ความหมายของอนัตตา - เป็นเพียงเรื่องราวของความคิดนึก ตอนที่ 11-11 [สนทนาธรรมกับชาวต่างชาติ]
โดย wittawat  27 เม.ย. 2562
หัวข้อหมายเลข 30805

ถาม: ที่กล่าวถึงความสุข และความเศร้าว่าเป็นเพียงเรื่องราวของความคิดนึก ก็ยังไม่เข้าใจ ใครกันที่อยากจะคิดถึงสิ่งที่ทำให้เขาทุกข์ใจ ไม่มีใครอยากที่จะไม่มีความสุข บุคคลจะคิดในทางไหนให้เขาทุกข์ใจ

อ.สุจินต์: ไม่ใช่ว่าบุคคลใดจะคิดเพื่อที่จะให้ตัวเองทุกข์ใจ แต่มีหลายปัจจัยที่ปรุงแต่งให้ความทุกข์ใจเกิดขึ้นเพราะการคิด

ถาม: อย่างนี้หมายความว่ามีหลายปัจจัยที่ปรุงแต่ง ให้เกิดความเศร้าเมื่อบุคคลนั้น ยกตัวอย่างเช่น ต้องแยกจากกับทรัพย์สมบัติของเขา หรือเมื่อเขาเสียพนันม้า หรือเขากลับบ้านและก็คิดถึงเรื่องพนันม้าที่เขาแพ้ จากนั้น พนันม้า ก็อาจจะเป็นปัจจัยปรุงแต่ง ให้เกิดความไม่ทุกข์ใจของเขาหรือ

อ.สุจินต์: ถ้าเขาจะไม่คิดเรื่องม้าซึ่งแพ้การแข่งขัน จะมีความเศร้าเรื่องนั้นไหม

ถาม: ไม่ ก็จะไม่มี

อ.สุจินต์: เมื่อมีการเห็น หรือการได้ยิน และจากนั้น มีการคิดนึก ปัญญาควรที่จะรู้ว่าเป็นเพียงนามธรรมชนิดหนึ่งซึ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ กันและจากนั้นก็ดับไป เมื่อบุคคลคิดเกี่ยวกับเรื่องม้าไม่มีม้าขณะนั้น มีความจำของเรื่องราว หรือความคิดนึกเรื่องม้าในขณะนั้น ซึ่งนี่เป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ใจ เพราะฉะนั้นความทุกข์ใจเกิดขึ้นเพราะบุคคลนั้นคิดถึงสิ่งที่่เขาไม่ชอบ และความสุขใจเกิดขึ้นเพราะเขาคิดในสิ่งที่เขาชอบ

พระธรรมที่เราศึกษา พระไตรปิฎกทั้งหมด รวมถึงคัมภีร์อรรถกถา และฎีกา ได้อธิบายเพื่อให้ได้ ปัญญาสามารถที่จะเกิดขึ้น เข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏ ณ ขณะนี้ ตามความเป็นจริง ผู้ที่ศึกษามาก ฟังมาก สนทนาธรรมมาก พิจารณาใคร่ครวญในธรรมบ่อยๆ สิ่งที่เรียนรู้ทั้งหมดก็จะนำไปสู่ปัจจัยที่ปรุงแต่งสะสม ฝ่ายคุณความดี เป็นสังขารขันธ์ ให้สติเกิดขึ้น จากนั้นเมื่อสติสามารถที่จะระลึก ศึกษา และพิจารณาลักษณะของความจริงที่ปรากฏ ณ ขณะนี้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

บุคคลอาจจะได้ฟังมาแล้วครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พวกเขาก็ต้องถูกเตือนให้พิจารณาธรรมว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ทีละคนๆ สติควรระลึก ซึ่งก็จะสามารถมีความเข้าใจถูกในธรรมได้ มิฉะนั้น พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งธรรมโดยความเป็นอนัตตา มีแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมเกิดขึ้นและดับไปแต่ละขณะอย่างไม่ขาดสาย เมื่อธรรมนั้นดับไปแล้ว ก็ไม่เหลืออะไรอีกเลย ไม่มีการคงอยู่ต่อไปแม้เพียงขณะเดียว ควรที่จะรู้ว่าไม่ว่าความสนุกสนาน หรือความเศร้าที่เกิดแล้วในอดีตก็ดับไปหมดแล้ว ทั้งหมดดับสนิทไม่เหลือ เดี๋ยวนี้มีเพียงขณะปัจจุบัน และเพียงขณะนี้เท่านั้นที่จะสามารถศึกษาความจริง และเข้าใจธรรมโดยความไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน หรือบุคคล

บางคนบอกว่าพวกเขา ไม่อยากที่จะเจอคนนั้นอีกครั้งในชาติหน้า ถ้าพวกเขามีความเข้าใจถูกในธรรม จะไม่มีความคิดอย่างนี้ ในชาติหน้าจะไม่มีบุคคลนั้น หรือบุคคลนี้ที่เจอกันในปัจจุบัน หรือจะไม่มีเราด้วย หลังจากที่ตายความเป็นบุคคลนั้นในชาตินี้หมดสิ้นไม่เหลือ เฉพาะชาตินี้มีบุคคลนี้ และชาติหน้าก็เป็นอีกบุคคลหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรที่จะต้องกังวลหรือวุ่นวายใจกับการพบเจอบุคคลนั้นอีกครั้ง เพราะเป็นไปไม่ได้ เพราะความเป็นบุคคลนั้นไม่ได้มีต่อไปในชาติหน้า ถ้าใครมีความขุ่นเคืองใจหรือความรำคาญใจกับบุคคลอื่น เขาควรที่จะเข้าใจว่าความจริงไม่มีบุคคลนั้น มีแต่เพียงธรรม จิต เจตสิก และรูป ซึ่งเกิด และดับทันที

ชีวิต กล่าวโดยปรมัตถ์ มีคงอยู่เพียงชั่วขณะเดียวของจิต ถ้าพิจารณาบ่อยครั้งในเรื่องของความตาย ก็เป็นปัจจัยให้สติปัฏฐานเจริญขึ้น ถ้าคิดว่าอาจจะตายบ่ายนี้ หรือพรุ่งนี้ ก็สามารถที่จะเป็นปัจจัยเกื้อกูลให้สติเกิดระลึกลักษณะของนามและรูปที่ปรากฏ สำหรับบุคคลที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม บุคคลที่ไม่ใช่พระอริยบุคคล หลังจากที่ตายไปก็เป็นผู้ไม่แน่นอนว่าจะเกิดในสุขคติภูมิ หรืออบายภูมิ และก็ไม่แน่นอนว่าจะมีโอกาสที่จะได้ฟังธรรม และอบรมเจริญสติปัฏฐานอีกครั้งหรือเปล่า เมื่อตายไป ก็สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ที่มีทุกสิ่งในชาตินี้ ไม่เหลือเลย แม้กระทั่งความทรงจำ เมื่อบุคคลนั้นเกิดสู่ชาตินี้ ก็จำชาติไม่ได้ว่าเป็นอะไรในชาติที่แล้ว เคยอยู่ทีไหน ทำอะไรในชาติที่แล้ว ความเป็นบุคคลในชาติที่แล้วได้สิ้นสุดไปแล้ว ถึงแม้ในชีวิตนี้ ทุกสิ่งก็มาถึงที่สุด ใครที่ทำกุศลกรรม และอกุศลกรรม เขาอาจจะมีความคิดเรื่องชาติ ตระกูล ทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง ทั้งหมดหมดสิ้นไม่เหลือ จะไม่มีความเกี่ยวพันหลงเหลือเลยกับทุกสิ่งในชาตินี้ ทุกอย่างที่คิดว่าสำคัญในชาตินี้ ทุกอย่างที่ยึดถือไว้ และเข้าใจว่าเป็นเรา จะสิ้นสุดไม่เหลือ ถ้ารู้ชัดในลักษณะที่เป็นจริงของปรมัตถธรรมว่าเกิดขึ้นเพราะปัจจัยที่ปรุงแต่ง ปัญญาก็จะละคลายว่าเห็นผิดว่าเป็นตัวตน บุคคล เป็นเรา แม้การจำที่เกิดขึ้นและดับไปก็เป็นเพียงนามธรรมประเภทหนึ่ง ถ้าสติระลึกนามธรรม และรูปธรรม และปัญญาเข้าใจชัดในธรรมนั้น ก็จะสามารถสละความเห็นผิดว่าเป็นเรา หรือบุคคล ที่มีอยู่ในชาตินี้ เป็นผู้ที่ได้รู้แจ้งลักษณะของความตายเพียงชั่วขณะ (ขณิกมรณะ) ของความจริง การตายของธรรมอย่างรวดเร็วทีละขณะ มรณะ (ความตาย) มี 3 ประเภท คือ

ความตายเพียงชั่วขณะ หรือขณิกมรณะ ซึ่งเป็นการเกิดขึ้น และดับไปของสังขารธรรมทั้งหมด (ความจริงที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยปรุงแต่ง)

ความตายที่ชาวโลกเข้าใจกัน สมมติมรณะ คือความตายที่สิ้นสุดอายุ

ความตายครั้งสุดท้าย สมุจเฉทมรณะ ซึ่งหมายถึง ปรินิพพาน คือการตายครั้งสุดท้ายของพระอรหันต์ ผู้ซึ่งจะไม่เกิดอีกเลย

ข้อความนี้แปลจาก...The Meaning of Anatta - Only a matter of thinking

คลิกเพื่ออ่านตอนอื่นๆ ... (หรือสามารถกดที่ tag ได้)

ตอนที่ 1 - ประตูทั้ง 4

ตอนที่ 2 - วิปัสสนาญาน

ตอนที่ 3 - เป็นรูปหรือที่เดิน

ตอนที่ 4 - เป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน)

ตอนที่ 5 - พิจารณาสภาพธรรมที่มีจริงขณะนี้

ตอนที่ 6 - ขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัย

ตอนที่ 7 - ลำดับขั้นของวิปัสสนาญาน

ตอนที่ 8 - การดับวิจิกิจฉาและทิฏฐิ

ตอนที่ 9 - เข้าใจผิดว่าเป็น กลุ่มก้อน

ตอนที่ 10 - แต่ละคนก็อยู่ในโลกของความคิดตนเอง

ตอนที่ 11 - เป็นเพียงเรื่องราวของความคิดนึก



ความคิดเห็น 3    โดย มกร  วันที่ 29 เม.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ