จากการอ่าน การฟัง (แต่ไม่ได้ศึกษาเรื่องคำว่าบัญญัติ โดยละเอียด) เข้าใจว่า ในการศึกษาคำต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟัง คำที่กล่าวที่มีความหมายต่างๆ มีเสียงรวมจนเป็นคำ หรือสีที่รวมๆ กันจนเป็นคำที่ทำให้รู้ความหมาย เข้าใจว่าเป็นบัญญัติไปแล้ว แต่คำต่างๆ เหล่านี้ศึกษาเพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงสภาพธรรมะ ซึ่งเป็น ปรมัตถ์
แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความเป็นคฤหัสถ์ ก็ยังคงต้องมีกิจหน้าที่ต่างๆ ที่ยังต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ หาเงิน (ซึ่งเป็นบัญญัติ) และก็ต้องเรียนรู้วิชาความรู้ต่างๆ เพื่อการทำงาน (ซึ่งความจริงแล้วเป็นเพียงบัญญัติ) แต่บัญญัติเหล่านี้ในบางสิ่งบางอย่างก็ทำให้เกิดผลดี ผลเสียเกิดขึ้นจริงๆ เช่น หากวิศวกร คำนวณการก่อสร้างผิดพลาด สิ่งก่อสร้างก็คงพังทลาย อุบัติเหตุร้ายแรงต่างๆ หากแพทย์ไม่รู้จักชื่อโรค ชื่อยา ฮอร์โมน สารสื่อประสาท ยีนต่างๆ ก็คงรักษาผู้ป่วยไม่ได้ หรือเงินทองที่หามาสำหรับคฤหัสถ์ แม้จะเป็นเพียงบัญญัติ แต่ก็จริงในการใช้ชีวิต ดำรงชีวิตในช่วงชีวิตนี้
ดังนั้นการจะกล่าวว่า บัญญัติมีจริง (โดยสมมติ) ก็คงไม่ผิด (เพราะการดำรงชีวิตก็ยังคงต้องเป็นไป ต้องทำให้ถูกต้อง ไม่เป็นไปในการเบียดเบียนผู้อื่น)
แต่การกล่าวว่า บัญญัติไม่มีจริง (เพราะเรากำลังศึกษาเรื่องสภาพธรรมะ ที่เป็นไปเพื่อรู้สภาพธรรมะตามความเป็นจริง) ก็ย่อมไม่ผิด และยิ่งเป็นไปเพื่อการศึกษาในสภาพธรรมะให้ละเอียดขึ้นๆ ต่อๆ ไป เพื่อเป็นปัจจัยสำคัญในการรู้สภาพธรรมะตามความเป็นจริง และละความไม่รู้-ความติดข้องเพิ่มขึ้นๆ
แต่สุดท้ายแล้ว ธรรมะทั้งปวงเป็นอนัตตา ก็ต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ
จึงขอเรียนสอบทานความเข้าใจ เพื่อความละเอียดเพิ่มเติมต่อไปครับ
ขอบพระคุณครับ
พอดีมีโอกาสได้ search ใน google ว่า บัญญัติ dhammahome ก็ขึ้นหน้านี้ขึ้นมาครับ น่าจะพอช่วยผู้ที่มีความสนใจในเรื่อง บัญญัติ ได้บ้างครับ
บัญญัติ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
คำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มีดังนี้
อย่างไรก็ตามธรรมมีจริงแน่นอน แล้วเราจะรู้ได้ขณะไหนว่าขณะนั้นเรากำลังเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ หรือว่าไม่ใช่สิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นก่อนที่จะถึงสมมติ ก็จะกล่าวถึง"ปรมัตถ์"กับ"บัญญัติ" สภาพธรรมที่มีจริงคือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน นอกนั้นแล้วไม่ใช่ปรมัตถธรรม เพราะฉะนั้นในขณะนี้ที่กำลังเห็น เราจะสามารถที่จะรู้ได้ หรือไม่ว่าขณะไหนเป็นปรมัตถ์ หรือว่าขณะไหนที่กำลังได้ยินเป็นปรมัตถ์ ไม่ใช่เพียงชื่อ แต่ให้เรามีความเข้าใจในปรมัตถธรรมว่า ถ้าเราสามารถเข้าใจปรมัตถธรรม เข้าใจบัญญัติ และเราเข้าใจอย่างอื่นด้วย เพราะว่าเราคุ้นเคยกับอย่างอื่น แต่เราไม่เคยรู้ลักษณะของปรมัตถธรรมเลย ได้ยินแต่ชื่อเหมือนแว่วๆ แต่ว่าตัวจริงๆ ก็อยู่ไกล หรืออยู่ใกล้ แล้วแต่ว่าขณะนั้นปัญญาของเราสามารถที่จะมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ หรือไม่ หรือเพียงแต่ได้ฟังเรื่องของปรมัตถธรรม ทั้งๆ ที่ขณะนี้เป็นปรมัตถธรรมทั้งหมด ก็แสดงให้เห็นว่าเราต้องอบรมความรู้ความเข้าใจในปรมัตถธรรม แล้วถึงจะเห็นความต่างกันจริงๆ แม้จะกล่าวว่าปรมัตถธรรมมี ๔ คือจิต เจตสิก รูป นิพพาน ก็แค่จำชื่อ แต่ว่าลักษณะที่เป็นปรมัตถ์นั้น รู้ หรือไม่ แต่ถ้าไม่รู้ ก็แค่จำไว้ก่อน ถึงอย่างไรใครมาถามเรา เราก็แค่ปรมัตถธรรม ๔ และก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าถ้าขณะใดที่ไม่ใช่มีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ ขณะนั้นมีบัญญัติเป็นอารมณ์ นี่คือความรู้ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น มีสภาพธรรมที่มีจริง เป็นปรมัตถธรรม และขณะใดที่ไม่มีปรมัตถธรรมหนึ่งใน ๔ เป็นอารมณ์ ขณะนั้นมีบัญญัติเป็นอารมณ์
เพราะฉะนั้นบัญญัติคืออะไร บัญญัติ คือ สิ่งที่ไม่ใช่ปรมัตถ์ ไม่ต้องเอ่ยมาสักคำ สมมติอะไรก็ไม่มีทั้งนั้น แต่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่เราจำได้ทางตาในขณะนี้ เราก็จำได้เป็นดอกไม้อย่างนี้ ทั้งๆ ที่ก็เป็นเพียงสีสัน แต่จำลักษณะนั้นว่าเป็นดอกไม้ เพราะฉะนั้นดอกไม้เป็นบัญญัติ หรือเป็นปรมัตถ์ ถ้าเป็นปรมัตถ์ก็คือสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏทางตา สิ่งนั้นแม้ไม่เรียกชื่อเลยก็มีจริงๆ เป็นปรมัตถธรรม ๑ ใน ๔
เพราะฉะนั้น เราต้องคุ้นเคย และเข้าใจปรมัตถธรรม จึงจะสามารถแยกปรมัตถธรรมกับบัญญัติ แล้วก็จะรู้ว่าเมื่อมีปรมัตถธรรมกับบัญญัติ ก็มีการนึกคิด ไม่ใช่เฉพาะทางตา แต่ว่ามีการนึกคิดถึงเสียงต่างๆ สูงๆ ต่ำๆ เช่นเดียวกับที่ทางตา เวลาเห็นหลายๆ สี และก็มีการทรงจำว่าสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ทำไมเป็นคน และก็ไม่ใช่คนเดียวกันด้วย แต่ละคนๆ ก็สามารถที่จะจำบัญญัติของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ นี่คือการที่เราจะค่อยๆ เข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้ว แม้ว่าปรมัตถธรรมมีจริง และเกิดดับเร็วมากแต่เราก็อยู่ในโลกของบัญญัตินั่นเอง จนกว่าจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วบัญญัติไม่ใช่สภาวธรรมที่มีจริง แต่เป็นเพียงความจำ และก็เรื่องราวต่างๆ ที่คิดนึกต่อมา เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว ต่อมาเราก็รู้ว่าแม้ไม่ใช้คำ ไม่มีสัททบัญญัติ แต่อรรถบัญญัติ ความหมายของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ก็มีหลังจากที่เห็น ก็จะทำให้เข้าใจว่าปรมัตถธรรมต่างกับบัญญัติ และก็มีคำภาษาต่างๆ เพื่อที่จะสมมติให้เข้าใจว่าหมายความถึงอย่างไร ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่สำคัญก็คือต้องให้เข้าใจลักษณะของปรมัตถธรรมว่าเป็นธรรม ไม่อย่างนั้นก็ต้องเป็นเรา เป็นเขา เป็นวัตถุ เป็นสิ่งต่างๆ ต่อไปอีก
ที่มา ...
พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 43
... ยินดีในกุศลของคุณstfurolและทุกๆ ท่านด้วยครับ ...
กราบขอบพระคุณครับอาจารย์
กราบอนุโมทนาครับ
อารมณ์มี ๒ อย่าง คือ ปรมัตถธรรมอย่างหนึ่ง บัญญัติธรรมอย่างหนึ่ง ขณะใดที่ไม่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ ขณะนั้นมีบัญญัติเป็นอารมณ์ ชีวิตประจำวันของทุกคน ทุกชีวิต ต้องมีขณะที่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์บ้าง และมีขณะที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์บ้าง สืบต่อกัน เช่น ทางตาที่เห็น ไม่ได้เห็นแต่ปรมัตถอารมณ์ทางจักขุทวารวิถี เมื่อจักขุทวารวิถีดับหมดแล้วถึงมโนทวารวิถี มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ไม่ว่าใครทั้งนั้น มิฉะนั้นจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่รู้บัญญัติว่า เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นอาหาร เป็นถ้วย เป็นจาน เป็นช้อน เป็นส้อม จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้เลย [ตอนที่ 1353]
รับฟัง ...
เรื่องของบัญญัติอารมณ์
กราบอนุโมทนาครับ