จะเข้าถึงเจโตวิมุตติ ต้องทำอย่างไร
โดย บ้านธัมมะ  6 ธ.ค. 2565
หัวข้อหมายเลข 45310

ถ. ถ้าจะเข้าถึงเจโตวิมุตติ ต้องทำอย่างไร

สุ. ท่านผู้ฟังจะเข้าถึงเจโตวิมุตติหรือ

ถ. ไม่ใช่ หมายถึงผู้ปฏิบัติธรรม

สุ. ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ในสมัยก่อนการตรัสรู้ อาฬารดาบส อุทกดาบส ซึ่งเป็นผู้ที่พระผู้มีพระภาคได้เสด็จไปศึกษาสมถภาวนา จนกระทั่งพระองค์ได้บรรลุถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ซึ่งเป็นอรูปฌาน ขั้นสูงสุด แต่ด้วยพระบารมีที่ได้สะสมมาทำให้รู้ว่า นั่นไม่ใช่การพ้น ไม่ใช่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพราะฉะนั้น เรื่องของการอบรมสมาธิ ตั้งแต่ในครั้งนั้น จะเห็นได้ว่า มีผู้ที่อบรมเจริญสมาธิถึงขั้นฌานมาก่อน แต่ไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ต่อเมื่อใด พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้แล้ว และทรงแสดงพระธรรม บุคคลที่เคยปฏิบัติสมาธิ สมถภาวนาจนกระทั่งบรรลุฌานขั้นต่างๆ ก็เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานเพื่อละ

การอบรมเจริญปัญญาเพื่อจุดประสงค์อย่างเดียว คือ เพื่อละ พระธรรมทั้งหมด ทั้ง ๓ ปิฎก เพื่อละ ละด้วยปัญญา ไม่ใช่เป็นการเร่งรัดให้ใครต้องการอะไร ให้ใครอยากได้อะไร ให้ใครถึงอะไร พระธรรมทั้งหมดนั้นเพื่อละ แม้ในเรื่องของการเจริญสมถภาวนาจริงๆ ก็ต้องทราบว่า เพื่อละโลภะ ส่วนวิปัสสนาภาวนานั้น ละอวิชชา เพราะฉะนั้น ขณะใดที่ยังไม่รู้ว่า โลภะน่ารังเกียจ ขณะนั้นจะไม่มีการอบรมเจริญสมถภาวนาเลย

คนสมัยนี้ไม่ชอบโทสะ ไม่ชอบความรู้สึกที่ไม่สบาย ทุรนทุราย กระสับกระส่าย เดือดร้อน ก็ไปนั่งทำสมาธิ เพื่อจิตใจจะได้ไม่คิดถึงเรื่องอื่น ซึ่งขณะนั้นไม่ได้ประกอบด้วยปัญญา ไม่ได้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ ไม่รู้สภาพที่เป็นอกุศลจิต ซึ่งต่างจากกุศลจิต เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นไม่ชื่อว่าสงบ แต่เข้าใจว่า ในขณะที่ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่คิดเรื่องอื่นนั้น สงบ ด้วยความเห็นผิด

เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นไม่ใช่สมถภาวนา ด้วยเหตุนี้ผู้ที่แม้เจริญสมถภาวนา ได้ฌานขั้นต่างๆ ก็ต้องเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมเพื่อละความเป็นตัวตน การที่ท่านเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีวสี มีความชำนาญแคล่วคล่อง เพราะว่ากว่าจะถึงฌานจิตแต่ละขั้น ไม่ใช่ถึงได้โดยง่ายเลย ขณะนี้ท่านผู้ใดที่จะอบรมเจริญสมถภาวนา ต้องรู้ลักษณะของสติสัมปชัญญะ เพราะว่าจิตในขณะนี้เกิดดับสลับกันอย่างเร็วมาก กุศลจิตไม่ใช่อกุศลจิต ขณะที่เห็นสติสัมปชัญญะสามารถรู้ได้ว่า เห็นแล้วเป็นกุศลจิตหรือเป็นอกุศลจิต ขณะที่ได้ยินเสียงสติสัมปชัญญะสามารถรู้ได้ว่า ขณะที่ได้ยินแล้วเป็นอกุศลหรือเป็นกุศล มิฉะนั้นแล้วละนิวรณ์ ๕ ไม่ได้เลย เพราะว่าไม่สามารถรู้ลักษณะของจิตซึ่งประกอบด้วยนิวรณ์ ๕ แต่ไปรู้จักชื่อนิวรณ์ ๕

เวลาตื่นลืมตาขึ้นมาจิตเป็นอะไร ถ้าปราศจากสติสัมปชัญญะ ไม่สามารถรู้เลยว่าจิตเป็นโลภะโดยตลอด เพราะฉะนั้น อกุศลธรรมไม่ใช่เป็นสิ่งที่เห็นง่าย แม้ว่ามี

ตั้งแต่เช้าตื่นขึ้นมากระทำกิจบริหารร่างกาย ประกอบกิจการงานต่างๆ บริโภคอาหาร ติดต่อธุระการงาน ทั้งหมดเป็นโลภะ ถ้าขณะนั้นไม่ใช่โทสะ ไม่ใช่โมหะ ไม่ใช่กุศลจิต แต่ไม่รู้เลย

ผู้ที่จะอบรมเจริญสมถภาวนา ที่จะอบรมเจริญความสงบ ต้องเห็นโลภะ เพราะว่าโลภะมีมากกว่าโทสะในวันหนึ่งๆ และเป็นผู้ที่รู้ว่า ถ้ายังมีโลภะขณะใด ขณะนั้นไม่ใช่กุศล เป็นอกุศล ไม่สงบ

ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีสติสัมปชัญญะ คือ ปัญญาที่รู้ความต่างกันของกุศล และอกุศล และเป็นผู้ที่เห็นโทษของโลภะ จึงเจริญสมถภาวนา แต่ผู้ที่เห็นโทษของอวิชชารู้ว่า ที่มีโลภะเพราะอวิชชา เพราะว่าไม่รู้ความจริงขณะที่กำลังเห็น ไม่รู้ความจริงขณะที่ได้ยิน ไม่รู้ความจริงขณะที่ได้กลิ่น ขณะที่ลิ้มรส ขณะที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ในวันหนึ่งๆ ไม่รู้ความจริงเลยว่า เกิดมาเพื่อที่จะรับผลของกรรม โดยเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น และมีการสะสมกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ซึ่งในวันหนึ่งๆ ส่วนใหญ่แล้วเป็นอกุศลมากกว่ากุศล ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่มีปัญญาเห็นโทษของอกุศลอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะ อบรมเจริญภาวนาได้

เพราะฉะนั้น แล้วแต่ระดับขั้นของปัญญาว่า เป็นผู้ที่เห็นโทษของโลภะและ เห็นโทษของอกุศล และมีปัญญาเพียงขั้นที่จะทำให้จิตสงบ หรือเป็นผู้ที่เข้าใจหนทาง ที่จะดับกิเลส โดยปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นไป ในขณะนี้ ทั้งจิต ทั้งเจตสิก ทั้งรูป ล้วนแต่เป็นสภาพธรรมที่มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นปรากฏ และดับไปอย่างรวดเร็ว ถ้าต้องการที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท ต้องอบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเป็นวิปัสสนาภาวนา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 2039

รับฟัง ...

จะเข้าถึงเจโตวิมุตติ ต้องทำอย่างไร