ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ
โดย ธรรมทัศนะ  5 มิ.ย. 2549
หัวข้อหมายเลข 19369

พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสดังนี้ว่า พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปกติอยู่อย่างนี้ มีความเพียรไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ


เปิดฟัง ...

โลมสกังคิยภัทเทกรัตตสูตร

ขอกล่าวถึง มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ โลมสกังคิยภัทเทกรัตตสูตร ที่จะทำให้ท่านผู้ฟังได้เข้าใจชัดเจนถึงจุดประสงค์ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียด มีข้อความว่า

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นท่านพระโลมสกังคิยะอยู่ที่พระวิหารนิโครธาราม เขตพระนครกบิลพัสดุ์ ในสักกชนบท

ครั้งนั้นแล ล่วงปฐมยามไปแล้ว จันทนเทวบุตรมีรัศมีงามยิ่ง ส่องพระวิหารนิโครธารามให้สว่างทั่ว เข้าไปหาท่านพระโลมสกังคิยะยังที่อยู่ แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง จันทนเทวบุตรพอยืนเรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวกะท่านพระโลมสกังคิยะ ดังนี้ว่า

ดูกร ภิกษุ ท่านทรงจำอุเทสและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญได้ไหม

ท่านพระโลมสกังคิยะกล่าวว่า

ดูกร ท่านผู้มีอายุ เราทรงจำไม่ได้ ก็ท่านทรงจำได้หรือ

จันทนเทวบุตรกล่าวว่า

ดูกร ภิกษุ แม้ข้าพเจ้าก็ทรงจำไม่ได้ และท่านทรงจำคาถาแสดงราตรีหนึ่งเจริญได้ไหม

ท่านพระโลมสกังคิยะกล่าวว่า

ดูกร ท่านผู้มีอายุ เราทรงจำไม่ได้ ก็ท่านทรงจำได้หรือ

จันทนเทวบุตรกล่าวว่า

ดูกร ภิกษุ ข้าพเจ้าทรงจำได้ ดูกร ภิกษุ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ที่ควงไม้ปาริฉัตตกะ ในหมู่เทวดาชั้นดาวดึงส์ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสอุเทสและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญแก่เทวดาชั้นดาวดึงส์ว่า

บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง

ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด

พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเล่าจะพึงรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้นย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปกติเป็นอยู่อย่างนี้ มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืนนั้นแลว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ

จันทนเทวบุตรได้กล่าวต่อไปว่า

ดูกร ภิกษุ ข้าพเจ้าทรงจำคาถาแสดงราตรีหนึ่งเจริญได้อย่างนี้แล ขอท่านจงร่ำเรียน และทรงจำอุเทสและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญเถิด เพราะ อุเทสและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์

จันทนเทวบุตรกล่าวดังนี้แล้ว จึงหายไป ณ ที่นั้นเอง

ข้อความต่อไปในพระสูตรนี้มีว่า

วันรุ่งขึ้น ท่านพระโลมสกังคิยะก็เก็บเสนาสนะ ถือบาตร จีวร มุ่งจาริกไปยังพระนครสาวัตถี ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ และพระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงแสดงอุเทสและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญแก่ท่านพระโลมสกังคิยะ [ตอนที่ 154]

ใน ปปัญจสูทนี อรรถกถาโลมสกังคิยภัทเทกรัตตสูตร มีข้อความว่า

นับแต่พระผู้มีพระภาคได้ตรัสรู้ในปีที่ ๗ ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ในวันเพ็ญเดือน ๘ ที่เมืองสาวัตถี และธรรมดาของพระผู้มีพระภาคทั้งหลายนั้น ทำ ยมกปาฏิหาริย์แล้ว ย่อมไม่อยู่ในถิ่นของมนุษย์ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงก้าวพระบาทเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เสด็จจำพรรษาที่ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ โคนไม้ปาริฉัตตกะ ทรงกระทำพระพุทธมารดาเป็นกายสักขี เมื่อทรงแสดงพระอภิธรรมแก่พระพุทธมารดาพร้อมด้วยเทวดาทั้งหลายในชั้นดาวดึงส์แล้ว จึงตรัส อุเทสและวิภังค์ของภัทเทกรัตตสูตรสลับเป็นระยะๆ ไป เพื่อให้เกิดความสังเวชแก่เทวดาทั้งหลาย

แสดงให้เห็นความสำคัญของ ภัทเทกรัตตสูตร ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ คือ ผู้มีชีวิตอยู่ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ด้วยการเจริญวิปัสสนา เพราะเหตุว่าผู้ที่เจริญ สติปัฏฐานนั้น ย่อมไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้วด้วยตัณหาและทิฏฐิ ไม่มุ่งหวัง คือ ไม่ปรารถนาสิ่งที่ยังไม่มาถึง การที่บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ก็ด้วยวิปัสสนานั่นเอง

เพราะฉะนั้น ขอให้ทราบถึงจุดประสงค์ที่พระผู้มีพระภาคเอง แม้ว่าจะได้ ทรงแสดงอภิธรรมแก่พระพุทธมารดาและเทวดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่ก็ได้ทรงแสดง ภัทเทกรัตตสูตร ผู้ที่มีราตรีหนึ่งเจริญ สลับกับที่ทรงแสดงพระอภิธรรมเป็นระยะๆ ไป เพื่อที่จะให้บุคคลที่ได้ฟังระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นเอง ไม่ต้องรอไว้เลย เพราะการที่สติระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏเป็นปัจจุบันนั้น จะทำให้ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน และเห็นแจ้งในธรรมปัจจุบันได้ [ตอนที่ 155]