บางท่านคิดว่า การเจริญสติปัฏฐานนั้น บิณฑบาตไม่ได้ ถ้าเข้าใจอย่างนั้นจะไม่ตรงกับพระธรรมวินัยเลย ซึ่งตามพระธรรมวินัยแล้ว การเจริญสติปัฏฐานเป็นการรู้สภาพธรรมทุกอย่างตามปกติในชีวิตประจำวัน
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ... ปิณฑปาตปาริสุทธิสูตร ข้อ ๘๓๗ มีข้อความว่า
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระวิหารเวฬุวัน เขตพระนครราชคฤห์ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมแก่ท่านพระสารีบุตร ซึ่งมีข้อความว่า
ภิกษุนั้นพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราเข้าไปบิณฑบาตยังบ้านทางใด เที่ยวบิณฑบาตไปในประเทศใด และกลับจากบิณฑบาตแต่บ้านทางใด ในทางและประเทศนั้นๆ เรามีความพอใจ หรือความกำหนัด หรือความขัดเคือง หรือความลุ่มหลง หรือแม้ความกระทบกระทั่งทางใจในรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุบ้างไหม ในเสียงที่รู้ได้ด้วยโสตะ ในกลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะ ในรสที่รู้ได้ด้วยชิวหา ในโผฏฐัพพะที่รู้ได้ด้วยกาย ในธรรมารมณ์ที่รู้ได้ดัวยมโนบ้างไหม
ถ้าพิจารณาอยู่ รู้อยู่อย่างนี้ว่า มีความพอใจ หรือความกำหนัด หรือความขัดเคือง หรือความลุ่มหลง หรือแม้ความกระทบกระทั่งทางใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ภิกษุนั้นพึงพยายามละอกุศลธรรมอันลามกนั้นเสีย แต่ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า ไม่มีความพอใจ หรือความกำหนัด หรือความขัดเคือง หรือความลุ่มหลง หรือแม้ความกระทบกระทั่งทางใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้ศึกษาเนืองๆ ทั้งกลางวันและกลางคืนในกุศลธรรมทั้งหลาย อยู่ได้ด้วยปีติ และปราโมทย์นั้น นั่นแล
ไม่ว่าพระภิกษุจะบิณฑบาตในทางใด ในประเทศใด ย่อมเป็นผู้พิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า มีความพอใจ หรือความไม่พอใจ หรือความขัดเคืองที่เกิดจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจหรือไม่ ถ้ามี ก็เป็นผู้ที่เพียรพยายามละด้วยการเจริญสติ ถ้าไม่เจริญสติก็ละไม่ได้ หรือถ้าไม่มี ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้ศึกษาเนืองๆ ทั้งกลางวันและกลางคืนในกุศลธรรมทั้งหลาย อยู่ได้ด้วยปีติ และปราโมทย์นั้น นั่นแล
ในกุศลธรรมทั้งหลาย แสดงให้เห็นว่า แล้วแต่อัธยาศัยจริงๆ ไม่มีการกะ เกณฑ์เป็นกฎว่า จะต้องให้ทำอย่างนั้น หรือจะต้องทำอย่างนี้ เป็นผู้ที่ศึกษาเนืองๆ ทั้งกลางวันและกลางคืนในกุศลธรรมทั้งหลาย
ข้อความต่อไปพระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร สารีบุตร ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราละกามคุณ ๕ ได้แล้วหรือหนอ
ดูกร สารีบุตร ถ้าภิกษุพิจารณารู้อย่างนี้ว่า เรายังละกามคุณ ๕ ไม่ได้เลย ภิกษุนั้นพึงพยายามละกามคุณ ๕
ดูกร สารีบุตร แต่ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่อย่างนี้ว่า เราละกามคุณ ๕ ได้แล้ว ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้ศึกษาเนืองๆ ทั้งกลางวันและกลางคืนในกุศลธรรมทั้งหลาย อยู่ด้วยปีติ และปราโมทย์นั้น นั่นแล
การเจริญสติปัฏฐานต้องพิจารณามาก เมื่อสติระลึกรู้ลักษณะของนามของรูปแล้ว ยังเป็นผู้ที่รู้จักตัวเองถูกต้องชัดเจนตามความเป็นจริงว่า เป็นผู้ที่ละกามคุณ ๕ แล้วหรือยัง เมื่อเป็นผู้ที่ยังไม่ละ ก็จะต้องพยายามละกามคุณ ๕ แต่ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่อย่างนี้ว่า เราละกามคุณ ๕ ได้แล้ว ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้ศึกษาเนืองๆ ทั้งกลางวันและกลางคืนในกุศลธรรมทั้งหลาย อยู่ด้วยปีติ และปราโมทย์นั้น นั่นแล
ข้อความต่อไปมีว่า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราละนิวรณ์ ๕ ได้แล้วหรือหนอ
การละในพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่ละเพียงแค่ชั่วครู่ชั่วยาม แต่ละเป็นสมุจเฉท เพราะเหตุว่านิวรณ์คืออกุศลธรรม อกุศลจิตที่จะหมดสิ้นหรือดับได้จริงๆ ก็ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ไม่ใช่เพียงระงับยับยั้งไว้ด้วยการเจริญสมาธิเท่านั้น
ต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เรากำหนดรู้อุปาทานขันธ์ ๕ ได้แล้วหรือหนอ
ทรงเตือนอยู่ตลอดเวลาให้รู้จักความจริง ไม่ใช่ให้หลงเข้าใจผิด เพราะเหตุว่าต้องระลึกเนืองๆ ว่า ละกามคุณ ๕ ได้แล้วหรือยัง เมื่อยังละไม่ได้ก็ต้องรู้ และนิวรณ์ ๕ ละได้แล้วหรือยัง ก็ต้องรู้ตามความเป็นจริง และที่จะละนิวรณ์ ๕ ได้นั้น โดยไม่รู้อุปาทานขันธ์ ๕ ละไม่ได้แน่ จึงได้ตรัสว่า ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เรากำหนดรู้อุปาทานขันธ์ ๕ ได้แล้วหรือหนอ
ทรงโอวาทมาถึงพุทธบริษัทสมัยนี้ด้วย ที่จะให้รู้ตามความเป็นจริงว่า รู้อุปาทานขันธ์ ๕ แล้วหรือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่มีอยู่เป็นประจำ รู้หรือยัง ถ้ายังไม่รู้ ก็เพียรพยายามที่จะรู้ ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 130
ข้อความต่อไป
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราเจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้วหรือหนอ
เพราะเหตุว่าเป็นหนทางเดียวจริงๆ ที่จะทำให้รู้ขันธ์ ๕ ได้ ถ้าไม่เจริญสติปัฏฐาน ๔ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ขันธ์ ๕ ได้
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราเจริญสัมมัปธาน ๔ แล้วหรือหนอ
สัมมัปธาน ได้แก่ วิริยะ ซึ่งเกิดร่วมกับสติ ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป เป็นความเพียรชอบ
ไม่ใช่เพียรอย่างอื่น แต่เพียรระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นผู้ที่เจริญสัมมัปธาน เจริญความเพียร เจริญวิริยะ ไม่ใช่วิริยะนเรื่องอื่น แต่วิริยะที่จะระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราเจริญอิทธิบาท ๔ แล้วหรือหนอ
อิทธิบาท ได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสะ ซึ่งจะต้องมีในการเจริญสติปัฏฐาน ถ้าไม่มีฉันทะ ก็ไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป
ข้อความต่อไป
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราเจริญอินทรีย์ ๕ แล้วหรือหนอ
ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราเจริญพละ ๕ แล้วหรือหนอ
เป็นการตรวจสอบตัวเองตามความเป็นจริงตลอดเวลา
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราเจริญโพชฌงค์ ๗ แล้วหรือหนอ
ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราเจริญอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐแล้วหรือหนอ
ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราเจริญสมถะและวิปัสสนาแล้วหรือหนอ
ไม่ใช่หมายความว่า ให้ไปเจริญฌาน แต่หมายความว่าในมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง มีทั้งสมถะและวิปัสสนา ในขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของนาม ในขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของรูป สงบจากอกุศล เพราะเหตุว่าสติกำลังระลึกรู้ลักษณะของนามว่าเป็นนาม ระลึกรู้ลักษณะของรูปว่าเป็นรูป เมื่อเพิ่มมากขึ้น ก็สงบจากกิเลส คือ การรู้ลักษณะของนามของรูปนั้นมากขึ้น
ข้อความต่อไป
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราทำวิชชาและวิมุตติให้แจ้งแล้วหรือหนอ
ไม่ใช่การหลอกตัวเอง แต่เป็นการพิจารณาตามความเป็นจริงว่า ได้ถึงมรรคจิต ผลจิต รู้แจ้งอริยสัจธรรมแล้วหรือยัง
พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า
ดูกร สารีบุตร ก็สมณะ หรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ผู้ทำบิณฑบาต ให้บริสุทธิ์แล้วในอดีตกาลทั้งหมดนั้น พิจารณาแล้ว พิจารณาแล้วอย่างนี้เทียว จึงทำให้บิณฑบาตให้บริสุทธิ์ได้ สมณะ หรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ผู้จักทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์ในอนาคตทั้งหมดนั้น ต้องพิจารณาแล้ว พิจารณาแล้วอย่างนี้เทียว จึงจักทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์ได้
ทรงตรัสไว้ก่อนที่จะปรินิพพาน ให้เห็นว่า บุคคลในอดีตได้เจริญอย่างไร แม้ในอนาคตก็จะต้องเจริญเหมือนกันอย่างนั้น
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
สมณะ หรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ผู้กำลังทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์อยู่ ในบัดนี้ทั้งหมดนั้น ย่อมพิจารณาแล้ว พิจารณาแล้วอย่างนี้เทียว จึงทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์ได้ เพราะฉะนั้นแล พวกเธอพึงสำเหนียกว่า จักพิจารณาแล้ว จักพิจารณาแล้ว ทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์
ดูกร สารีบุตร พวกเธอพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้แล
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรจึงชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล
เหมือนกันทุกสมัย ไม่ใช่ว่าสมัยนี้จะไม่เหมือนกับสมัยก่อน ผู้ที่จะรู้แจ้ง อริยสัจธรรมจะต้องพิจารณาเหมือนอย่างบุคคลในครั้งอดีตที่ได้พิจารณาแล้ว
เรื่องของจิตมีราคะซึ่งเป็นปกติเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ระลึกได้ ไม่ต้องกั้น แต่เป็นผู้ที่สติระลึกรู้ลักษณะของนามของรูปมากขึ้น เพิ่มขึ้น ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 131
เปิดฟัง ...
ปิณฑปาตปาริสุทธิสูตร