารถขจัดความโกรธ หรือบรรเทาความโกรธนั้นได้ เพราะฉะนั้น เมตตาบารมีก็ไม่มีทางเจริญได้
~
เวลาที่อาหารไม่อร่อย บ่นหรือเปล่า ถ้ากำลังจะบ่น ระลึกถึงขันติบารมีได้แล้ว ไม่มีความอดทนเลยถึงกับกล่าววาจา ซึ่งขณะนั้นจะพูดหรือไม่พูดอย่างนั้น อาหารก็ยังคงเป็นอย่างนั้น
~
เรื่องภพภูมิต่างๆ พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้มากทีเดียว ซึ่งบางท่านคิดว่าไม่เป็นประโยชน์เพราะพูดถึงเรื่องของภูมิอื่น โลกอื่นที่ไม่ปรากฏ แต่พระธรรมทั้งหมดมีอุปการะเกื้อกูลอย่างยิ่งแก่พุทธบริษัท เพื่อท่านจะได้ไม่ประมาท และเจริญกุศลยิ่งขึ้น หลายท่านอาจจะบอกว่า ท่านไม่เห็นนรก ท่านไม่เห็นสวรรค์ แต่ท่านจะตอบได้ไหมว่า เวลาที่ท่านสิ้นชีวิตแล้วจะไปไหน ท่านจะปฏิสนธิหรือว่าเกิดที่ไหน เพราะเหตุว่าโลกนี้ก็เป็นที่เกิดซึ่งเป็นผลของกุศลกรรม แต่ตลอดชีวิตมานี้ รวมทั้งในอดีตอนันตชาติ (ชาติที่ผ่านมานับไม่ถ้วน) ด้วย ไม่ใช่มีแต่เฉพาะกุศลกรรม อกุศลกรรมก็มี ซึ่งจะเป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิเพื่อรับผลของอกุศลกรรมนั้น ตามควรแก่อกุศลกรรมนั้นๆ ทีเดียว
~
พระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียดครบถ้วน ทั้งพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก ก็เพื่อเกื้อกูลพุทธบริษัทให้ศึกษา เป็นผู้ตรงต่อธรรมวินัยจริงๆ และการประพฤติปฏิบัติก็ต้องตรงต่อธรรมวินัยด้วย ซึ่งผู้ที่จะเป็นพระอริยเจ้าได้นั้น ต้องเป็นอุชุปฏิปันโน (ปฏิบัติตรง) ถ้าคดโค้ง หรือว่าคดโกง ไม่ตรงต่อธรรม ทั้งในความเข้าใจ ทั้งในการประพฤติปฏิบัติ ก็ไม่สามารถที่จะเป็นอริยสาวกได้
~ ถ้าใครพูดผิด ทำผิด คิดผิด คนที่เข้าใจธรรม ก็พูดสิ่งที่ถูก เพื่อให้เขาได้เข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช่ไปโกรธหรือไปขุ่นเคืองใจเพราะขณะนั้นเป็นอกุศล ซึ่งเมื่อเห็นโทษของอกุศลแล้ว การเข้าใจนั่นแหละ จะค่อยๆ ทำให้สิ่งที่เป็นกุศลเจริญขึ้น
*** ~ คนที่ไม่รู้ความจริง อกุศลมาก อกุศลไม่เป็นประโยชน์กับใคร แม้กับตัวเองและคนอื่น แต่เวลาที่กุศลเกิดขึ้น ไม่ใช่สำหรับตัวเองเท่านั้น ยังเป็นประโยชน์กับคนอื่นด้วย***
~ ความหวังร้ายของคนอื่น ก็เป็นความหวังร้ายของคนอื่น แต่เปลี่ยนความหวังดีของเราไม่ได้
*** ~ ถ้าเราจะเดือดร้อนเพราะคนอื่น ทั้งวันไม่จบ ทั้งคืนไม่จบ ทั้งชาติไม่จบ เพราะฉะนั้น เกิดมาก็มีชีวิตอยู่ไม่นาน ประโยชน์ที่ประเสริฐที่สุดคือเข้าใจธรรมและทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ด้วย***
*** ~ ผู้ที่สละอาคารบ้านเรือน ละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต แสดงให้เห็นว่าจะต้องเป็นผู้มีสัจจะ คือ เป็นผู้ที่มีความจริงใจต่อการขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าเพศคฤหัสถ์***



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ 725


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...



ความคิดเห็น 1    โดย jaturong  วันที่ 20 ก.ค. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย chatchai.k  วันที่ 20 ก.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 3    โดย swanjariya  วันที่ 20 ก.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 4    โดย nattawan  วันที่ 21 ก.ค. 2568

ยินดีในกุศลวิริยะค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย มังกรทอง  วันที่ 21 ก.ค. 2568

สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง


ความคิดเห็น 6    โดย Wisaka  วันที่ 21 ก.ค. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย พิชญ์พัฒน์พงศ์  วันที่ 21 ก.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง และขออนุโมทนาในกุศลกุศลจิตของท่านอาจารย์คำปั่นที่รวบรวมนำธรรมมาเผยแพร่ให้เกิดปัญญาขึ้นครับ


ความคิดเห็น 8    โดย เมตตา  วันที่ 22 ก.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในความดีทุกประการของ อ.คำปั่น ค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย มังกรทอง  วันที่ 2 พ.ย. 2568

แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ