กายคตาสติสูตร คือการปฏิบัติหรือเปล่าครับ
โดย Chaiwit  19 เม.ย. 2559
หัวข้อหมายเลข 27698

กายคตาสติสูตร คือการปฏิบัติหรือเปล่าครับ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 19 เม.ย. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนอื่น ทำความเข้าใจในเรื่อง ของ กายคตาสติให้ถูกต้องก่อนนะครับว่าคืออะไรและเป็นอย่างไร กายคตาสติ คือ สติและปัญญาที่ระลึกเป็นไปในการกาย ซึ่ง กายคตาสติ มี 2 อย่างคือทั้งที่เป็นสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา กายคตาสติที่เป็นสมถภาวนาคงเคยได้ยินนะครับที่ว่า พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น พิจารณาโดยความเป็นของปฏิกูล ในอาการ32 พิจารณาว่าผม ขน เล็บ ปฏิกูล ไม่น่ายินดี ติดข้อง ขณะที่มีความเข้าใจถูก ในการคิดพิจารณาเช่นนี้ จิตสงบจากกิเลสชั่วขณะ เพราะคิดถูก แต่ไม่ได้รู้ว่าเป็นธรรมไม่ได้ละความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล ก็ยังเป็นผมของเรา ขนของเราอยู่ แต่พิจารณาถูกว่าเป็นสิ่งปฏิกูล มีสติและปัญญาพิจารณา สิ่งที่เนื่องกับกาย มี ผม ขน เล็บ เป็นต้นว่าปฏิกูล นี่คือกายคตาสติ โดยนัยสมถภาวนา ซึ่งไม่สามารถดับกิเลสได้ เพียงแต่ทำให้จิตสงบชั่วขณะที่พิจารณาครับ ส่วนกายคตาสติโดยนัย วิปัสสนา คือ สติที่ระลึกเป็นไปในกายเช่นกัน แต่เป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏที่กาย ที่เป็นธาตุ 4 คือ ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ที่เนื่องกับกาย ขณะนั้นสติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงที่เนื่องกับกายที่เป็นปรมัตถ์ ไม่ใช่การพิจารณาบัญญัติเรื่องราวที่เป็น ผม ขน เล็บ อาการ 32

เป็นต้น เมื่อสติเกิดรู้ว่าเป็นเพียงแข็ง เราก็ไม่มี กายก็ไม่มี มีแต่ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ก็สามารถไถ่ถอนความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคลได้ อันเป็นหนทางดับกิเลสได้ ที่เป็นการเจริญวิปัสสนา ดังนั้น กายคตาสติ อีกชื่อหนึ่งในการเจริญวิปัสสนา ก็คือกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะฉะนั้น การเจริญ กายคตาสติ สติที่เนื่องในกาย ก็เป็นการเจริญสติปัฏฐานในหมวด กายานุปัสสนาสติปัฏฐานนั่นเอง ซึ่งการเจริญสติปัฏฐานเป็นหนทางที่สามารถดับกิเลสได้ครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ

กายคตาสติและกายานุปัสสนา

ขน ผม เล็บ ฟัน หนัง...กายคตาสติ และ การเจริญสติปัฏฐาน...?


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 19 เม.ย. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เรื่องทำ แต่เป็นเรื่องของความเข้าใจถูกเห็นถูก บุคคลที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น นั้น ล้วนเป็นผู้มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน คือ การระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ทั้งนั้น และที่สำคัญ สติปัฏฐาน ไม่ได้เพียงอย่างเดียว เท่านั้น มี ถึง ๔ อย่าง คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ซึ่งเป็นธรรมที่มีจริงทั้งหมด เพราะธรรมที่จะเป็นที่ตั้งให้สติเกิดขึ้นระลึกและปัญญารู้ตรงลักษณะ นั้น ก็คือ สิ่งที่มีจริงที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ไม่พ้นไปจากนามธรรม และ รูปธรรม สำหรับในประเด็นของกายคตาสติ ที่จะทำให้ถึงความเป็นพระอริยบุคคลนั้น ต้องเป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐานเท่านั้น เพราะจะทำให้รู้แจ้งซึ่งอริยสัจจธรรม บรรลุเป็นพระอริยบุคคลตามลำดับจนถึงพระอรหันต์ เป็นกายคตาสติที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ [ไม่ใช่ที่เป็นสมถภาวนา เพราะสมถภาวนาไม่สามารถดับกิเลสได้ เพียงระงับไว้ได้เท่านั้นไม่สามารถทำลายกิเลสใดๆ ได้เลย] แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเจริญกายคตาสติอย่างเดียวแล้วจะได้บรรลุ เพราะถ้ายังไม่มีการศึกษา ให้เข้าใจถึงลักษณะของสภาพธรรมที่นอกเหนือไปจากกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน (กายคตาสติ) ก็ยังมีความไม่รู้และมีความสงสัยในลักษณะของสภาพธรรมอื่นๆ อยู่ ด้วยเหตุนี้ การที่จะขจัดความสงสัยความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้เพียงลักษณะของสภาพธรรมเพียงหมวดเดียวในสติปัฏฐาน ๔ เพราะถ้ารู้เพียงหมวดเดียว ก็แสดงว่า ยังไม่รู้สภาพธรรม ในหมวดอื่นๆ ต้องเป็นผู้รู้ทั่วทั้งหมด ทั้งกาย เวทนา จิต และ ธรรม ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นั้น เป็นที่ตั้งของสติ (สติปัฏฐาน) ทั้งสิ้น แล้วแต่ว่าสติจะระลึกและปัญญารู้ลักษณะใด โดยไม่จำกัดและไม่เจาะจง เพราะธรรมเป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 5    โดย ํํญาณินทร์  วันที่ 20 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย wannee.s  วันที่ 20 เม.ย. 2559

ถ้าฟังธรรมแล้วเข้าใจ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็มีธรรม เพราะธรรมมีอยู่ทุกขณะ เป็นอนัตตาค่ะ