พรที่แท้จริงในวันปีใหม่
โดย khampan.a  2 ม.ค. 2566
หัวข้อหมายเลข 45451

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พรที่แท้จริงในวันปีใหม่
สนทนาเรื่อง ธรรมกับปีใหม่
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

วันอาทิตย์ที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๖


ธรรมดา ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมแล้วก็ไตร่ตรองทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส จะไม่สามารถเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น เพียงได้ยินคำว่าธรรมคำเดียว ความลึกซึ้งมากมายประการใด สุดที่จะพรรณนาได้ เพราะเหตุว่า เป็นธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่กว่าจะได้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ด้วย เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นเรื่องที่ต้องฟังด้วยความเคารพ แม้แต่คำถามธรรมดา ดูง่ายเหลือเกิน แต่ตอบได้ไหมถ้าไม่รู้จักธรรม เช่นถามว่า ใครรู้จักปีใหม่บ้าง จะตอบว่าอย่างไร? ความจริง ก็คือว่า ที่เราเรียกว่าปีใหม่หรือเข้าใจว่าปีใหม่ มีจริงๆ หรือเปล่า? เป็นสิ่งที่น่าคิดน่าไตร่ตรอง เพราะเหตุว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของทุกสิ่งไม่เว้นเลยถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง

แม้แต่คำว่าปีใหม่ ชาวบ้านเข้าใจอย่างหนึ่ง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร จึงเป็นธรรมกับปีใหม่ และธรรมกับทุกสิ่งทุกอย่าง แสดงให้เห็นว่า ถ้าประมาทคิดว่ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าไม่เข้าใจธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเพื่อให้เข้าใจความจริงที่มีทุกขณะ ไม่ว่าจะปีใหม่ปีเก่าอย่างไรก็ตาม เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นในแสนโกฏิกัปป์นานมาแล้วหรือว่าสิ่งที่กำลังเกิดและสิ่งที่จะเกิดต่อไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงให้คนที่ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่เขาคิดทุกวัน เช่น ปีใหม่หรือธรรมอะไรก็ตามแต่ พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงและทรงแสดงความจริงถึงที่สุด แค่นี้คิดว่าลึกซึ้ง แล้วก็ถ้าไม่ศึกษาด้วยความเคารพให้เข้าใจจริงๆ จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม?

ถ้าไม่รู้จักธรรม จะรู้จักปีใหม่ไหม แต่ทุกคนคิดว่ารู้จักปีใหม่ ทุกคนรู้จักปีใหม่ แต่ปีใหม่ที่ทุกคนรู้จักไม่ใช่สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าปีใหม่คืออะไร เดี๋ยวนี้ วันนี้ เมื่อกี้นี้ ขณะไหนเป็นปีใหม่จริงๆ ได้แต่กล่าวว่าเป็นปีใหม่ แต่วันไหน ตรงไหนที่เป็นวันปีใหม่

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ถ้าเข้าใจธรรมก็เข้าใจปีใหม่ เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเกิดที่ประเทศไทยประเทศไหนในโลกนอกโลกจักรวาลต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้น เพียงแค่ปีใหม่ เราไม่สามารถที่จะเข้าใจถูกตามความเป็นจริงแน่นอนว่าคืออะไร ได้แต่เรียกว่าปีใหม่ เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่น่าคิด น่าไตร่ตรองที่ว่า ถ้าไม่รู้จักธรรม จะไม่รู้จักอะไรเลยทั้งสิ้น แม้แต่ปีใหม่ก็ไม่รู้จัก ฟังแล้วน่าตกใจไหม เหมือนกับทุกคนก็รู้จักอยู่แล้ว

แต่ปีใหม่ คืออะไร ถ้าไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักปีใหม่แน่นอน และไม่รู้จักทุกอย่างด้วย ไม่ใช่แต่เฉพาะปีใหม่เท่านั้น นี่คือ การเคารพสูงสุดในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ความจริงซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้เลย จนกว่าจะได้ฟังคำของพระองค์แล้วต้องไตร่ตรอง เป็นผู้ตรงที่จะเข้าใจความลึกซึ้ง แม้คำว่าปีใหม่คืออะไร

พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ทุกคำกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงที่สามารถเข้าใจได้ แต่ว่าลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น จะไม่ประมาทเลยสักคำว่ารู้แล้ว เพราะเหตุว่า ความจริง รู้ตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้หรือเปล่า นี่เป็นสิ่งที่ควรไตร่ตรองพิจารณาว่าที่เข้าใจว่ารู้แล้ว หรือเรารู้ รู้อะไร และรู้จริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้น การศึกษาพระธรรม ขอให้เริ่มทีละคำ คำไหนก็ได้ เพราะว่า ความลึกซึ้งของแต่ละคำกล่าวถึงความเป็นจริงของธรรมที่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น คำนั้น ต้องลึกซึ้งด้วย

คำว่า ธาตุ ภาษาบาลีใช้คำว่า ธา - ตุ หมายความถึงสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะความเป็นจริงของสิ่งนั้นได้เลย ต้องเข้าใจว่ากำลังพูดถึงอะไร พูดถึงธาตุสิ่งที่มีจริงๆ และสิ่งที่มีแต่ละหนึ่งนั้นเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งใครไม่สามารถที่จะเปลี่ยนลักษณะของสิ่งแต่ละหนึ่งนั้นได้เลย ฟังอย่างนี้ไม่ทราบว่าจะเป็นที่สนใจของชาวพุทธหรือเปล่า แต่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง คือ สัจจธรรม ความจริงของสิ่งที่มี เดี๋ยวนี้มีอะไร สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีจริงที่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถ้ามีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยก็จะเริ่มรู้ความหมายของสิ่งที่มีในชีวิตทุกอย่าง มีจริงๆ แต่ว่าลักษณะต่างๆ กันไป และใครๆ ก็เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้ นี่คือ ความหมายของธาตุ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เริ่มจากการที่ตรงต่อตัวเอง ได้ฟังอย่างนี้แล้วเข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ มีไหม มีอะไรจริงบ้างไหมเดี๋ยวนี้ นี่คือ ศึกษาธรรม ไม่ใช่ไปถามใครหรือไปฟังเยอะแยะ แต่แต่ละคำพิจารณาจนกระทั่งเริ่มมีความเข้าใจของตัวเอง เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งที่มีจริง คือ ธาตุว่าเป็นสิ่งที่มีลักษณะที่คงไว้ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนลักษณะที่แท้จริงของสิ่งนั้นได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงทุกอย่างแต่ละหนึ่ง เป็นธาตุ หรือ ธา – ตุ แต่ละหนึ่ง

เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ศึกษาธรรม ทุกขณะมีธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม แต่ว่าธรรม ที่มี ใครเปลี่ยนไม่ได้ เพราะเป็นธาตุแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งปวงที่เกิดขึ้น มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดแล้วดับ ตรัสไว้อย่างนี้หรือเปล่า นี่คือการเริ่มศึกษาที่จะเข้าใจคำที่พระองค์ตรัสไว้ เพื่อที่จะรู้ว่าเป็นความจริงทุกกาลสมัย เพราะฉะนั้น พระองค์ตรัสให้เข้าใจความจริงถึงสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ก็มี เพราะฉะนั้น ไม่เคยคิดไตร่ตรองว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อน แต่พระองค์ทรงแสดงให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งสามารถเริ่มเข้าใจได้

ในบรรดาธาตุทั้งหมด ไม่ว่าจะกี่ธาตุก็ตามแต่ ต่างกันเป็น ๒ ประเภท คือ ธาตุชนิดหนึ่งเกิดขึ้นไม่รู้อะไรเลย กลิ่นไม่รู้อะไร เสียงไม่รู้อะไร สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่รู้อะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่รู้อะไรว่าเป็นธรรมที่เป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้น มีคำว่า รูป กับ ธรรม รูปธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้น ลักษณะของตน คือ เป็นกลิ่นบ้าง เป็นรสบ้าง เป็นแข็งบ้าง เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาบ้าง แต่ไม่รู้อะไร สภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยนั้น ทั้งหมดเป็นรูปธาตุ ใช้คำว่า รูปธรรม ได้ไหม? ได้ จะใช้คำว่ารูปธรรม ก็เพราะว่า มีจริงๆ จะใช้คำว่ารูปธาตุ ก็เพราะเหตุว่า สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งนั้น ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนลักษณะเป็นอย่างอื่นได้เลย เพราะฉะนั้น เราเริ่มรู้จักคำว่าธรรม และรู้จักคำว่า ธาตุ ธรรมก็คือสิ่งที่มีจริง เป็นธาตุแน่นอน ธาตุก็ต้องมีจริงๆ ก็เป็นธรรม แต่แสดงความเป็นจริงว่า ธรรมที่มีจริงนั้นเปลี่ยนลักษณะไม่ได้ เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมด เป็นธาตุทั้งหมด

ส่วนอีกธาตุหนึ่งถ้าไม่มี อะไรก็ไม่ปรากฏ เป็นธาตุรู้ ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่ว่าเกิดขึ้นไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่อ่อน เกิดขึ้นต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น ขณะนี้ที่เห็น เป็นธาตุที่เกิดขึ้นรู้สิ่งที่กระทบตาที่ปรากฏให้เห็น เวลาที่มีเสียงปรากฏก็เป็นธาตุอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นธาตุรู้เกิดขึ้นรู้เฉพาะเสียง เห็นไม่ได้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าทั้งหมดเป็นธาตุ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อย่างละเอียดยิ่ง และสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจในความลึกซึ้ง จนสามารถรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ จึงได้ทรงแสดงหนทางให้เริ่มมีความเห็นที่ถูกต้องในสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่เคยคิดมาก่อน

โลกนี้ ก็คือ นามธาตุและรูปธาตุทั้งหมด นี้คือ การเริ่มเป็นคนตรงที่จะเข้าใจความหมายทุกคำทีละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ขณะนี้ไม่มีการเข้าใจถูกต้องเลยว่า เห็นเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ถ้ากล่าวว่าเป็นธาตุ จะเป็นสิ่งอื่นได้ไหม? ไม่ได้ถ้าไม่มีธาตุรู้ อะไรๆ ก็ปรากฏไม่ได้ แต่ธาตุรู้ก็ต้องอาศัยสิ่งที่จะทำให้เกิดขึ้น แสดงความไม่มีใครเป็นใหญ่หรือว่าจะบันดาลสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เลย แต่ละธาตุเป็นไปตามความเป็นจริงของธาตุนั้นๆ เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหลาย ธาตุทั้งหลาย เป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่คนหนึ่งคนใดเลย เพราะเป็นเพียงธาตุ เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความเป็นธาตุของทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม สิ่งนั้นมีจริงๆ มีลักษณะที่เป็นของตนๆ แต่ว่าไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เกิดเป็นธาตุที่ไม่เที่ยง ทันทีที่เกิดทำหน้าที่ปรากฏลักษณะนั้นแล้วก็ดับไป มิฉะนั้น ใครจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระองค์ทรงตรัสรู้แต่ละหนึ่งที่กำลังมีอย่างนี้ที่เป็นจริงอย่างนี้ ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์ ไม่มีใครรู้ได้เลยว่า ความหมายของคำว่า อนิจจัง (ไม่เที่ยง) ทุกขัง (เป็นทุกข์) อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน) ก็หมายความถึงแต่ละหนึ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นมีปัจจัยปรุงแต่ง เกิดเองไม่ได้ใครก็บันดาลไม่ได้ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทั้งหมดไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงยั่งยืน และเมื่อเกิดแล้วก็ดับไปไม่กลับมาอีกเลย สุญญตา (ว่างเปล่า) อนัตตา

ทุกอย่างมาจากการที่พระองค์ได้ทรงประจักษ์แจ้งสิ่งที่มี ให้เราเริ่มรู้ความจริงว่า ทำไมมีเกิด ทำไมมีตาย เกิดแล้วไม่ตายได้ไหม เพราะอะไร ทุกอย่างทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่ง เพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในความเป็นจริงของธรรม ต้องมั่นคงต่อคำว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่ใครคนหนึ่งคนใดเลยทั้งสิ้น แต่เป็นความจริงของแต่ละหนึ่งธรรม ตั้งแต่เกิดจนตาย ตลอดทุกชาติ เพราะฉะนั้น ธาตุรู้ต่างกับธาตุที่ไม่รู้ จึงเป็นนามธาตุ ไม่ใช่รูปธาตุ และธาตุรู้ก็มีหลายอย่างมาก ธาตุรู้ที่อาศัยตาจึงเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อเป็นธาตุรู้ ก็เป็นวิญญาณธาตุที่อาศัยตา จึงเป็นจักขุวิญญาณธาตุ เห็นเป็นธาตุ เป็นธาตุรู้เป็นวิญญาณธาตุ แต่เกิดขึ้นอาศัยตาจึงเป็นจักขุวิญญาณธาตุ พอที่จะเข้าใจธาตุเพิ่มขึ้นบ้างไหม

ชาวพุทธ หมายความถึงอะไร หมายความถึงผู้ที่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเคารพในพระองค์สูงสุด หมายความว่า เคารพโดยมีพระองค์เป็นที่พึ่งที่จะรู้ความจริง ไม่ใช่ไปพึ่งอย่างอื่นเลย แต่พึ่งที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีถูกต้อง แต่ละหนึ่งแต่ละขณะ แต่ละชาติ ซึ่งอเนกอนันตชาตินับไม่ถ้วนที่ผ่านมาแล้ว และถ้ายังคงไม่รู้ความจริง ก็ไม่มีใครสามารถที่จะไปดับเหตุที่จะให้เกิดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ ไม่มีคำว่าปรินิพพาน ไม่มีคำว่าหมดกิเลส และการที่จะหมดกิเลสโดยไม่รู้ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่ากิเลสเกิดจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ยังคงไม่รู้ ก็ยังคงต้องมีกิเลส เพราะฉะนั้น เป็นผู้ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส มีความเคารพที่จะศึกษาในความละเอียดที่จะรู้ความจริง มิฉะนั้นแล้ว คิดเองทั้งหมด แล้วใครคิด เทียบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม และพระองค์ตรัสรู้แล้วทรงแสดงความจริง ไม่ต้องไปคิดเองให้เสียเวลา เพราะอย่างไรก็คิดไม่ถูก คิดไม่ออก คิดไม่ตรง แต่ว่าฟังคำของพระองค์ด้วยความเคารพ แต่ละคำไม่ประมาท ใครพูดถึงคำว่าธาตุต้องเข้าใจว่าธาตุหมายความถึงอะไร ไม่ใช่จำคำว่าธาตุแล้วก็บอกว่ารู้จักธาตุ แต่ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย นั่นไม่ตรง ด้วยเหตุนี้ ธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง กว่าจะรู้ได้แต่ละคำ เช่น คำว่า ธาตุ และยังอีกตั้งกี่คำ ต้องอาศัยบารมี การรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่มีจริงที่ประเสริฐที่สุดที่จะรู้ มิฉะนั้นแล้ว ก็จะเกิดอีกกี่ชาติที่ไหนก็ตามแต่ ก็ไม่รู้ความจริง ก็ยังมีการเกิดการตายอีกต่อไป เพราะเกิดแล้วไม่ตาย ไม่มี

ด้วยเหตุนี้สาระในชีวิตซึ่งสามารถจะเป็นประโยชน์ก่อนตาย ก็คือ ได้เข้าใจความจริงซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วก็ปัญญาที่เข้าใจความจริงก็จะนำไปสู่ความลึกซึ้งจนสามารถที่จะใช้คำว่าตรัสรู้เช่นเดียวกับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แต่พระองค์ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คนที่ได้ฟังคำของพระองค์ ตรัสรู้อริยสัจจธรรมจึงสามารถที่จะดับกิเลสได้ จนกระทั่งถึงหมดสิ้นเป็นพระอรหันตสาวก เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ไม่ประมาท เคารพผู้ใด ไม่ใช่เคารพโดยบอกว่าเคารพกราบไหว้ แต่เคารพในพระคุณในคุณธรรม ซึ่งไม่มีใครประเสริฐเทียบได้กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อมีความเข้าใจในคุณของพระองค์ ผู้นั้นจึงนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่สอดคล้องกันทั้งหมด เพราะเป็นความจริง ความจริงซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ เปลี่ยนไปเป็นอื่นไม่ได้เลย พอที่จะเป็นที่พึ่งได้ไหม เพราะอย่างไรก็ต้องตาย




... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ ...



ความคิดเห็น 1    โดย Papsi  วันที่ 2 ม.ค. 2566

ขอน้อมกราบด้วยปีติยิ่งในธรรม ในคำแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 2    โดย hetingsong  วันที่ 2 ม.ค. 2566

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 3    โดย khampan.a  วันที่ 2 ม.ค. 2566

เช้าวันนี้ได้กราบขอโอกาสสนทนากับอาจารย์อรรณพ หอมจันทร์ เพิ่มเติม ว่า แท้ที่จริงแล้ว ปีใหม่ คืออะไร ก็ขอเชิญคลิกฟังคำสนทนาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ
ปีใหม่คืออะไร
กราบขอบพระคุณและยินดีในกุศลของอาจารย์อรรณพด้วยครับ


ความคิดเห็น 4    โดย swanjariya  วันที่ 2 ม.ค. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 5    โดย capacitor4  วันที่ 2 ม.ค. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง กราบขอบพระคุณอาจารย์คำปั่น และกราบยินดีในกุศลทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย chatchai.k  วันที่ 2 ม.ค. 2566

กราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย ธีรพันธ์  วันที่ 3 ม.ค. 2566

ขอถวายความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 8    โดย ไพรศรี  วันที่ 3 ม.ค. 2566

กราบอนุโมทนา สาธุครับ.


ความคิดเห็น 9    โดย Kalaya  วันที่ 5 ม.ค. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบบูชาคุณ ท่านอาจารย์ค่ะ