ถ . ที่อาจารย์กล่าวว่า เวลาใดหลงลืมสติ เวลานั้นเป็นตัวตน ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า ดูกร อานนท์ เธอระลึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า ข้าพระองค์ระลึกถึงความตายวันละ ๑๐๐ ครั้ง ผมเข้าใจว่า ท่านพระอานนท์คงจะมีสติวันละ ๑๐๐ ครั้งเท่านั้น และระหว่างที่ท่านพระอานนท์หลงลืมสติขณะนั้น ยังเป็นตัวตนอยู่หรือเปล่า ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 256
สุ. ผู้ที่เป็นพระอริยเจ้า แม้เป็นพระโสดาบันบุคคล ที่จะมีความเห็นผิดว่า สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนนั้น ไม่มีเลย แม้แต่อนุสัยกิเลส
เรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน เป็นเรื่องของการขัดเกลาอย่างแท้จริง ซึ่งในวันหนึ่งๆ สติจะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏกี่ครั้ง ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมอะไรบ้าง รูปธรรมอะไรบ้าง ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ เมื่อระลึกได้แล้ว รู้ชัด หรือว่าความรู้พึ่งจะเพิ่มขึ้นทีละเล็ก ทีละน้อย แต่ความรู้ชัดที่เป็นวิปัสสนาญาณก็ยังไม่เกิด เพราะฉะนั้น ความรู้จะต้องเกิดขึ้นอีกมาก พร้อมสติที่ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมที่กำลังปรากฏเป็นปกติ
ขอให้ระลึกถึงคำว่า เป็นปกติ ไม่ใช่นามธรรมอื่น ไม่ใช่รูปธรรมอื่นที่ไปสร้างขึ้นมาเพื่อจะรู้ หรือมาปิดบังสภาพธรรมที่กำลังปรากฏอยู่ในขณะนี้ แต่สติจะต้องระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมตามปกติ และปัญญาก็สามารถที่จะแทงตลอดในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ เมื่อเป็นปัญญาที่คมกล้า ละคลายความยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนแล้ว สภาพธรรมย่อมปรากฏชัดตรงตามความเป็นจริงยิ่งขึ้น ทำให้ปัญญาสามารถที่จะละการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมนั้นว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้โดยเด็ดขาดเป็นสมุจเฉท ไม่เกิดอีกเลย บรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยสาวก หมดความสงสัยในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม
เพราะฉะนั้น เมื่อท่านพระอานนท์เป็นพระโสดาบันบุคคลแล้ว ถึงแม้ว่าจะหลงลืมสติ เพราะเหตุว่ายังมีอกุศลธรรมอื่นที่ยังไม่ได้ดับหมดเป็นสมุจเฉทเป็นปัจจัยให้ หลงลืมสติ แต่ความเห็นผิดไม่มีแก่ผู้ที่เป็นพระโสดาบันบุคคลเลย
สำหรับข้อที่ว่า การระลึกถึงความตายที่ท่านผู้ฟังกล่าวว่าวันละ ๑๐๐ ครั้ง คงจะหมายความว่า ท่านพระอานนท์เกิดสติเพียงวันละ ๑๐๐ ครั้ง เวลาที่ระลึกถึงความตาย สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมต่อไปได้ไหม ได้ เพราะฉะนั้น จะกะเกณฑ์ว่าเพียง ๑๐๐ ครั้งได้อย่างไร เมื่อระลึกถึงความตาย ๑๐๐ ครั้ง แต่เมื่อระลึกแล้ว สติก็ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมต่อไปอีกเท่าไรก็ได้ ไม่ได้หมายความว่า ท่านพระอานนท์เพียงระลึกถึงความตาย ๑๐๐ ครั้งเท่านั้น โดยที่สติไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ
ถ . เวลาที่พระอริยสาวกทั้งหลายหลงลืมสติ ท่านไม่มีความเห็นผิดว่า เป็นตัวตน แต่ทำไมผู้ที่ยังเป็นปุถุชนหลงลืมสติ ยังเห็นว่าเป็นตัวตน ยังมีความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน
สุ . ปุถุชนเจริญสติหรือเปล่า และเวลาที่ปุถุชนเจริญสติ ปัญญาเกิดเหมือนอย่างผู้ที่จะบรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยเจ้าแล้วหรือยัง ความรู้ต้องมีก่อน วิปัสสนาญาณต้องเกิดก่อน เพื่อจะละความไม่รู้เป็นขั้นๆ ไป จนกว่าจะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยเจ้า
เพราะฉะนั้น เมื่อนามรูปปริจเฉทญาณก็ไม่เกิด วิปัสสนาญาณอื่นๆ ก็ไม่เกิด ทำไมถึงจะให้ปุถุชนไม่มีความเห็นผิดยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน
ส่วนพระอริยสาวกนั้น ก่อนที่ท่านจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ สติจะต้องระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม และปัญญาจะต้องสมบูรณ์ขึ้นมากเป็นขั้นๆ กว่าจะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ซึ่งความสมบูรณ์ของวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น ละความเห็นผิดที่ยึดถือนามธรรมและรูปธรรมละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น จนกระทั่งหมดเป็นสมุจเฉท
เพราะฉะนั้น ต่างกันที่ปัญญา หลงลืมสติเหมือนกัน แต่ความรู้ที่ละอนุสัยกิเลสที่เคยยึดถือนามธรรมและรูปธรรมนั้นต่างกัน พระอริยสาวกท่านดับอนุสัยกิเลส ด้วยปัญญาที่สะสมอบรมจนคมกล้า จนรู้แจ้งอริยสัจ
เปรียบเทียบท่านที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรม ๒ ท่าน ท่านผู้หนึ่งไม่เจริญสติปัฏฐานเลย กับอีกท่านหนึ่ง เจริญสติปัฏฐานแล้ว ความรู้ต่างกันไหม แม้แต่ท่านที่ฟังธรรม ท่านที่ฟังนาน ก็เข้าใจลักษณะของสติ สติก็เริ่มเกิด ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเพิ่มขึ้น แต่สำหรับท่านที่พึ่งเริ่มฟัง สงสัยแต่ว่าสตินั้นเป็นอย่างไร นี่เป็นเรื่องจริง เพราะว่าวันนี้ก็ได้รับฟังคำถามจากท่านผู้ที่พึ่งเริ่มฟัง ท่านสงสัยว่า ขณะที่มีสติเป็นอย่างไร ท่านได้ยินคำว่าสติ ได้ยินมานาน ได้ยินมามากโดยทั่วๆ ไป แต่เวลาที่ฟังเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน ท่านไม่ทราบว่า สติมีลักษณะอย่างไร สติที่เป็นสติปัฏฐานมีลักษณะอย่างไร แต่ท่านที่ฟังมาก่อนเป็นเวลานาน ท่านสามารถที่จะอธิบายลักษณะของสติได้ท่านรู้ลักษณะที่ต่างกันในขณะที่มีสติ กับในขณะที่หลงลืมสติ นี่เป็นความต่างกัน แม้ในขั้นของการฟัง และในขั้นของการที่เริ่มเจริญสติปัฏฐาน
เพราะฉะนั้น ผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจนคมกล้า จนเป็นพระอริยบุคคล ความรู้ก็มากขึ้น เพิ่มขึ้น ทั่วขึ้น ชัดแจ้งขึ้น จนกระทั่งดับความเห็นผิดที่ยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้
ท่านผู้ฟังที่ศึกษาปริยัติธรรมทราบว่าไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน เพราะความหมายของคำว่าปรมัตถธรรม คือ ธรรมชาติที่มีสภาวะสภาพลักษณะของธรรมชาตินั้นๆ แต่ละชนิด แต่ละประเภท เพราะฉะนั้น ตัวตน บุคคลไม่มีเลย ไม่ว่าจะกำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังคิดนึก สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่กำลังปรากฏ ซึ่งโดยปรมัตถธรรมแล้ว ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน คือ ทุกๆ ขณะนี้เอง ไม่ต่างกันเลย นี่ท่านทราบโดยขั้นของปริยัติ
และโดยขั้นของปริยัติก็ยังทราบว่า นามธรรมเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วที่สุด รูปธรรมเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วที่สุด การที่ทรงแสดงสภาพธรรมได้โดยละเอียด ก็เพราะได้ประจักษ์สภาพความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ โดยละเอียดแล้วจึงได้ทรงแสดงอย่างนี้ และผู้ที่เป็นพระอริยสาวก ศึกษา ประพฤติปฏิบัติตาม รู้แจ้งในสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริงโดยละเอียดอย่างนั้น ประจักษ์ในนามธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ประจักษ์ในรูปธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไป จึงหมดความสงสัยในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม หมดความเห็นผิดที่ยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เพราะประจักษ์สภาพความจริงของนามธรรมและรูปธรรมแล้วพร้อมกับสติและปัญญาที่รู้ชัดในขณะนั้น
เพราะฉะนั้น สำหรับปุถุชนผู้ที่ไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน หรือว่าปุถุชนที่เจริญสติปัฏฐาน แต่ปัญญายังไม่สมบูรณ์ถึงขั้นที่จะรู้แจ้งในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ก็ย่อมต้องต่างกับผู้ที่เป็นอริยสาวกแล้ว ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 257
รับฟัง ...
พระโสดาบันไม่มีความเห็นผิด