ช่วงอายุ แสดงถึงความไม่เที่ยง
พระโยคาวจร ครั้นยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์ โดยวโยวุฑฒัตถมะด้วยอำนาจวัยมีปฐมวัยเป็นต้นอย่างนี้แล้ว ยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์โดยวโยวุฑฒัตถคมะ ด้วยอำนาจทสกะ ๑๐ เหล่านี้อีก คือ
มันททสกะ ๑๐ ปีแห่งเด็กอ่อน
ขิฑฑาทสกะ ๑๐ ปีแห่งการเล่น
วัณณทสกะ ๑๐ ปีแห่งผิวพรรณ
พลทสกะ ๑๐ ปีแห่งกำลัง
ปัญญาทสกะ ๑๐ ปีแห่งปัญญา
หานิทสกะ ๑๐ ปีแห่งความเสื่อม
ปัพภารทสกะ ๑๐ ปีแห่งความค้อม
วังกทสกะ ๑๐ ปีแห่งความค่อม
โมมูหทสกะ ๑๐ ปีแห่งความหลงลืม
สยนทสกะ ๑๐ ปีแห่งความนอน
แสดงถึงความเป็นจริง ของชีวิต ที่ไม่เที่ยง แม้แต่ช่วงเวลาของอายุที่เปลี่ยนไปตามอายุ แต่ต้องพิจารณาด้วยปัญญา ที่เป็นความไม่เที่ยงในขั้นเรื่องราว แต่แท้ที่จริง ยังไม่ได้เห็นไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยงจริงๆ เพราะในความเป็นจริง เวลา มีได้ เป็นปี เดือน วัน ก็เพราะ การเกิดขึ้นและดับไปของจิต เจตสิก เพราะฉะนั้น ขณะนี้ กำลังมีจิต เจตสิก จึงมีเวลาเกิดขึ้น การเห็นความไม่เที่ยงแท้จริงเพื่อที่จะไถ่ถอนว่าไม่ใช่เรา ไม่มีสาระใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยการเห็นการเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมขณะนี้ ซึ่งยากแสนยาก ซึ่งปัญญาขั้นแรก ก็ต้องเข้าใจความจริงของตัวธรรมก่อน
หากแต่ว่า การได้อ่าน ได้ศึกษาในเรื่องควาเมป็นไปของช่วงอายุ และ ความไม่เที่ยง เพื่อที่จะไม่ประมาทในชีวิต คือ การเจริญกุศล การเจริญอบรมปัญญา เพราะ เมื่อแก่ชรา ก็ยากจะเจริญกุศล และ อบรมปัญญา และ ที่สำคัญที่สุด ใครเล่าจะรู้ว่า ช่วงชีวิตต่อไป ขณะจิตต่อไป จะได้มีโอกาสเปลี่ยนไปวัยต่างๆ หรือไม่ หรือ จุติจิตที่สามารถเกิดได้ ทำให้บุคคลนั้นตายจากความเป็นบุคคลนี้ หมดโอกาสที่พบพระพุทธศาสนา หมดโอกาสในการเจริญกุศล จึงไม่ควรประมาทในการเจริญกุศล อบรมปัญญา ในขณะต่อไป เพราะไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน หากเป็นผู้ประมาท ก็ไม่ต่างจากคนที่ตายแล้ว ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ฟัง ผู้ศึกษาจะได้สาระจากพระธรรมในส่วนนั้นๆ มากน้อยแค่ไหน เมื่อกล่าวถึงชีวิตของแต่ละบุคคลแล้ว ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมเลย ไม่พ้นไปจากจิต เจตสิก และ รูป เมื่อเกิดมาแล้ว จะดำเนินไปอย่างไร ก็เป็นไปตามการสะสมมาของแต่ละบุคคล แต่ก็ควรพิจารณาว่า ชีวิตไม่ได้ยืนยาวเลย เกิดในภพนี้ชาตินี้ ก็ชั่วคราว ในที่สุดแล้วก็จะต้องตาย บางคนยังไม่ถึงแก่ชรา ก็ตาย แล้ว จะเป็นคนโง่ เป็นคนฉลาด เป็นคนมั่งมี เป็นคนยากจน ล้วนจะต้องตายด้วยกันทั้งนั้น เพราะความตาย ไม่มีการเกรงใจใครเลย ย่อมย่ำยีทั่วไปหมด ไม่มีเว้น แม้แต่บุคคลผู้เลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน หรือแม้แต่พระอัครสาวกผู้เลิศในทางฤทธิ์ คือ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านก็ปรินิพพาน สรุปแล้ว คือ ไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้ ชีวิตของเราไม่ได้ยืนยาวเลย ดังนั้น กิจที่ควรทำอย่างยิ่ง คือ ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวันเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้น เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองต่อไป ซึ่งเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ และจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานทีเดียวในการอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก และที่สำคัญ กิเลสที่มีมากก็จะค่อยๆ เบาบางลงตามระดับขั้นของปัญญา (ความเข้าใจ) ที่เจริญขึ้นไปตามลำดับ เป็นโอกาสที่ดีมาก ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และ ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ความตายไม่แน่นอน เกิดได้ตอนอายุเท่าไหร่ก็ได้ ตายตอนเด็กก็ได้ ไม่ประมาทในการทำดี และ ฟังพระธรรม ค่ะ
สาธุ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ