สำหรับเรื่องของความเพียรที่จะเจริญสติปัฏฐาน พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ใน สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ... สัตติสตสูตร ข้อ ๑๗๑๘ ซึ่งจะทำให้ท่านผู้ฟังไม่ท้อถอยในการที่สติจะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม แม้เพียงชั่วขณะเล็กๆ น้อยๆ ค่อยเป็นค่อยไป ในวันหนึ่ง ในขณะหนึ่ง
ข้อความมีว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีอายุ ๑๐๐ ปี พึงกล่าวอย่างนี้กะผู้มีชีวิตอยู่ ๑๐๐ ปีว่า มาเถิด บุรุษผู้เจริญ ชนทั้งหลายจักเอาหอก ๑๐๐ เล่มทิ่มแทงท่านในเวลาเช้า ในเวลาเที่ยง ในเวลาเย็น ท่านนั้นถูกเขาเอาหอก ๓๐๐ เล่มทิ่มแทงอยู่ทุกวันๆ มีอายุ ๑๐๐ ปี มีชีวิตอยู่ ๑๐๐ ปี จักตรัสรู้อริยสัจ ๔ ที่ยังไม่ได้ตรัสรู้ โดยล่วง ๑๐๐ ปีไป กุลบุตรผู้เป็นไปในอำนาจแห่งประโยชน์ ควรจะรับเอา ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะว่าสังสาระนี้มีเบื้องต้นที่สุด อันบุคคลไปตามอยู่รู้ไม่ได้แล้ว เบื้องต้นที่สุดแห่งการประหารด้วยหอก ดาบ หลาว และขวาน ย่อมไม่ปรากฏ
ภพนี้ ชาตินี้ ก็เป็นเครื่องยืนยันแล้วใช่ไหม เรื่องการประหารกันด้วยดาบ ด้วยหอก ด้วยหลาว ไม่มีที่จะสิ้นสุดไปได้
ข้อความต่อไปมีว่า
เบื้องต้นที่สุดแห่งการประหารด้วยหอก ดาบ หลาว และขวาน ย่อมไม่ปรากฏ ฉันใด ก็ข้อนี้พึงมีได้ฉันนั้นว่า ก็เราไม่กล่าวการตรัสรู้อริยสัจ ๔ พร้อมด้วยทุกข โทมนัส แต่เรากล่าวการตรัสรู้อริยสัจ ๔ พร้อมด้วยสุขโสมนัส
อริยสัจ ๔ เป็นไฉน คือ ทุกขอริยสัจ ทุกขสมุทยอริยสัจ ทุกขนิโรธอริยสัจทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียร เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
ท่านผู้ฟังไม่ได้ถูกแทงด้วยดาบ ด้วยหลาว ด้วยหอก ทั้งเช้า ทั้งกลางวัน ทั้งเย็น แต่ว่าบุรุษผู้นี้จะมีอายุถึง ๑๐๐ ปี และก็ถูกแทงด้วยหอก ๑๐๐ เล่มในเวลาเช้า ในเวลาเที่ยง ในเวลาเย็น แต่เขาจะตรัสรู้อริยสัจธรรม ๔ ผู้ที่เห็นประโยชน์ควรจะรับเอา หมายความว่า ถ้าท่านจะต้องถูกบุคคลหนึ่งบุคคลใดแทงด้วยหอก ๑๐๐ เล่ม ทั้งเช้า ทั้งกลางวัน ทั้งเย็น ๑๐๐ ปี แต่ว่าจะได้ตรัสรู้อริยสัจธรรม ก็ควรจะรับเอา
เวลานี้ยังไม่ได้ถูกแทงเลย ยิ่งสบายใช่ไหมที่จะเจริญสติปัฏฐาน เพราะฉะนั้นควรจะเจริญจริงๆ ไม่ต้องคอยให้ถึงกับมีคำอุปมา หรือมีผู้ที่จะเอาหอกมาแทงจริงๆ
ถ้าท่านเริ่มเจริญสติปัฏฐาน การที่จะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมนั้นยังไม่ชัด ยังรวมกัน อย่างทางตากำลังเห็น ทางหูก็กำลังได้ยิน รู้สึกว่าการที่จะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรมทางหนึ่งทางใดยังไม่ชัด เพราะว่าเกิดสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว และปะปนกันด้วย พอสติระลึกรู้ลักษณะของเสียงนิดหนึ่ง หมดไปแล้ว ระลึกรู้ลักษณะของสภาพที่ปรากฏทางตานิดหนึ่ง เสียงก็ปรากฏอีกแล้ว ปัญญายังไม่รู้ชัดในสภาพของนามธรรมและรูปธรรม และชีวิตประจำวันของทุกท่านก็คงจะต้องดูกระจก หวีผม แต่งตัว ในขณะที่กำลังดูกระจก อ่อน แข็ง เย็น ร้อนปรากฏที่ใด ไม่ต้องผูกโยงเยื่อใยว่าเป็นส่วนของหน้าเป็นส่วนของผม ให้รู้เฉพาะสภาพลักษณะที่อ่อนหรือที่แข็งที่ปรากฏ เฉพาะตรงนั้นจริงๆ นี่เป็นทางที่จะทำให้ปัญญารู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
ที่ว่ารู้ชัด หมายความว่า เมื่อระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมใด ขณะนั้นไม่มีลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรมอื่น ขณะที่กำลังระลึกรู้ลักษณะของรูปธรรมใดตรงที่นั้น ไม่ผูกโยงเยื่อใยที่จะให้มีลักษณะของนามอื่นรูปอื่นปนอยู่ รวมอยู่ในขณะนั้น ปัญญาจึงสามารถรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เป็นการเจริญสติปัฏฐานที่จะต้องค่อยๆ สะสมอบรม จนกว่าจะมีความชำนาญ และปัญญาสามารถแยก รู้ชัดในลักษณะของนามธรรม ในลักษณะของรูปธรรมแต่ละทางถูกต้อง ไม่รวมกัน ไม่สับสนกัน เป็นเรื่องที่จะต้องอบรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน
สำหรับผู้ที่ยังเป็นห่วงเรื่องของสถานที่ ท่านมีความผูกพันว่าจะต้องสงบ ก็ขอให้ท่านพิจารณาโดยทั่วๆ ไปว่า การที่บุคคลไปสู่ห้องปฏิบัติ ขอให้ท่านถามความจริงใจของบุคคลผู้ที่ไปสู่ห้องปฏิบัติว่า มีความพอใจจริงๆ หรือที่จะมีชีวิตอย่างนั้น เป็นฉันทะ เป็นความพอใจจริงๆ หรือปล่าที่จะมีชีวิตอย่างนั้น ไม่ออกไปไหน ไม่ทำอะไร นั่นเป็นชีวิตจริงๆ หรือเปล่า เป็นปกติหรือเปล่า
ซึ่งท่านก็ทราบว่า ฆราวาสเป็นผู้ที่มีเรือน มีมิตรสหาย มีญาติพี่น้อง มีธุรกิจการงาน เป็นเรื่องของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่ท่านยังตัดไม่ขาด ยังมีเยื่อใยอยู่ เป็นชีวิตจริงๆ เป็นความพอใจจริงๆ ที่จะมีชีวิตดำเนินไปในลักษณะตามแบบของฆราวาส
เพราะฉะนั้น ไม่มีท่านผู้หนึ่งผู้ใดจะไปอยู่ในห้องอย่างนั้นโดยที่ว่าเป็นชีวิตจริงๆ แต่ไปด้วยความหวังว่าจะได้วิปัสสนาญาณ คิดว่าการเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติในชีวิตประจำวันอย่างนี้วิปัสสนาญาณเกิดไม่ได้ แต่ท่านไม่ทราบความหมายของคำว่าญาณ คำว่ารู้แจ้ง คำว่าแทงตลอด เป็นอริยสัจธรรม ที่สามารถจะรู้ชัด รู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ เพราะเป็นปัญญาที่ได้อบรมสะสมแล้ว
วิปัสสนาญาณจะเกิดขึ้นเมื่อเหตุสมควรแก่ผล คือ ปัญญาที่อบรมรู้ชัดในสภาพที่เป็นนามธรรม ในสภาพที่เป็นรูปธรรม แต่ละลักษณะไม่ปะปนกัน เมื่อไม่ปะปนกัน ก็ไม่มีความยึดถือรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เมื่อมีความรู้ชัดแล้ว ปัญญาที่อบรม เจริญสติบ่อยๆ เนืองๆ พิจารณาสภาพธรรม คือ นามธรรมและรูปธรรมที่เกิดปรากฏเป็นปกติในชีวิตประจำวัน จนรู้ทั่วจริงๆ ทำให้ละคลาย สามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะของนามใดที่ไหนก็ได้ รูปใดที่ไหนก็ได้ ด้วยความชำนาญ ด้วยความรู้ที่ได้อบรมจนกระทั่งสติสามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะของนามรูปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจได้ และปัญญาสามารถรู้แจ้งในสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน ในลักษณะของธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้น วิปัสสนาญาณจะเกิดที่ไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้ตามควรแก่เหตุ แต่ไม่ใช่ว่า ท่านไปสู่ห้องปฏิบัติด้วยความหวัง ถ้าท่านไม่หวังวิปัสสนาญาณ ท่านจะไปไหม ขณะนี้ชีวิตปกติของท่านเป็นอย่างไร ท่านก็จะต้องอบรมปัญญาให้รู้ชัดในสภาพนั้นๆ ตามความเป็นจริง แต่ถ้าท่านมีความเข้าใจผิด ท่านไปเพราะคิดว่าปกติธรรมดาชีวิตประจำวันวิปัสสนาญาณเกิดไม่ได้ ท่านจึงได้ไป หวังวิปัสสนาญาณหรือเปล่า คงจะหวังแน่นอนจึงได้ไป แต่ท่านก็ไม่ทราบความหมายของวิปัสสนาญาณว่า วิปัสสนาญาณนั้นเป็นปัญญาที่รู้อะไร เกิดพร้อมอะไร ในขณะไหน ตามความเป็นจริงอย่างไร
เพราะฉะนั้น ท่านไม่ได้อบรมเหตุ คือ ปัญญาที่จะรู้สภาพธรรมที่เกิดปรากฏตามปกติเพราะเหตุปัจจัยตามความเป็นจริง เมื่อท่านไม่เจริญเหตุให้สมควรแก่ผล วิปัสสนาญาณจะเกิดได้ไหม ไปด้วยความหวัง และไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ถึงจะหวัง รอสักเท่าไร วิปัสสนาญาณก็เกิดไม่ได้ เพราะเหตุว่าชีวิตจริงๆ ของท่าน ท่านไม่ได้มีความพอใจที่จะอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าท่านผู้ใดมีความพอใจจริงๆ จะอยู่อย่างนั้นตลอดปี ตลอดทุกๆ ปี เป็นชีวิตปกติประจำวันของท่าน ท่านจะเจริญสติปัฏฐานหรือไม่เจริญสติปัฏฐาน ท่านก็อยู่ของท่านอย่างนั้นเป็นปกติของท่าน แต่ไม่ใช่ว่า ไปเพราะหวัง คิดว่าจะได้วิปัสสนาญาณเวลาที่ไปสู่ห้องกัมมัฏฐาน ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 239
รับฟัง ... สัตติสตสูตร