อารัมมณะ กับโคจระ
โดย เมตตา  2 ส.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 50563

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น รูปารัมมณะ คือสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ที่กระทบตา และจิตเห็นเกิดขึ้น เป็นโคจระของจักขุวิญญาณ เฉพาะจักขุวิญญาณซึ่งรู้อารมณ์อื่นไม่ได้ ต้องรู้เฉพาะอารมณ์นี้เท่านั้น

เริ่มเข้าใจความละเอียดนะ กว่าจะรู้ว่าเป็นธรรมะแต่ละหนึ่งซึ่งละเอียดอย่างยิ่งลึกซึ้งอย่างยิ่ง แล้วรู้ไปทำไม? เพื่อจะรู้ความจริงว่า ไม่มีเรา ไม่มีสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏในโลกเป็นต้นไม้ใบหญ้าทั้งสิ้นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งหมด แต่เป็นสิ่งที่มีจริงที่มีลักษณะเฉพาะอย่างนั้น แม้แต่จิตที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ก็ต้องรู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏทางตาที่กระทบตาด้วย ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เช่นเดียวกัน ถูกต้องไหม?

อ.ธนากร: ถูกต้องที่สุดครับ

ท่านอาจารย์: เริ่มรู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในความละเอียดซึ่งแยกแม้แต่อารมณ์ที่ทางใจ หรือจักขุวิญญาณสามารถที่จะรู้ต่างกับทางใจ แต่ละหนึ่งๆ ๆ เป็นธรรมะที่มีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นเท่านั้นแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์

จะเป็นเราได้ไหมแต่ละขณะตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็เกิดอีกต่อไปอีกเป็นแต่ละหนึ่งบุคคลไม่ซ้ำกันเลย เป็นอย่างนี้หรือเปล่า ความจริงเกิดแล้วต้องตาย?

เพราะฉะนั้น ตอนเกิดมีอารัมมณะ หรือมีโคจระ?

อ.ธนากร: มีครับ

ท่านอาจารย์: จิตขณะแรกที่เกิดมีอารัมมณะหรือมีโคจระ?

อ.ธนากร: มีอารัมมณะด้วย และก็มีโคจระของจิตขณะแรกที่เกิดครับ

ท่านอาจารย์: อะไรเป็นโคจระ?

อ.ธนากร: จริงๆ ก็ไม่ทราบ

ท่านอาจารย์: ไม่ทราบแล้วจะเป็นโคจระได้หรือ?

อ.ธนากร: หมายถึงไม่ทราบของตัวเอง และของคนอื่นครับ

ท่านอาจารย์: แล้วจะทราบได้อย่างไร?

อ.ธนากร: ทราบจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร แล้วจะทราบได้อย่างไร?

อ.ธนากร: ทราบจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร นี่เป็นสิ่งที่จะคิดเองไม่ได้เลย เติมก็ไม่ได้

อ.ธนากร: เป็นอารมณ์เดียวกับชวนะสุดท้ายก่อนจุติของชาติก่อน

ท่านอาจารย์: เราไม่ได้พูดอะไรเลยนะ เราพูดเฉพาะ ๒ คำ คือ อรัมมณะ กับโคจระ ซึ่ งหมายความถึง อารมณ์ แต่ต่างกันที่ อารมณ์ เป็นสิ่งที่จิตไม่ว่าประเภทไหนรู้เป็นอารมณ์หมดเพราะเป็นสิ่งที่จิตรู้ยังไม่แยกเลย แต่ว่า ทำไมแยก เพราะเป็นอารมณ์เฉพาะบางจิต หรือว่าบางประเภท เช่น โคจระของพระภิกษุ ที่ไปของพระภิกษุ (จระ แปลว่าไป, โค ก็คือ จิต) ให้รู้ว่า จิตเกิดขึ้นแล้วต้องรู้อารมณ์ ไม่ไปไหนเลย ไปสู่อารมณ์รู้อารมณ์ ไม่ต้องใช้คำว่า ไป ก็ได้ ถ้าใช้คำว่าไป ก็คือทันทีนั้นก็มีอารมณ์ที่ปรากฏให้ไปให้รู้

เพราะฉะนั้น อารัมมณะเป็นคำทั่วไป อันนี้ไม่ลืมเลย แต่ โคจระ พอพูดถึงโคจระ ต้องอีกความหมายหนึ่ง

อ.ธนากร: ต้องหมายถึงอารมณ์เฉพาะใช่ไหมครับ

ท่านอาจารย์: เห็นไหม ได้ยินคำว่า เฉพาะ ผ่านไปเลย จำได้ว่าอารมณ์เฉพาะ แต่เฉพาะอะไรล่ะ?!! แล้วทำไมเฉพาะด้วย?

อ.ธนากร: ต้องเฉพาะของจิตประเภทนั้นๆ หรือเฉพาะของธรรมะนั้นๆ ครับ

ท่านอาจารย์: เพิ่มความละเอียดๆ แม้ว่ามีอารมณ์มากมาย แต่ว่าอารมณ์เฉพาะที่จิตนั้นจะรู้อื่นไม่ได้เลย รู้ได้เฉพาะอารมณ์นั้นเฉพาะ เช่น จิตเห็น จักขุวิญญาณ เห็นได้เฉพาะรูปารมณ์ รูปที่กระทบตาเท่านั้น อย่างอื่นไม่ได้ไม่ว่าจะที่ไหนในสากลจักรวาล

นี่คือ ความละเอียดของแต่ละคำเพื่อให้รู้ความลึกซึ้ง กว่าจะละความเป็นเรา ความไม่รู้ในสังสารวัฏฏ์ที่สะสมมานาน จนกว่าจะหมดการยึดถือสภาพธรรมะที่ปรากฏเป็นอัตตา สิ่งหนึ่งสิ่งใด จนกระทั่งมั่นคงว่า ไม่มีอัตตาเป็นอนัตตา ไม่มีสิ่งที่จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เลย เพราะ แต่ละหนึ่งๆ ละเอียดๆ ๆ ๆ จนรู้ว่า เป็นไม่ได้เพราะอะไรกว่าจะหมดความเป็นอัตตา

อ.ธนากร: ขอย้อนกลับไปที่ท่านอาจารย์ได้ถามครับ ในตอนแรกผมก็ตอบว่า ปฏิสนธิจิตมีอารมณ์ด้วย และมีโคจระด้วยซึ่งจริงๆ แล้วมีได้เฉพาะอารมณ์ แต่ว่าอารมณ์ของปฏิสนธิก็หลากหลายมาก ไม่ใช่อารมณ์เฉพาะจึงไม่มีโคจระครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น คำถามไม่ได้มุ่งให้ตอบ เพียงตอบ ไม่ใช่ แต่คำถามเป็นคำถามที่หยั่งไปถึงผู้ตอบ มีความเข้าใจระดับไหน แค่ไหน

เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถามคนที่ไปเฝ้าใช่ไหม?

บางคนสงสัยว่าถามแล้วทำไมไม่ตอบกลับไปถาม เพื่อที่จะให้คนที่ถามได้รู้ว่า สามารถจะมีความเข้าใจได้ระดับไหน อย่างคำว่า อารัมมณะ ทุกคนตอบได้หมดใช่ไหม? จิตเป็นสภาพรู้ ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่ถูกรู้ ที่จิตนั้นเกิดขึ้นรู้ เป็นอารัมมณะ สิ่งที่ถูกจิตรู้ของจิตนั้นไม่จำกัดเลย แล้วยังมีคำว่า โคจระ อีก ต้องพิเศษต่างหากจากอารัมมณะทั่วๆ ไป เพราะมุ่งหมาย เฉพาะๆ อารมณ์นั้นในความหมายนั้น

เพราะฉะนั้น สำหรับจักขุวิญญาณ สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นโคจระ รู้อื่นไม่ได้เลย

จิตอื่นก่อนเห็น รู้อื่นได้ไหม?

อ.ธนากร: ได้ครับ ได้ทั้ง ๕ ทางเลยครับ

ท่านอาจารย์: แล้วจิตที่หลังจากเห็น รู้อารมณ์อื่นได้ไหม?

อ.ธนากร: ได้ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ จะเป็นอารมณ์ของจิตอื่นที่เกิดขึ้นเห็นไม่ได้ เฉพาะเกิดขึ้นเห็นต้องเป็นจักขุวิญญาณดวงเดียว

อ.ธนากร: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: เราที่ไหน? ค่อยๆ ฟังจนมีความเข้าใจขึ้น กว่าจะมีความรู้พอที่จะละคลายเพราะไม่ใช่ชื่อ ไม่ใช่เรื่อง แต่กำลังมีเดี๋ยวนี้

ถ้าไม่รู้อย่างที่เข้าใจไม่มีทางที่จะละกิเลส หรือดับกิเลสได้เลย เพราะเป็นแต่เพียงความคิดความเข้าใจ

เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงลึกซึ้งถึง ๓ รอบ อริยสัจจะ ให้เข้าใจให้ความละเอียดว่าพูดถึงจักขุวิญญาณ ต้องมีสิ่งที่กระทบตาเท่านั้นเป็นอารมณ์เป็นโคจระของจักขุวิญญาณ

และ ตามพระวินัย คฤหัสถ์ไม่ใช่บรรพชิต เพราะฉะนั้น ความต่างกัน ที่ใดเป็นที่ไปของคฤหัสถ์ บรรพชิตไปได้ไหม? โรงหนังโรงละครไปได้ไหม ที่อื่นที่นำมาซึ่งความติดข้องไปได้ไหม? สมควรไหม? เพราะฉะนั้น ที่เหล่านั้นไม่ใช่โคจรของพระภิกษุของเพศบรรพชิต

อ.ธนากร: เมื่อสักครู่นี้มีคำถามหนึ่งตอนพูดถึงเรื่องอารมณ์ครับ ท่านอาจารย์ถามว่า มั่นคงไหม? คำนี้แม้แต่ความหมายผมก็ได้กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า มั่นคงเฉพาะตอนที่ฟังครับ เพราะว่าเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ได้คิดละเอียดขึ้นครับว่า ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังคำนี้ไม่มีความมั่นคงอะไรเลย เพราะว่าพอถึงชีวิตประจำวันไม่ได้คิดถึงเลยว่ามีสภาพรู้กับอารมณ์ แต่ว่าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเหตุการณ์เป็นเรื่องราวเป็นโต๊ะเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมคำว่า อารมณ์ ลืมความหมายความเป็นจริงของคำว่าอารมณ์ไปเลยครับ

เพราะฉะนั้น พอท่านอาจารย์ได้ถามว่ามั่นคงไหมในเรื่องของคำว่า อารมณ์ ฟังกี่ครั้งความหมายของคำว่า อารมณ์ ก็ไม่เปลี่ยน ก็มั่นคงเฉพาะตอนที่ฟัง แต่แสดงให้เห็นได้เลยว่าพอเป็นชีวิตประจำวัน ที่ฟังมาไม่มีความมั่นคงเหมือนหายไปเลยครับ

ก็เป็นคำถามที่ทำให้เห็นถึงความหลงลืมที่ละเอียด และมากมายมหาศาลครับ

ท่านอาจารย์: ถ้าถามอีกเรื่องอารมณ์ ตอบได้ไหม?

อ.ธนากร: ตอบได้เหมือนเดิมครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น มั่นคงขั้นฟัง

อ.ธนากร: ครับ แต่ไม่มั่นคงในชีวิตจริงๆ ครับ

ท่านอาจารย์: มั่นคงขั้นฟังก็ยังดีกว่าไม่มีเลย แต่แค่ฟัง พอไม่ได้ฟังอีกก็ลืมแล้ว

เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่าขณะนี้กำลังแวดล้อมด้วยอารมณ์ทั้งหมด เพราะจิตเกิดขึ้นรู้จึงมีอารมณ์นั้นๆ แต่สภาพของจิตไม่ได้ปรากฏ

อ.ธนากร: ใช่ครับ เพราะว่าขนาดอารมณ์เองยังไม่รู้ว่าเป็นอารมณ์เลย แล้วจะไปรู้ถึงสภาพรู้ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยครับ เพราะว่าแม้แต่อารมณ์ที่ปรากฏแท้ๆ ก็ลืม ไม่รู้ความจริงอะไรเลยครับ พอท่านอาจารย์บอกว่าแค่ฟังยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลย อันนี้ไพเราะมาก ซาบซึ้งมาก เพราะว่าแค่ฟังก็มีค่ามหาศาลครับกับชีวิตที่เกิดมาไม่ได้รู้ความจริงอะไรอย่างนี้เลยครับ

ท่านอาจารย์: ตอนนี้เริ่มเข้าใจอารัมมณะทั่วๆ ไปทั้งหมด กับโคจระแล้วใช่ไหม?

อ.ธนากร: คำว่า อารมณ์เข้าใจครับ ส่วนคำว่า โคจระ ก็เพิ่งเข้าใจความละเอียดวันนี้มากขึ้น แต่ว่าต้องเพิ่มความมั่นคงในการฟังอีกไตร่ตรองอีกในเรื่องของโคจระครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น อยู่มานานเท่าไหร่ในสังสารวัฏฏ์ กว่าจะเข้าใจอารัมมณะในขั้นแรกคือขั้นฟังรอบแรก และก็เริ่มเข้าใจคำว่า โคจระ แต่ต้องรู้ความต่างของเพศบรรพชิต กับคฤหัสถ์ จึงมีโคจระสำหรับพระภิกษุที่ไม่ใช่อย่างที่เคยเป็นคฤหัสถ์

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ธนากร ด้วยความเคารพค่ะ