ถ . ที่ได้ฟังมาจากสำนักปฏิบัติบางแห่ง มีความว่า ไม่ต้องรู้รูปนามให้ทั่วถึงทุกรูปทุกนาม ให้รู้นามใดนามหนึ่งเฉพาะที่รู้ได้ง่ายๆ เช่น นามหยาบๆ เช่น กายานุปัสสนา เป็นต้น เขาอ้างว่า รู้นามเดียวรูปเดียวนั้น ถ้ารู้ได้ชัดเจนแล้ว นามอื่นรูปอื่นก็ไม่จำเป็นต้องรู้ อุปมาเหมือนว่า เกลือหลายเม็ดอยู่ในไห ถ้าเราหยิบเกลือเม็ดหนึ่งเม็ดใดมารับประทาน ก็รู้ความเค็มแล้ว ถ้ารู้นามใดนามหนึ่งว่า อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา เป็นลักษณะอย่างนี้แล้ว ก็เหมือนกับเกลือเค็ม เม็ดอื่นๆ ก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องรู้รูปนามทั่วไป
สุ . หมายความว่าเวลาที่รู้ความไม่เที่ยง ความเกิดดับของนามและรูป นามใดรูปใดแล้ว ก็ทำให้รู้ไปทั่วถึงนามรูปอื่นด้วย เวลานี้ประจักษ์การเกิดดับหรือยัง เมื่อยังไม่ประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามและรูป ปัญหาก็ควรจะเป็นว่า เจริญอย่างไรจึงจะประจักษ์การเกิดดับของนามและรูป
ขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้ รู้นามรู้รูปทางตาไหม การเห็นเป็นนามชนิดหนึ่ง เป็นธรรมชาติรู้ชนิดหนึ่ง ไม่เหมือนธรรมชาติที่ได้ยิน การเห็นการได้ยินจะดับพร้อมกันได้ไหม
ที่ว่าประจักษ์การเกิดดับของนามและรูปชนิดใดชนิดหนึ่งก็จะทำให้รู้ทั่วถึงลักษณะของนามอื่นรูปอื่นด้วย ข้อสำคัญคือ เจริญอย่างไรจึงจะประจักษ์การเกิดดับของนามและรูป สติเกิดขึ้นทีละขณะ จิตใดมีสติเกิดร่วมด้วยในขณะนั้น สติระลึกรู้ลักษณะของนามหรือรูปทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจก็ได้ เพราะเหตุว่าเป็นสภาพที่มีจริงๆ
ในขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของอ่อน เดี๋ยวก็คิดนึกแล้วใช่ไหม สติดับไหม สติก็ต้องดับ ไม่ใช่สติไม่ดับ สติระลึกลักษณะของเสียง ประเดี๋ยวความรู้สึกเป็นสุขก็ปรากฏแล้ว สติดับไหม สติก็ต้องดับด้วย
เพราะฉะนั้น การเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่เป็นการเจริญอย่างสมาธิที่จะให้จิตจดจ้องโดยไม่ขาดตอนเลย ถ้าเป็นโดยลักษณะนั้น จะละการยึดถือว่าเป็นตัวตนไม่ได้ เพราะว่ายังคงจดจ้องติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ แต่ที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามและรูปได้ เพราะสติระลึกรู้นามรูปทีละลักษณะ สติระลึกรู้ลักษณะของได้ยิน แล้วก็หมด ระลึกรู้ลักษณะของสุข แล้วก็หมด เวลาที่หลงลืมสติก็หลงลืมสติไป เวลาที่ไม่หลงลืมสติ ก็แล้วแต่ว่าสติจะเกิดระลึกรู้ลักษณะของนามใดรูปใดขณะนั้น
คำว่า ปัจจุบัน หมายความว่าสติระลึกรู้สิ่งใดขณะใด ขณะนั้นเป็นปัจจุบัน ชั่วขณะที่สติระลึกรู้ เร็วมาก แล้วก็หมดไป ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องห่วงใย ถ้าจะหลงลืมสติก็เป็นเรื่องของผู้ที่ยังมีอวิชชาครอบงำ ยังไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ก็ต้องมีการหลงลืมสติ และก็มีการเจริญสติให้สติมีกำลังเพิ่มขึ้นเกิดบ่อยขึ้น เพื่อรู้ชัดในลักษณะของนามและรูป
เพราะฉะนั้น สติไม่ใช่จดจ้องรู้ลักษณะของรูปใดนานๆ หรือว่านามใดนานๆ ถ้าเป็นโดยลักษณะนั้นก็เป็นตัวตนที่จดจ้อง ซึ่งไม่มีโอกาสจะประจักษ์การเกิดดับของนามรูปได้เลย เพราะเหตุว่ายังไม่ได้ละคลายความไม่รู้นามรูปที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
เลือกได้ไหมว่า จะรู้ลักษณะของนามใด รูปใด นามรูปเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ก่อนที่จะประจักษ์การเกิดดับ ปัญญาต้องรู้ถึงปัจจัยด้วยเพื่อละคลายมากขึ้น ถ้ายังไม่ละคลาย ก็เพราะยังไม่รู้ปัจจัยแล้ว ก็หมดหนทางที่จะประจักษ์การเกิดดับของนามและรูป
เหตุผลต้องสมบูรณ์ นามรูปปริจเฉทญาณของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เลือกไม่ได้ จะจงใจ ตั้งใจที่จะรู้เฉพาะนามนั้น นั่นเป็นลักษณะของตัวตนหรือไม่
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...
... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 82