
[เล่มที่ 66] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 360
อัฏฐกวัคคิกะ
ตุวฏกสุตตนิทเทสที่ ๑๔
[๗๗๙] ก็ภิกษุรู้ธรรมนั้นแล้วค้นคว้าอยู่ พึงเป็นผู้มีสติ ศึกษา ในกาลทุกเมื่อ ภิกษุรู้ความดับว่าเป็นความสงบแล้ว ไม่ พึงประมาทในศาสนาของพระโคดม.
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ได้ยินคำว่า สติ รู้ว่าสติคืออะไร แต่ วันหนึ่งๆ ที่มีสติ ไม่ได้รู้ใช่ไหมว่า เป็นสติ
อ.วิชัย: ไม่ได้รู้เลยครับ
ท่านอาจารย์: แล้วฟังธรรมะเพื่ออะไร?
อ.วิชัย: เพื่อให้อย่างเบื้องต้นเพื่อให้เข้าใจถูกขึ้นครับ เพราะแต่ก่อนอาจจะมีการได้ยินได้ฟังมาว่า การกระทำอะไรไม่หลงลืม ก็คิดว่ามีสติ หรือให้ใช้สติ ก็เป็นความเข้าใจผิดที่เคยสะสมมาก่อน ก็มีความเข้าใจขึ้นอย่างเบื้องต้น ก็คือว่าขณะที่จิตดีงามเกิดเป็นกุศล ก็มีสติ แต่ไม่รู้จักลักษณะของสติครับ นี่คือประโยชน์จากการฟัง
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ฟังธรรมะเพื่ออะไร?
อ.วิชัย: เพื่อเข้าใจถูกต้องขึ้น ไม่เข้าใจผิดครับ
ท่านอาจารย์: เพื่อรู้จักสติเมื่อสติเกิด ใช่ไหม?
อ.วิชัย: ใช่แน่นอนครับ ฟังเพื่อเข้าใจตัวธรรมะจริงๆ ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทั้งวันตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้เป็นธรรมะทั้งหมดใช่ไหม?
อ.วิชัย: ใช่ครับ
ท่านอาจารย์: แต่ยังไม่รู้จักธรรมะอะไรสักหนึ่งเลย เพียงแต่ฟังเรื่องของธรรมะแต่ละหนึ่ง
เพราะฉะนั้น เมื่อฟังแล้วมีความเข้าใจแล้ว จึงเริ่มรู้ว่า ธรรมะที่ศึกษาไม่ได้อยู่ที่ไหนเลยทั้งสิ้น ทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย ชีวิตประจำวันนั่นเองเป็นธรรมะ
รู้อย่างนี้เพื่ออะไร?
เพื่อจะได้รู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรมะ ที่กว่าจะรู้ได้ว่าเป็นธรรมะ จะต้องรู้มากกว่านี้ เช่น ได้ยินเรื่องของสติ เพื่อรู้สติ ขณะที่กำลังเกิดขึ้นเป็นไป
อ.วิชัย: ครับ ข้อความตรงนี้ก็ลึกซึ้งครับ อย่าง พึงเป็นผู้มีสติศึกษาในกาละทุกเมื่อ หมายถึงว่าขณะนี้ก็คือเป็น กาละหนึ่งๆ ไม่ใช่เป็นกาละคิดถึงเรื่องราวต่างๆ แต่ว่า ขณะนี้มีธรรมะ ก็เป็นกาละของการที่จะมีสติเกิดขึ้นศึกษาอย่างนี้ครับ
ท่านอาจารย์: ทุกเมื่อเป็นธรรมะ แต่เป็นธรรมะแต่ละหนึ่งหลากหลาย เ พราะฉะนั้น พูดคำว่า สติ ต้องเข้าใจความเป็นสติ ไม่ใช่จำคำว่า สติ แต่ต้องรู้ว่า ขณะใดก็ตามที่กุศลเกิดขึ้น ไม่รู้เลยว่า เป็นสติใช่ไหม?
อ.วิชัย: ใช่ครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: แล้วเมื่อไหร่จะรู้?
อ.วิชัย: เมื่อมีการสะสมความเข้าใจในเรื่องของสติจนสามารถรู้จักลักษณะของสติได้ จึงรู้ว่ามีสติเกิดขณะนั้นครับ
ท่านอาจารย์: เมื่อรู้ว่า ธรรมะทั้งปวงเป็นอนัตตา
อ.วิชัย: เมื่อรู้ว่า ธรรมะทั้งปวงเป็นอนัตตา
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น สติไม่ใช่สมาธิ
อ.วิชัย: ใช่ครับ
ท่านอาจารย์: สติไม่ใช่สมาธิ สติไม่ใช่จำ ทั้งหมดทุกขณะเป็นธรรมะ
อ.วิชัย: ใช่ครับ
ท่านอาจารย์: เรียนหมดเลย จิตกี่ประเภท เจตสิกกี่ประเภท และยังธรรมะอื่นๆ แต่ไม่รู้เลย ทั้งหมดเดี๋ยวนี้เอง ไม่ต้องไปหาที่อื่นเลยทั้งสิ้น เดี๋ยวนี้เองกำลังเป็นธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้ไม่ประมาทที่จะรู้ว่า ธรรมะกำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น การที่จะมีความเข้าใจความจริงของธรรมะ ก็ต่อเมื่อธรรมะนั้นเกิด แล้วมีความเข้าใจ เพราะได้ฟัง และเข้าใจขึ้นๆ ๆ ๆ มิเช่นนั้นก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่า ขณะนี้จริงๆ อะไร และก็เป็นธรรมะ คือสิ่งที่มีจริงอะไร ตามที่ได้ฟังมาแล้ว
อ.วิชัย: ก็เป็นสิ่งที่พอได้ยินก็เป็นเหตุให้พิจารณา เพิ่มขึ้นอีกๆ ๆ ครับ อย่างข้อความแสดงว่า เมื่อรู้ธรรมะนั้น คำแต่ละคำที่ท่านอาจารย์กล่าวตามความเป็นจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เป็นการค้นคว้า คือได้พิจารณาครับ แม้ในความเป็นจริงของสติว่า จะรู้จักสติเมื่อไหร่ครับท่านอาจารย์ครับ และก็การที่จะรู้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ครับ ปกติคือหลงลืมครับ ไม่ได้มีการแม้จะสำเนียก หรือสังเกตุ หรือแม้จะพิจารณาสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เลยครับ แต่พอฟังก็ดูเหมือนกับเป็นการที่เป็นเหตุให้ระลึกได้ว่า แม้เดี๋ยวนี้ก็หลงลืมครับที่จะไม่รู้ความเป็นจริงของสภาพธรรมะครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น มั่นคงใช่ไหม ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจว่า ธรรมะคือเดี๋ยวนี้
อ.วิชัย: ครับ ก็เป็นเหตุให้เข้าใจขึ้นครับท่านอาจารย์ว่า การที่จะเข้าใจธรรมะจริงๆ ไม่ได้อยู่ตรงไหนเลย แต่อยู่ตรงนี้ในกาลทุกเมื่อ แต่ละขณะของธรรมะที่กำลังเป็นไปในขณะนี้ครับ
ท่านอาจารย์: ค่อยๆ เป็นปัจจัยที่จะทำให้ไม่ลืมว่า ธรรมะคือเดี๋ยวนี้ ไม่ลืมคือสติใช่ไหม?
อ.วิชัย: ใช่ครับ คำแต่ละคำไม่ต้องใช้คำว่า สติ ก็ได้ แม้แต่คำว่า ไม่ลืมนี่ครับ ก็เป็นการที่จะได้ไตร่ตรองให้รู้จักตัวธรรมะจริงๆ ครับ เพราะบางครั้งก็ไปสนใจแต่คำว่า สติๆ แต่ว่าไม่ได้พิจารณาถึงลักษณะของธรรมะที่กำลังเกิดขึ้นเป็นไปครับ
ท่านอาจารย์: แล้วลืมเป็นอะไร และไม่ลืมเป็นอะไร?
อ.วิชัย: ลืม เป็นขณะที่เป็นอกุศลก็ลืมครับ อย่างเพลิดเพลินสนุกสนานก็หลงลืมครับ
ท่านอาจารย์: ลืม หมายความว่าไม่ใช่จำใช่ไหม?
อ.วิชัย: อ๋อ!! ครับ
ท่านอาจารย์: ทั้งหมดเลยค่ะ เราเรียนแล้วเหมือนเป็นเรื่องราว แต่ความจริงเป็นธรรมะแต่ละหนึ่งซึ่งละเอียดมาก ด้วยเหตุนี้ ขาดธรรมะที่จะค่อยๆ ฟัง ให้เห็นความหลากหลายแล้ว ไม่มีทางที่จะรู้ว่า อะไรเป็นอะไร เป็นจำ หรือว่าเป็นสติ
ต่างกันแล้วใช่ไหม?
อ.วิชัย: ต่างกันครับ
ท่านอาจารย์: ไม่ใช่รีบร้อนเลยที่จะไปปฏิบัติอะไร รู้แจ้งอะไร แต่เป็นผู้ไม่ประมาทแม้คำเดียวที่ลึกซึ้ง เพราะว่าแต่ละคำที่ลึกซึ้งเพราะไม่ใช่เราเลย แต่เวลาที่มีเกิดขึ้นเป็นไป ไม่รู้ ก็เป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดมาในสังสารวัฏฏ์ เต็มไปด้วยโลกของอัตตา แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ธรรมะทั้งปวงเป็นอนัตตา แล้วก็ลืม เพียงแค่จำว่า ธรรมะทั้งปวงเป็นอนัตตา แต่ว่าเป็นเราตลอด นั่นสติหรือเปล่า?
อ.วิชัย: ยังไม่ใช่สติครับ หลงลืมเพราะไม่เข้าใจธรรมะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ฟังจนกว่าจะมีปัจจัยให้เข้าใจลักษณะธรรมะจริงๆ ของสิ่งที่มีที่เป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง ไม่ใช่เป็นเรื่องไปหมดเลย สติจะเกิดเมื่อนั่นเมื่อนี่ ระลึกรู้นั่นรู้นี่ แต่จริงๆ แล้วลักษณะที่เป็นสติในชีวิตประจำวันมีไหม?
อ.วิชัย: ก็ต้องอาศัยพระธรรมที่เป็นเหตุให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นครับ แม้ในความเป็นจริงของสติครับ
ท่านอาจารย์: ขณะใดที่เกิดคุณความดีแม้เพียงเล็กน้อย ก็ต้องเพราะสติ เห็นไหม? ธรรมะละเอียดมาก ไม่ใช่อยากเอาเรื่องมาพิจารณา แต่ต้องรู้ว่า เดี๋ยวนี้เอง แต่ละขณะต่างกัน
เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสภาพธรรมะตามความเป็นจริงแต่ละหนึ่ง ถ้าเราไม่สามารถจะรู้ความต่างแต่ละหนึ่ง ก็ต้องเป็นเรา เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ
เพราะฉะนั้น หนทางที่จะรู้ คือฟังด้วยความเคารพในความเป็นจริงว่า ไม่ใช่มีแต่หนึ่งธรรมะ สองธรรมะ แต่ธรรมะที่มีอยู่สามารถที่จะรู้ได้ในความลึกซึ้งตามลำดับขั้น ได้ยินแล้วไม่ใช่จะเข้าใจได้ทันที อย่าง สติ แค่จำ แล้วเวลาสติเกิดก็ไม่รู้ จะมีประโยชน์อะไร
เพราะฉะนั้น ทรงแสดงธรรมะไม่ใช่เพื่อจำ แต่เพื่อรู้ความจริงในความเป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง จึงจะค่อยๆ ละความเป็นเรา หรือความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่..
ภิกษุรู้ธรรมนั้นแล้วค้นคว้าอยู่ [ตุวฏกสุตตนิทเทสที่ ๑๔]
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขณะใดที่เกิดคุณความดีแม้เพียงเล็กน้อย ก็ต้องเพราะสติ เราเรียนแล้วเหมือนเป็นเรื่องราว แต่ความจริงเป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งละเอียดมาก ด้วยเหตุนี้ ขาดธรรมที่จะค่อยๆ ฟัง ให้เห็นความหลากหลายแล้ว ไม่มีทางที่จะรู้ว่า อะไรเป็นอะไร เป็นจำ หรือว่าเป็นสติ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ