ดำเนินชีวิตอย่างไร......ไม่มีเรา
โดย bunprot  17 เม.ย. 2555
หัวข้อหมายเลข 20982

ทุกครั้งที่ฟังเพลงหรือเล่นเครื่องดนตรีเป็นการสะสมอกุศลกรรมใช่ไหมครับ

ขอความคิดเห็นจากผู้รู้ทุกท่านครับ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 17 เม.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในชีวิตของปุถุชน คือ ป็นผู้หนาด้วยกิเลส ย่อมเป็นปกติที่อกุศลจิตย่อมเกิดได้บ่อยกว่ากุศลจิตมาก แม้จะไม่ฟังเพลง ไม่ดูหนัง เล่นเครื่องดนตรี ในขณะอื่นๆ ของชีวิต ก็เป็นอกุศลโดยมาก เป็นส่วนใหญ่ ขณะนี้เห็น เห็นแล้วเป็นอกุศลจิตโดยไม่รู้ตัวเลย นี่แสดงถึงความเป็นธรรมดาของอกุศลจิตที่เกิดได้บ่อย เพราะการสะสมกิเลสมามากในสังสารวัฏฏ์นับชาติไม่ถ้วน แต่ อกุศลก็มีหลายระดับ ที่เป็นเพียงอกุศลจิต ที่สะสมเป็นอุปนิสัย ไม่ได้ให้ผลทำให้เกิดในอบายภูมิ และอกุศลกรรมที่แสดงออกมา ทางกาย วาจา แต่ก็ยังไม่ให้ผลนำเกิด ในอบายภูมิ คือ ไม่ล่วงศีลและอกุศลกรรมที่มีกำลัง ที่เป็นการล่วงศีล ที่ทำให้เกิดในอบายภูมิได้ ครับ ดังนั้น การเล่นดนตรี ฟังเพลง ก็ไม่ได้ล่วงทุจริตกรรมที่เป็นอกุศลกรรมบถที่ล่วงศีล แต่แสดงถึงความเป็นปกติในชีวิตประจำวันของปุถุชน ที่ต้องเป็นไปอย่างนั้น ที่เป็นไปกับอกุศลจิต เป็นปกติ

ที่สำคัญ การอบรมปัญญา ที่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน ที่ถึงความไม่มีเรา ก็เป็นการเจริญสติปัฏฐานที่เป็นปกติ ไม่ได้แยกจากชีวิตประจำวัน คือ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ทั้งที่เป็นกุศล อกุศลด้วย ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา

ดังนั้น อกุศลเกิดแล้ว บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ หนทางการเจริญปัญญาเพื่อถึงความไม่มีเรา ก็คือ ระลึกรู้ตัวอกุศลที่เกิดขึ้นว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา หากไม่รู้อกุศล ก็จะไม่รู้ทั่วในธรรมเลย ว่าแม้อกุศลก็เป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ

การดำเนืนชีวิตเพื่อถึงความไม่มีเรา เริ่มแรกจะยังไม่มีเราไม่ได้ คือ ยังประจักษ์ความไม่มีเราด้วยปัญญาทันทีไม่ได้ เพราะปัญญายังน้อย แต่ค่อยๆ สะสมอบรมปัญญาขั้นการฟังไปทีละน้อย จนปัญญาขั้นการฟังมากขึ้น จนสติปัฏฐานเกิด ก็สามารถระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นทั้ง กุศล อกุศลและสภาพธรรมอื่นๆ ที่มีจริง เช่น เห็น ได้ยิน คิดนึกว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ก็จะค่อยๆ ละความไม่รู้ และละความเห็นผิดไปทีละน้อย แต่ยังไม่ทันที คือ ค่อยๆ ละความมีเรา และค่อยๆ รู้ว่าไม่มีเราทีละน้อย จากสติปัฏฐานที่เกิดเป็นปกติ ที่แทรกเกิดระหว่างอกุศลได้ครับ

ดังนั้น ไม่ใช่ว่า เล่นดนตรี ฟังเพลงแล้วจะอบรมปัญญา เจริญสติปัฏฐานไม่ได้ และแม้สะสมอกุศล แต่อกุศลก็สะสมอยู่แล้ว แม้ไม่เล่นดนตรี เพราะเกิดเป็นปกติ แต่ที่สำคัญ การสะสมระหว่างอกุศลและกุศล มีปัญญา เป็นต้น แยกกัน เมื่อปัญญาเจริญถึงที่สุด ก็สามารถละกิเลสที่สะสมมามากเท่าไหร่ก็ตามได้หมดสิ้น ครับ

ดังนั้น สติย่อมเกิดได้ในที่ทั้งปวง เมื่อปัญญาถึงพร้อม แม้ขณะที่เล่นดนตรี ฟังเพลงก็มีแต่ธรรม มีได้ยิน มีเสียง มีคิดนึก ที่เป็นกุศล หรือ อกุศลก็ล้วนแล้วแต่เป็นธรรม สติปัฏฐานเกิดได้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ก็ค่อยๆ ละความเป็นเราในขณะที่เล่นดนตรี ฟังเพลงได้ ครับ

หนทางที่ถูกต้อง คือ ฟังพระธรรมต่อไป และก็ชีวิตก็ดำเนินไปตามเหตุปัจจัย พร้อมๆ กับสะสมปัญญา สติและปัญญาก็จะเกิดขึ้นเอง รู้ความจริงในขณะที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน นี่คือหนทางการถึงความไม่มีเรา ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา


ความคิดเห็น 2    โดย hiriotappa  วันที่ 17 เม.ย. 2555

ดังนั้น สติย่อมเกิดได้ในที่ทั้งปวง เมื่อปัญญาถึงพร้อม แม้ขณะที่เล่นดนตรี ฟังเพลงก็มีแต่ธรรม มีได้ยิน มีเสียง มีคิดนึก ที่เป็นกุศล หรือ อกุศลก็ล้วนแล้วแต่เป็นธรรม สติปัฏฐานเกิดเป็นธรรมไม่ใช่เรา ก็ค่อยๆ ละความเป็นเราในขณะที่เล่นดนตรี ฟังเพลงได้ ครับ

หนทางที่ถูกต้อง คือ ฟังพระธรรมต่อไป

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 3    โดย khampan.a  วันที่ 17 เม.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ชีวิตประจำวัน อกุศลจิตเกิดขึ้นเป็นไปมากอยู่แล้ว เป็นชีวิตปกติจริงๆ การฟังเพลงเพลิดเพลินไปกับสิ่งต่างๆ ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต ที่ประกอบด้วยความติดข้องต้องการ แต่ไม่ถึงกับเป็นอกุศลกรรมบถ เพราะไม่ได้กระทำทุจริตกรรมประการต่างๆ มี ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น

ชีวิตของแต่ละบุคคลที่ดำเนินไปในแต่ละวัน เป็นจิตแต่ละขณะ ตั้งอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว จิตขณะหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป จิตขณะต่อไปก็เกิดสืบต่อทันที ขณะที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ขณะที่กุศลจิตเกิด อกุศลจิตเกิด เป็นต้น ล้วนเป็นจิตทั้งนั้น ดำเนินไปอย่างนี้ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิตในภพนี้ชาตินี้ (จุติจิตเกิดขึ้น) ประมวลเรียกว่าชีวิต และไม่มีตัวตนที่ดำเนินชีวิต เพราะมีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป

ผู้ที่สะสมเหตุที่ดีมา เห็นประโยชน์ของการได้ฟังพระธรรม ย่อมเห็นว่า ช่วงเวลาของชีวิตที่ประเสริฐ คือ การมีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง อันเป็นช่วงเวลาที่จะทำให้ตนเองได้มีความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง (เพราะ วันหนึ่งๆ อกุศลจิตเกิดมากเป็นพื้นอยู่แล้ว ยิ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม กิเลสอกุศลย่อมมีแต่จะหนาแน่นขึ้นทุกวันๆ ) เมื่อมีความเข้าใจธรรม เพิ่มขึ้น ย่อมจะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมทุกประการ อีกด้วย ค่อยๆ สั่งสมความรู้ ความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย ด้วยการฟังพระธรรม อย่างตั้งใจ เพราะการฟังแต่ละครั้ง ย่อมไม่ไร้ผล ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 4    โดย เซจาน้อย  วันที่ 17 เม.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

" ที่สำคัญ การอบรมปัญญา ที่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน ที่ถึงความไม่มีเรา ก็เป็นการเจริญสติปัฏฐานที่เป็นปกติ ไม่ได้แยกจากชีวิตประจำวัน คือ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ทั้งที่เป็นกุศล อกุศลด้วย ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา "

"ช่วงเวลาของชีวิตที่ประเสริฐ คือ การมีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง อันเป็นช่วงเวลาที่จะทำให้ตนเองได้มีความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง "

ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 6    โดย peeraphon  วันที่ 17 เม.ย. 2555

เรียนท่านอาจารย์ทั้งสองท่านครับ

เมื่อวิถีชีวิตของ ปุถุชน ต้องเป็นไปในชีวิตปัจจุบัน ซึ่งเต็มไปด้วย โลภะ โทสะ โมหะ เริ่มตั้งแต่ตื่นนอน หากเทียบกับพระอริยบุคคลขั้น พระโสดาบัน พระสกทาคามี ในเพศคฤหัสถ์ แล้ว ชีวิตของท่าน ก็ยังคงเป็นปกติ เป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน บ่อยกว่าปุถุชน และ มี กิเลส เบาบางกว่า เมื่อสภาพธรรมะปรากฏทางทวารต่างๆ และไม่มีกำลังพอให้ลุศีลได้. เข้าใจอย่างนี้ผิดหรือไม่ครับ?

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย paderm  วันที่ 17 เม.ย. 2555

เรียนความเห็นที่ 6 ครับ

ถูกต้องแล้วครับ ตามที่ท่านได้อธิบายมา


ความคิดเห็น 9    โดย pamali  วันที่ 18 เม.ย. 2555
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 10    โดย jaturong  วันที่ 18 เม.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 11    โดย wannee.s  วันที่ 18 เม.ย. 2555

ในพระไตรปิฎกมีแสดงไว้ เช่น ท่านพระสารีบุตร และ ท่านพระโมคคัลลานะ ก่อนที่ท่านจะบวช ท่านได้ดูการละเล่น ดูมหรสพ ท่านก็เกิดปัญญาว่าคนที่เล่นก็ต้องตายเป็นธรรมดา เราก็ต้องตาย ก็แสวงหาทางหลุดพ้น เพราะฉะนั้นปัญญาก็สามารถเกิดได้ ในขณะที่ดูหนังฟังเพลง ค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย bunprot  วันที่ 20 เม.ย. 2555

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ คงไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นศึกษาและฟังพระธรรม ถ้าไม่ฟังพระธรรมจะไม่รู้เลยว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เป็นเพียงกระแสธรรมที่ปรากฏให้เห็น ได้ยิน สัมผัสรู้ คิดนึก อยู่ตลอดเวลา เพราะไม่รู้ สำคัญผิด ... ว่าเป็นเรา