
[เล่มที่ 75] พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 393 - 394
ภาวะแห่งความซื่อตรง ชื่อว่า อุชุตา คือ ความเป็นไปโดยอาการอันตรง. ภาวะแห่งขันธ์ ๓ อันตรงและวิญญาณขันธ์อันตรง เรียกว่า อุชุกตา. ความปฏิเสธแห่งความคดเหมือนมูตรโค ชื่อว่า อชิมหตา (ความคล่องแคล่ว) .บทว่า อวงฺกตา ได้แก่ ปฏิเสธความโค้งเหมือนวงจันทร์. บทว่า อกุฏิลตาได้แก่ปฏิเสธความคดเหมือนปลายงอนไถ. จริงอยู่ บุคคลใดทําบาปแล้วกล่าวว่า เราไม่ได้กระทํา บุคคลนั้น ชื่อว่า เป็นผู้คดเหมือนมูตรโค (เยี่ยวโค)
เพราะความไปวกวน ผู้ใดกําลังทําบาปแล้วพูดว่า เราไม่กลัวบาปผู้นั้น ชื่อว่าคด เหมือนวงจันทร์ เพราะความคดมาก ผู้ใดกําลังทําบาป แต่กล่าวว่าใครไม่กลัวบาปเล่า ผู้นั้นชื่อว่า คด เหมือนงอนไถ เพราะไม่คดมาก.
อีกอย่างหนึ่ง กรรมทวาร ๓ ของบุคคลใดไม่บริสุทธิ์ บุคคลนั้นชื่อเป็นผู้คดเหมือนน้ำมูตรโค. กรรมทวาร ๒ แม้อย่างใดอย่างหนึ่งมีอยู่แก่บุคคลใดไม่บริสุทธิ์บุคคลนั้น ชื่อว่า เป็นผู้คดเหมือนวงจันทร์. กรรมทวารหนึ่งอย่างใดอย่างหนึ่งของบุคคลใดไม่บริสุทธิ์ บุคคลนั้น ชื่อว่า เป็นผู้คดเหมือนปลายงอนไถ.
[เล่มที่ 39] - พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 340
ข้อความบางตอนจาก เมตตสูตร
ชื่อว่า ตรง (อุชุ) เพราะทำด้วยความไม่อวดดี ชื่อว่า ตรงดี (สุหุชู) เพราะไม่มีมายา. หรือว่า ชื่อว่า ตรง เพราะละความคดทางกายและวาจา ชื่อว่าตรงดี เพราะละความคดทางใจ. หรือชื่อว่า ตรง เพราะไม่อวดคุณที่ไม่มีจริง ชื่อว่า ตรงดี เพราะไม่อดกลั้นต่อลาภที่เกิดเพราะคุณที่ไม่มีจริง. พึงชื่อว่าเป็นผู้ตรงและตรงดี ด้วยอารัมมณูปนิชฌาน (สมถภาวนา) และลักขณูปนิชฌาน (วิปัสสนาภาวนา)
ชื่อว่า ตรง (อุชุ) เพราะทำด้วยความไม่อวดดี ชื่อว่า ตรงดี (สุหุชู) เพราะไม่มีมายา. หรือว่า ชื่อว่า ตรง เพราะละความคดทางกายและวาจา ชื่อว่าตรงดี เพราะละความคดทางใจ. หรือชื่อว่า ตรง เพราะไม่อวดคุณที่ไม่มีจริง ชื่อว่า ตรงดี เพราะไม่อดกลั้นต่อลาภที่เกิดเพราะคุณที่ไม่มีจริง. พึงชื่อว่าเป็นผู้ตรงและตรงดี ด้วยอารัมมณูปนิชฌาน (สมถภาวนา) และลักขณูปนิชฌาน (วิปัสสนาภาวนา)
ท่านอาจารย์: ถามว่า เดี๋ยวนี้มีสติ รู้ไหม? นี่คือความตรงต่อความจริงทุกคำ เดี๋ยวนี้มีสติไหม? เป็นผู้ตรงต่อธรรม
อ.วิชัย: เข้าใจว่า มี แต่ยังไม่รู้จักสติครับ ไม่รู้ว่า มีสติหรือเปล่าครับ
ท่านอาจารย์: เข้าใจว่า มี หมายความว่าอย่างไร?
อ.วิชัย: หมายความว่า ก็รู้ว่า ขณะที่กำลังฟัง และพิจารณา คำ ที่กำลังกล่าวที่ท่านอาจารย์สนทนา มีสติครับ แต่ว่า ไม่รู้จักในลักษณะของสติครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จะตอบว่า เดี๋ยวนี้มีสติ เดี๋ยวนี้ไม่มีสติ
ถ้าตอบว่า เดี๋ยวนี้มีสติ แม้มีสติก็ไม่รู้ว่าเป็นสติใช่ไหม?
อ.วิชัย: ใช่ครับ
ท่านอาจารย์: แม้ไม่มีสติ ก็ไม่รู้ว่าไม่มีสติใช่ไหม?
อ.วิชัย: ใช่ครับ
ท่านอาจารย์: นี่แหละ คือคำตอบที่แสดงให้เห็นว่า ต้องตรงต่อธรรม และการสนทนาธรรมที่จะเข้าใจจริงๆ ต้องตรงต่อคำถาม ไม่อย่างนั้น เราไปคิดเรื่องอื่นเลย เมื่อไหร่มีสติ เมื่อไหร่ไม่มีสติ
แต่ เดี๋ยวนี้มีสติไหม? อย่าลืมคำตอบเมื่อกี้นี้ มีก็ไม่รู้ ไม่มีก็ไม่รู้ใช่ไหม?
อ.วิชัย: ใช่ครับ
ท่านอาจารย์: นี่แหละ เป็นผู้ตรงต่อความเป็นจริงว่า ทุกอย่างที่มีในชีวิตประจำวันทั้งหมด ไม่ได้รู้ตามความเป็นจริงว่า ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีเป็นชีวิตจริงๆ ทุกขณะ เพียงแต่ว่าในภาษานั้นที่พระองค์ตรัส ไม่ใช่ภาษาไทย แต่เมื่อเป็นภาษาไทยแล้วก็อย่างที่เราสนทนา เป็นภาษาธรรมดาปกติของผู้ที่ใช้ภาษานั้น เช่น ภาษาไทยก็เป็น ศีล ที่เราใช้พูดกันเป็นปกติของคนไทย แต่ความหมายเหมือนกัน ไม่ว่าต้องไปจากตำรา แล้วก็มานั่งคิด
แต่พระองค์ตรัสให้รู้ว่า สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ทุกขณะ พระองค์ทรงแสดงความจริงว่า คืออะไร ซึ่งถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดง ไม่มีใครรู้เลย แม้แต่ชื่อ สติ คืออะไร
เพราะฉะนั้น จะรู้ได้อย่างไรว่า มีสติ หรือไม่มีสติ ถึงแม้ว่ารู้จักชื่อแล้วนะ ก็ต้องไตร่ตรอง สติเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน เมื่อไหร่ เมื่อขณะนั้นเป็นกุศล แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ขณะนี้ หรือขณะไหนเป็นกุศล ขณะที่ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนอื่นในชีวิตประจำวันมีไหม? นั่งรับประทานอาหาร หยิบยื่นยกสิ่งของที่อยู่ไกลให้คนอื่น ขณะนั้นเป็นกุศลเป็นสิ่งที่ดีงามหรือเปล่า?
อ.วิชัย: เป็นครับ
ท่านอาจารย์: ไม่ใช่โลภะ โทสะ โมหะ เพราะสติเกิดขึ้นในขณะนั้น ระลึกเป็นไปในกุศลเดี๋ยวนั้น จึงทำให้เกิดการกระทำอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ก็เริ่มรู้จักสติในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เริ่มไปรู้จักสติเมื่อไหร่ ตอนที่เป็นสติปัฏฐาน แต่ชีวิตประจำวันไม่รู้เลยว่า เป็นอะไร ถ้าตราบใดที่ชีวิตประจำวันไม่รู้ว่าเป็นอะไร และจะเป็นขณะที่จะไปรู้ที่เป็นสติปัฏฐานได้ไหม? เพียงแต่หวังว่า เมื่อฟังแล้วก็จะเกิดสติปัฏฐาน แล้วสติในชีวิตประจำวันมีหรือเปล่า ถ้าไม่มีตามลำดับเพิ่มขึ้น จะถึงสติปัฏฐานไหม?
เพราะฉะนั้น ความรู้จริงๆ ต้องรู้เดี๋ยวนี้ตามปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งใครก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ช้อน ซ่อม ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่กระเป๋า ไม่ใช่อะไรเลย นั่นคือสัจจะของธรรม
เพราะฉะนั้น กว่าจะถึงสัจจะของธรรมได้ ก็ต้องอาศัยการฟังแล้วก็เลยรู้ว่า วันนี้ เดี๋ยวนี้ มีอะไรบ้าง และอะไรเป็นอะไร จึงสามารถรู้ได้ว่า ขณะไหนที่เป็นสติ แม้สติขณะนั้น มี ก็ไม่ได้ปรากฏ ถูกไหม?
อ.วิชัย: ครับ ท่านอาจารย์
ขอเชิญอ่านได้ที่..
ความเป็นผู้ซื่อตรง และ อ่อนโยน
ภาวะแห่งความซื่อตรง [ธรรมสังคณี]
ผู้ตรง ... ไม่ลืมพิจารณาตนเอง
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ