สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
โดย มานพ  26 ธ.ค. 2559
หัวข้อหมายเลข 28476

กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพอย่างสูงครับ

ทางแพทย์จะบอกว่าให้รับประทานอาหารให้ครบ ๕ หมู่ แล้วร่างกายจะแข็งแรงปราศจากโรคภัย และให้กินอาหารอย่างนั้นอย่างนี้แล้วจะไม่เป็นโรคนั้นโรคนี้ แล้วผมสงสัยว่า โรค เกิดขึ้นเพราะ กรรม หรือ เพราะ อาหาร ครับ ถ้าเพราะ อาหาร แล้วตอนพระพุทธเจ้าฉันข้าวแดงอย่างเดียวตั้ง ๓ เดือน ท่านทรงพระประชวรเพราะเหตุนี้หรือเปล่าครับ แล้วเวลาพระองค์ทรงพระประชวร เช่นปวดพระเศียร ท่านก็จะตรัสถึงอดีตชาติว่าเคยอนุโมทนาบาปกับญาติที่หาปลาได้ และอีกข้ออื่นๆ ท่านก็จะตรัสถึงอดีตชาติว่าได้เคยทำกรรมอย่างนั้นอย่างนี้ไว้ ครับไม่ว่าจะเป็นสาวกที่ป่วยก็ตาม ผมขอความกระจ่างในเรื่องนี้ด้วยนะครับ

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 26 ธ.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

คำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ดังนี้

"โรคหรือความทุกข์กายที่เกิดจากกรรมก็มี เกิดจากจิตก็มี เกิดจากอุตุก็มี เกิดจากอาหารก็มี ถ้าไม่มีกายปสาทที่ซึมซาบอยู่ทั่วร่างกาย ทุกขเวทนาก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น กายปสาทเป็นรูปซึ่งเกิดจากกรรม เป็นรูปที่สามารถรับกระทบสัมผัสกับสิ่งที่เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว ถ้าเป็นสิ่งที่เย็นจัด ไม่สม่ำเสมอ ไม่พอดี ก็เป็นปัจจัยให้ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ถ้าเป็นสิ่งที่ร้อนก็เป็นปัจจัยให้ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ถ้าเป็นสิ่งที่แข็งก็เป็นปัจจัยให้ทุกขเวทนาเกิดขึ้น รวมความว่า สิ่งที่กระทบสัมผัสกายที่ไม่น่าสบายเป็นปัจจัยให้ทุกขเวทนาเกิดขึ้น และสำหรับความป่วยไข้นั้น บางโรคก็เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน บางโรคก็เกิดขึ้นเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน บางโรคก็เกิดขึ้นเพราะอุตุ ความเย็นความร้อนเป็นสมุฏฐาน บางโรคก็เกิดขึ้นเพราะอาหารเป็นสมุฏฐาน เวลาที่บริโภคอาหารที่เป็นพิษ อันนั้นก็เป็นโรคซึ่งเกิดขึ้นเพราะอาหาร สำหรับบางคนที่เป็นอกุศลจิต ก็อาจจะมีการทรมานตัวทรมานกายต่างๆ ทุกขเวทนาที่เกิดจากการทรมานตัว ทรมานกายนั้นก็เป็นทุกขเวทนาที่เกิดเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน และโรคบางอย่างก็เกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน"


โรค หรือ โรคะ หมายถึง สภาพที่เสียดแทง โรคทางกาย เสียดแทงกายให้ได้รับความเจ็บปวด ทรมาน แต่โรคทางใจ คือ กิเลส ซึ่งเป็นสภาพที่ทำให้จิตเศร้าหมอง ย่อมเสียดแทงจิตใจของสัตว์ทั้งหลายให้เร่าร้อน และไม่ให้ออกไปจากวัฏฏะ "สัตว์ทั้งหลายผู้ยืนยันว่าไม่มีโรคทางกายตลอดเวลา ๑ ปี ก็มี ยืนยันว่าไม่มีโรคทางกายตลอดเวลา ๒ ปีก็มี ๓ ปี ก็มี ๔ ปีก็มี ๕ ปีก็มี ๑๐ ปีก็มี ๒๐ ปีก็มี ๓๐ ปีก็มี ๔๐ ปีก็มี ๕๐ ปีก็มี ๑๐๐ ปีก็มี ยิ่งกว่า ๑๐๐ ปีก็มี แต่ว่าผู้ที่จะยืนยันว่าไม่มีโรคทางใจแม้เพียงเวลาครู่เดียวนั้น หาได้ยากในโลก เว้นแต่พระขีณาสพ (ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว)

ส่วนใหญ่แล้ว ก็มักจะคิดถึงโรคทางกาย แต่ก็ยังมีโรคอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ยากและรักษาได้ยาก นั่นก็คือ โรคทางใจ คือ กิเลสที่สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งเป็นเครื่องเสียดแทงจิตใจ ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ตราบใดที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังไม่พ้นไปจากโรคทางใจ การที่จะรักษาโรคทางใจ ย่อมยากกว่าโรคทางกาย ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการสะสมปัญญาและความดีประการต่างๆ ที่จะค่อยๆ รักษาโรคทางใจไปทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะเป็นผู้ไม่มีโรคทางใจ คือ กิเลส อีกเลย เมื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่ต้องมีการเกิดอีก ไม่ต้องมีทั้งโรคทางกายและโรคทางใจ อีกต่อไป ครับ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 26 ธ.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตราบใดที่ยังมีกาย อันเนื่องมาจากการเกิด ก็ยากที่จะพ้นจากความทุกข์ทางกาย ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย การเจ็บป่วยหรือโรคภัยไข้เจ็บประการต่างๆ เกิดจากหลายสาเหตุ คือ โรคบางอย่างเกิดจากกรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีต โรคบางอย่างเกิดจากจิต โรคบางอย่างเกิดจากอุตุฤดู โรคบางอย่างเกิดจากอาหาร ซึ่งจะเห็นได้ว่า เวลาที่ได้ศึกษาข้อความจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาจะพบข้อความที่กล่าวถึงบุคคลผู้ที่เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อย่างเช่น พระปูติคัตตติสสเถระ เป็นตุ่มขึ้นตามตัว จนแตกไปในที่สุด ทำให้ตัวเน่าทั้งตัวเพราะในอดีตได้ฆ่านกเป็นจำนวนมาก นี้คือตัวอย่างของโรคที่เกิดจากกรรม ส่วนผู้ใดที่จิตเป็นอกุศล เช่น ประกอบด้วยโทสะ มีความโกรธบ่อยๆ ก็ทำให้เกิดปวดศีรษะได้ หรือผู้ที่มีความเห็นผิด ไปทำในสิ่งผิดๆ เช่นไปนั่งสมาธิ ไปเดินนานๆ นั่งนานๆ ด้วยคิดว่าจะพ้นทุกข์ ก็ทำให้เกิดความไม่สบายได้ เป็นต้น ส่วนอากาศฤดูกาลเปลี่ยนแปลง ทำให้คนไม่สบายก็เห็นกันอยู่มากทีเดียว สำหรับโรคที่เกิดจากอาหาร ก็คงไม่ต้องสงสัย เพราะอาหารเป็นพิษ หรือทานของแสลงก็ทำให้เจ็บป่วยได้

เมื่อทราบอย่างนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ต้องดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย ก็ยังต้องมีการดูแลรักษา เพื่อประโยชน์ในการที่จะให้ชีวิตเป็นไปได้อย่างไม่เดือดร้อน เพื่อจะได้ทำความดีและศึกษาพระธรรมต่อไป ตามความเป็นจริงแล้ว เราก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นแม้ในขณะต่อไป ชีวิตในภพนี้ชาตินี้จะสิ้นสุดเมื่อใด ก็ไม่มีใครทราบได้ จะมีชีวิตอยู่ยืนยาวหรือสั้น ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่า มีโอกาสได้สะสมความดีและอบรมเจริญปัญญาหรือไม่ เพราะสิ่งนี้เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งในชีวิตอย่างแท้จริง ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 4    โดย มานพ  วันที่ 27 ธ.ค. 2559

กราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย doungjai  วันที่ 27 ธ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย Lertchai  วันที่ 27 ธ.ค. 2559

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย kukeart  วันที่ 28 ธ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย ํํญาณินทร์  วันที่ 29 ธ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย nopwong  วันที่ 30 ธ.ค. 2559

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 10    โดย lack  วันที่ 31 ธ.ค. 2559

กราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 11    โดย วิริยะ  วันที่ 31 ธ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย p.methanawingmai  วันที่ 9 ม.ค. 2560

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย เพียงดิน  วันที่ 12 ม.ค. 2560

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 14    โดย chatchai.k  วันที่ 19 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ