ละผลชั่วคราว วิ่งไปสู่ผลอันเห็นเอง
โดย บ้านธัมมะ  9 พ.ค. 2566
หัวข้อหมายเลข 45884

สังยุตตนิกาย สคาถวรรค

ใน ตติยวรรคที่ ๓ ... สัมพหุลสูตร ที่ ๑ มีข้อความว่า

ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่นครศิลาวดี ในแคว้นสักกะ ก็สมัยนั้นแลภิกษุมากด้วยกัน เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนอันส่งไปแล้ว อยู่ในที่ใกล้พระผู้มีพระภาค

ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเนรมิตเพศเป็นพราหมณ์มุ่นชฎาใหญ่ นุ่งหนังเสือ แก่ หลังโกง หายใจเสียงดังครืดคราด ถือไม้เท้าทำด้วยไม้มะเดื่อ เข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นถึงที่อยู่ ครั้นแล้วจึงกล่าวแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า

ท่านบรรพชิตผู้เจริญทั้งหลาย ล้วนแต่เป็นคนหนุ่มกระชุ่มกระชวย มีผมดำประกอบด้วยความหนุ่มแน่น ยังไม่เบื่อในกามารมณ์ทั้งหลายด้วยปฐมวัย ขอท่าน จงบริโภคกามอันเป็นของมนุษย์ อย่าละผลอันเห็นเอง วิ่งไปสู่ผลชั่วคราวเลย

ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า

ดูกร พราหมณ์ พวกเราย่อมไม่ละผลอันเห็นเอง วิ่งไปสู่ผลชั่วคราว แต่เราทั้งหลายละผลชั่วคราว วิ่งไปสู่ผลอันเห็นเอง

ดูกร พราหมณ์ เพราะว่ากามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เป็นของชั่วคราว มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษในกามทั้งหลายมีโดยยิ่ง ธรรมนี้มีผลอันเห็นเอง ให้ผลไม่จำกัดกาล เป็นของควรเรียกกันมาดู ควรน้อมมาไว้ในตน อันวิญญูชนทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน

เมื่อภิกษุเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว มารผู้มีบาปจึงสั่นศีรษะ แลบลิ้น ทำหน้าขมวดเป็นสามรอย จดจ้องไม้เท้าหลีกไป

ที่มารกล่าวว่า อย่าละผลอันเห็นเอง วิ่งไปสู่ผลชั่วคราวเลย นี่เป็นถ้อยคำของมาร แต่ท่านพระภิกษุเหล่านั้นตอบว่า พวกเราย่อมไม่ละผลอันเห็นเอง วิ่งไปสู่ผลชั่วคราว แต่เราทั้งหลายละผลชั่วคราว วิ่งไปสู่ผลอันเห็นเอง

โดยมากชาวโลกคิดว่า ผลที่ได้รับ คือ ทรัพย์สมบัติ เงินทอง รูป เสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ อิฏฐารมณ์ที่ประณีต ที่น่าพอใจ เป็นผลที่เห็นกันอยู่ในโลกนี้ เพราะฉะนั้น มารจึงกล่าวกับภิกษุเหล่านั้นว่า อย่าละผลอันเห็นเอง วิ่งไปสู่ผลชั่วคราวเลย

ผลชั่วคราว คือ ขณะที่สติระลึกแล้วรู้ แล้วก็หมด แล้วก็หลงลืมสติอีก มารเห็นว่าเป็นผลชั่วคราว เพราะเหตุว่าสติระลึกเมื่อไร ก็ได้ผล หรือรู้ผลเมื่อนั้น เพราะฉะนั้น เป็นผลชั่วคราวที่นานๆ จะเกิด ส่วนผล คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ชาวโลกปรารถนา ต้องการ เป็นอิฏฐารมณ์ที่ประณีตต่างๆ ชาวโลกมีความปรารถนาว่า เป็นผลที่ต้องการกันนัก เพราะฉะนั้น มารก็กล่าวกับท่านพระภิกษุเหล่านั้นว่า อย่าละผลอันเห็นเอง ในขณะนี้ที่เป็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ประณีตนี้เลย อย่าได้วิ่งไปสู่ผลชั่วคราว เพราะเห็นว่าการที่สติจะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมในบางขณะนั้น เป็นเพียงผลชั่วคราวเท่านั้น

ท่านมีความเห็นตรงกันข้ามกับมาร หรือว่าเหมือนกับมาร ซึ่งท่านพระภิกษุเหล่านั้น ก็เข้าใจในพยัญชนะนั้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวกับมารว่า พวกเราย่อมไม่ละผลอันเห็นเอง วิ่งไปสู่ผลชั่วคราว แต่เราทั้งหลายละผลชั่วคราว วิ่งไปสู่ผลอันเห็นเอง

ผลอันเห็นเอง คือ ปัญญารู้สภาพธรรมที่ปรากฏถูกต้องตามความเป็นจริง จึงชื่อว่าเห็น เวลานี้ใครจะเห็นเป็นรูป เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส เป็นโผฏฐัพพะ เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นทรัพย์สมบัติต่างๆ ชื่อว่าท่านเห็นหรือยัง ยังไม่เห็น และสิ่งที่เป็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่น่าปรารถนา ที่คิดว่าเป็นผลนี้ ก็ชั่วคราวเหลือเกิน คือ ปรากฏเพียงนิดเดียวแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่ประณีตสักเท่าไรที่ท่านได้รับ ที่ท่านกำลังยินดีพอใจอย่างยิ่ง ก็หมดไปทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง เพราะฉะนั้น ผลอย่างนี้ต่างหากที่เป็นผลชั่วคราว ไม่ยั่งยืน ไม่ใช่เป็นปัญญาที่รู้จริงและรู้แจ้งในสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 294

ด้วยเหตุนี้ท่านพระภิกษุเหล่านั้นจึงกล่าวกะมารว่า พวกเราย่อมไม่ละผลอันเห็นเอง วิ่งไปสู่ผลชั่วคราว แต่เราทั้งหลายละผลชั่วคราว วิ่งไปสู่ผลอันเห็นเอง ดูกรพราหมณ์ เพราะว่ากามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่า เป็นผลชั่วคราว มีทุกข์มากมีความคับแค้นมาก โทษในกามทั้งหลายมีโดยยิ่ง ธรรมนี้มีผลอันเห็นเอง ให้ผลไม่จำกัดกาล เป็นของควรเรียกกันให้มาดู ควรน้อมมาไว้ในตน อันวิญญูชนทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน

ท่านผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน และไม่เข้าใจผิดในข้อปฏิบัติ จะเข้าใจพยัญชนะตอนนี้ได้ ไม่สงสัยเรื่องของการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติในขณะนี้นั่นเอง

ข้อความต่อไปมีว่า

ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ภิกษุเหล่านั้นครั้นนั่งแล้ว จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นผู้ไม่ประมาท บำเพ็ญความเพียร มีตนอันส่งไปแล้ว อยู่ในที่ใกล้พระองค์ ณ ที่นี้ พระเจ้าข้า มีพราหมณ์คนหนึ่งมุ่นชฎาใหญ่ นุ่งหนังเสือ เป็นคนแก่ หลังโกง หายใจเสียงดังครืดคราด ถือไม้เท้าทำด้วยไม้มะเดื่อเข้าไปหาข้าพระองค์ยังที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะข้าพระองค์ว่า ท่านบรรพชิตผู้เจริญทั้งหลาย ล้วนแต่เป็นคนหนุ่มกระชุ่มกระชวย มีผมดำประกอบด้วยความหนุ่มแน่น ยังไม่เบื่อในกามารมณ์ทั้งหลายด้วยปฐมวัย ขอท่านจงบริโภคกามอันเป็นของมนุษย์อย่าละผลอันเห็นเอง วิ่งไปสู่ผลชั่วคราวเลย พระเจ้าข้า

เมื่อพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว พวกข้าพระองค์ได้กล่าวกะพราหมณ์นั้นว่า ดูกร พราหมณ์ พวกเราย่อมไม่ละผลอันเห็นเอง วิ่งไปสู่ผลชั่วคราว แต่พวกเราละผลชั่วคราว วิ่งไปสู่ผลอันเห็นเอง ดูกร พราหมณ์ เพราะกามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่า เป็นของชั่วคราว มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษในกามทั้งหลายนั้นมีโดยยิ่ง ธรรมนี้มีผลอันเห็นเอง ให้ผลไม่จำกัดกาล เป็นของควรเรียกมาดู ควรน้อมไว้ในตน อันวิญญูชนทั้งหลายพึงรู้เฉพาะตน พระเจ้าข้า

เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้แล้ว พราหมณ์นั้นสั่นศีรษะ แลบลิ้น ทำหน้าขมวดเป็น ๓ รอย จดจ้องไม้เท้าหลีกไป

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นั่นมิใช่พราหมณ์ นั่นเป็นมารผู้มีบาป มาเพื่อกำบังตาเธอทั้งหลาย

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงภาษิตพระคาถานี้ในเวลานั้นว่า

ผู้ใดได้เห็นทุกข์ มีกามเป็นเหตุแล้ว ไฉนผู้นั้นจะพึงน้อมใจไปในกามเล่า บุคคลผู้ทราบอุปธิว่า เป็นเครื่องข้องอยู่ในโลกแล้ว พึงศึกษา เพื่อกำจัดอุปธินั้นเสีย ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 295