มัฏฐกุณฑลีวิมาน
โดย บ้านธัมมะ  3 มี.ค. 2566
หัวข้อหมายเลข 45624

ขอกล่าวถึงอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นการเกื้อกูลของเทพบุตร ใน ขุททกนิกายวิมานวัตถุ ใน ... มัฏฐกุณฑลีวิมาน

พราหมณ์ผู้บิดาเศร้าโศกถึงบุตรผู้สิ้นชีวิต ได้เผาศพของบุตรที่ป่าช้า พราหมณ์บิดาเป็นผู้ที่มีความตระหนี่มาก แม้ว่าลูกจะเจ็บหนักก็ยังเสียดายเงินที่จะหาหมอ หรือหายาดีๆ มารักษาบุตร จนกระทั่งบุตรนั้นสิ้นชีวิตไป บิดาก็เศร้าโศกเป็นทุกข์อย่างยิ่งและเทพบุตรซึ่งเป็นบุตรก็ได้มาปรากฏแก่บิดาผู้เป็นพราหมณ์เพื่อเกื้อกูลในธรรม

พราหมณ์ถามเทพบุตรนั้นว่า

ท่านประดับแล้ว มีต่างหูอันเกลี้ยง ทัดทรงดอกไม้ มีตัวลูบไล้ด้วยจันทน์แดงประคองแขนทั้งสองข้างคร่ำครวญอยู่ในป่าช้า ท่านเป็นทุกข์ถึงอะไรเล่า

การที่จะเกื้อกูลก็ต้องอาศัยอุบายวิธีต่างๆ ถ้าคนนั้นกำลังเศร้าโศก เทพบุตรก็ปรากฏในลักษณะที่ว่ากำลังเศร้าโศกเหมือนกัน จนกระทั่งพราหมณ์นั้นสงสัยว่า ทำไมเทพบุตรนั้นจึงเศร้าโศกอย่างนั้น

มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรตอบว่า

เรือนรถทำด้วยทองคำงามผุดผ่องเกิดขึ้นแล้วแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าหาคู่ล้อของรถนั้นยังไม่ได้ ข้าพเจ้าจะสละชีวิตเพราะความทุกข์นั้น

พราหมณ์กล่าวว่า

ดูกร มานพผู้เจริญ ท่านอยากได้คู่ล้อทำด้วยทองคำทำด้วยแก้ว ทำด้วยทองแดง หรือทำด้วยเงิน ขอจงบอกแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้ท่านได้คู่ล้อนั้น

มานพตอบแก่พราหมณ์นั้นว่า

พระจันทร์ พระอาทิตย์ย่อมปรากฏในวิถีทั้งสอง รถของข้าพเจ้าทำด้วยทองคำย่อมงามด้วยคู่ล้อนั้น

คือ ต้องการล้อที่ทำด้วยพระจันทร์และพระอาทิตย์ ไม่ใช่ล้อที่ทำด้วยแก้ว ทำด้วยทองคำ ทำด้วยเงิน

พราหมณ์กล่าวว่า

ดูกร มานพ ท่านเป็นคนโง่ ที่ท่านมาปรารถนาสิ่งที่ไม่ควรปรารถนา ข้าพเจ้าเข้าใจว่าท่านจักตาย จักไม่ได้พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสองเลย

มานพกล่าวว่า

แม้การไปและการมาของพระจันทร์และพระอาทิตย์ยังปรากฏอยู่ รัศมีของพระจันทร์และพระอาทิตย์นั้นยังปรากฏอยู่ในวิถีทั้งสอง ส่วนคนที่ตาย ล่วงลับไปแล้ว ย่อมไม่ปรากฏ เราทั้งสองคร่ำครวญอยู่ในที่นี้ ใครจะโง่กว่ากัน

พราหมณ์กล่าวว่า

ดูกร มานพ ท่านพูดจริง เราทั้งสองผู้คร่ำครวญอยู่ ข้าพเจ้าเองเป็นคนโง่กว่าเพราะข้าพเจ้าอยากได้บุตรที่ตายไปแล้ว เหมือนทารกร้องไห้ อยากได้พระจันทร์ฉะนั้นท่านมารดข้าพเจ้าผู้เร่าร้อนให้สงบ ยังความกระวนกระวายทั้งปวงให้ดับ เหมือนบุคคลดับไฟที่ราดเปรียงด้วยน้ำ ฉะนั้น ลูกศรคือความโศกอันเสียดแทงหทัยของข้าพเจ้า อันท่านผู้บรรเทาความโศกถึงบุตรแก่ข้าพเจ้า ผู้ถูกความโศกครอบงำแล้ว ถอนขึ้นแล้ว

ดูกร มานพ ข้าพเจ้าเป็นผู้มีลูกศรคือความโศกอันท่านถอนขึ้นแล้ว เป็นผู้เย็น ดับสนิท จะไม่เศร้าโศก จะไม่ร้องไห้ เพราะฟังคำของท่าน ท่านเป็นเทวดา เป็นคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกะปุรินททะ ท่านเป็นใคร หรือเป็นบุตรของใคร ไฉนข้าพเจ้าจักรู้จักท่านเล่า

มานพกล่าวว่า

ท่านเผาบุตรที่ป่าช้าเอง แล้วคร่ำครวญร้องไห้ถึงบุตรคนใด บุตรคนนั้นคือข้าพเจ้า ทำกุศลกรรมแล้วถึงความเป็นสหายของเทพเจ้าชาวไตรทศ

พราหมณ์กล่าวว่า

เมื่อท่านให้ทานน้อยหรือมากในเรือนของตน หรือรักษาอุโบสถ กรรมเช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยเห็น ท่านไปสู่เทวโลกได้เพราะกรรมอะไร

เพราะพราหมณ์เป็นคนตระหนี่มาก ไม่มีการให้ทานเลย และก็ไม่เคยเห็นบุตรของตนให้ทานเช่นกัน

มานพกล่าวว่า

เมื่อข้าพเจ้าป่วยเป็นไข้ได้รับทุกข์ มีกายกระสับกระส่ายอยู่ในที่อยู่ของตน ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากกิเลสธุลี ผู้ข้ามพ้นความสงสัย ผู้เสด็จไปดีแล้ว มีพระปัญญาไม่ทราม ข้าพเจ้ามีใจเบิกบานเลื่อมใส ได้ทำอัญชลีแก่พระตถาคต ข้าพเจ้าถึงความเป็นสหายของเทวดาชาวไตรทศ เพราะทำกุศลกรรมนั้น

เหตุเพียงเกิดความเลื่อมใส มีจิตเบิกบาน และทำอัญชลีแด่พระผู้มีพระภาค

พราหมณ์กล่าวว่า

น่าอัศจรรย์หนอ ไม่เคยมีมาแล้วหนอ ผลของอัญชลีกรรมเป็นได้ถึงเช่นนี้ ถึงข้าพเจ้าก็มีใจเบิกบานเลื่อมใส ขอถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่งในวันนี้ทีเดียว

มานพกล่าวว่า

ขอท่านจงมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่งในวันนี้ทีเดียว อนึ่ง ท่านจงสมาทานสิกขาบท ๕ อย่าให้ขาดและด่างพร้อย คือ จงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์โดยพลัน จงเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เขามิได้ให้ในโลก จงยินดีด้วยภรรยาของตน อย่ากล่าวเท็จ อย่าดื่มน้ำเมา

พราหมณ์กล่าวว่า

ดูกร เทวดาผู้ควรบูชา

คือ ไม่ได้ยึดถือว่าเป็นบุตรของตนอีกแล้วเพราะว่าพราหมณ์กล่าวว่า

ดูกร เทวดาผู้ควรบูชา ท่านเป็นผู้ที่ปรารถนาประโยชน์ ปรารถนาสิ่งเกื้อกูลแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะทำตามคำของท่าน ท่านเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมอันยอดเยี่ยม และพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าผู้เป็นนรเทพว่าเป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าของดเว้นจากการฆ่าสัตว์โดยพลัน ของดเว้นการถือเอาสิ่งของที่เขามิได้ให้ในโลก ยินดีในภรรยาของตน ไม่กล่าวเท็จ และไม่ดื่มน้ำเมา

สิ่งที่เทพบุตรเกื้อกูล คือ ให้บุคคลนั้นเจริญกุศล ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 286