บัญญัติปิดบังปรมัตถ์
โดย papon  28 ก.ย. 2556
หัวข้อหมายเลข 23717

"บัญญัติปิดบังปรมัตถ์" หมายความว่า อย่างไรครับ

ขออนุโมทนาครับ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 28 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

บัญญัติ คือ ขณะที่เป็นเรื่องราว ขณะนั้น ไม่ได้มีปรมัตถธรรม คือ จิต เจตสิก รูป เป็นอารมณ์ ก็ทำให้ปิดบังความจริงในขณะนั้น เช่น ขณะนี้เห็นเป็นสัตว์ บุคคล ขณะนั้นเป็นบัญญัติเรื่องราว ซึ่ง ขณะนั้น ก็มี บัญญัติเป็นอารมณ์ ขณะนั้น จึงปิดบังความจริงไม่ให้รู้ตัวปรมัตในขณะนั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ก่อนที่จะเห็นเป็นสัตว์บุคคล ก็มีสภาพธรรมที่มีจริงที่เป็นอารมณ์ก่อน คือ สี แต่เพราะปัญญาไม่เกิด และการเกิดดับย่างรวดเร็วของวิถีจิต ทางใจก็คิดนึกต่อเป็นบัญญัติเรื่องราว ก็ปิดบังไม่ให้รู้ปรมัตในขณะนั้น แต่เมื่อใดสติปัฏฐานเกิด รู้ความจริงในขณะที่ปรมัตถ์เป็นอารมณ์ คือ ขณะที่สีกำลังปรากฎ ขณะนั้นสติปัฏฐาน ก็เปิดความจริง ให้บัญญัติไม่ปิดบังปรมัตในขณะนั้น ซึ่งสำหรับคำถามในประเด็นนี้ ท่านอาจารย์อธิบายไว้อย่างละเอียดและชัดเจนอยู่แล้ว เชิญอ่าน ครับ

ท่านอาจารย์ ... เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่แม้ว่าจะได้ฟังเรื่องของการเจริญสติปัฎฐานที่จะใช้คำ ก็ควรจะใช้ให้ถูกต้องเพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า ความเข้าใจเรื่องการเจริญสติปัฏฐานนี้ไม่คลาดเคลื่อน เช่นไม่สมควรใช้คำว่า ใช้สติ ซึ่งบางคนอาจจะได้ยินบ่อยๆ และบางท่านก็บอกว่า เป็นคำพูดที่ติดปากเท่านั้นเอง แต่ความจริงแล้วการที่จะใช้คำพูดใดๆ ก็ตาม ย่อมแสดงถึงความเข้าใจว่ายังมีข้อที่คลาดเคลื่อนหรือเปล่า เพราะว่าไม่มีใครที่จะใช้สติได้ เพียงแต่ว่าสามารถที่จะเกิดสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมขณะใด ขณะนั้นก็เป็นขณะที่มีสติ ส่วนขณะใดที่สติไม่เกิด ไม่ได้ระลึกลักษณะของสภาพธรรม ขณะนั้นก็หลงลืมสติ แม้ว่าเป็นผู้ที่ได้ยินได้ฟังเรื่องของการเจริญสติปัฏฐานมามาก และกำลังเป็นผู้ที่เริ่มอบรมเจริญสติปัฏฐานก็ตาม แต่การที่จะได้ฟังเรื่องของการเจริญสติปัฏฐานบ่อยขึ้น ก็เป็นทางที่จะทำให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมพร้อมกับขณะที่สติระลึกได้ละเอียดขึ้น เช่น ถ้าสังเกตจะรู้ได้ว่าในขณะที่สติเกิด ขณะที่สติปัฏฐานเกิด ขณะนั้นเป็นขณะทีเรี่มรู้ว่า ขณะที่คิดนึกเป็นเรื่องราวต่างๆ ทั้งวันนั้น ไม่ใช่ขณะที่มีสภาพปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ นี่ค่ะเป็นสี่งที่จะต้องพูดถึงบ่อยๆ เพราะว่าทุกคนคิดมากทีเดียวทุกวัน แต่ว่าใน ขณะใดก็ตามที่กำลังคิดเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ ขณะนั้นไม่ใช่มีลักษณะของปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ก็จะตรวจสอบรู้จักตนเองตามความเป็นจริงได้ว่ามีการรู้ลักษณะของปรมัตถธรรม มากน้อยแค่ไหน เพราะว่าขณะที่กำลังคิด ขณะนั้นไม่มีปรมัตถอารมณ์ แล้ววันหนึ่งๆ ก็คิดมาก แม้ในขณะนี้เอง ก็เป็นการที่จะพิสูจน์ได้ว่าใน ขณะนี้กำลังมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ หรือว่ากำลังคิดเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง วันหนึ่งๆ บางเรื่องก็คิดสั้น บางเรื่องที่คิดก็ยาว และคิดวันก่อนก็ยังไม่จบ ก็ยังต่อ อีกนะคะ วันรุ่งขึ้นก็ยังคิดอีก แล้วก็วันต่อๆ ไปเรื่องเดียวกันนั้น ก็ยังไม่จบอีก ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ยาวแต่เฉพาะในวันหนึ่งๆ แต่ว่ายาวต่อไปทั้งอาทิตย์หรือว่า ยาวต่อไป ทั้งปี ทั้งชาติ ก็เป็นได้

เพราะฉะนั้นจะเห็นได้จริงๆ ว่า ขณะใดที่สติปัฏฐานไม่เกิด ขณะนั้นความคิดนึกจะปิดบังไม่ให้รู้ลักษณะของปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นใน ขณะนี้ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานด้วย และกำลังฟังเรื่องของการเจริญสติปัฏฐานย่อมจะมีโอกาส มีปัจจัยที่สติจะเกิด ระลึกได้ในขณะที่กำลังฟังนี้เอง ระลึกลักษณะของปรมัตถธรรมสลับกับความคิดนึกก็ได้ เพราะฉะนั้นสติปัฏฐานเมื่อมีปัจจัยก็เกิดขึ้นระลึกรู้สี่งที่กำลังปรากฏแม้เพียงเล็กน้อย ก็รู้ว่าปรมัตถธรรมกำลังสลับกับความคิดนึก เช่นทางตาที่กำลังเห็น เป็นปรมัตถธรรมเป็นสภาพธรรมที่มีจริง สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นปรมัตถธรรม เป็นสี่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นถ้าขณะใดที่เกิดระลึกศึกษาว่าขณะนี้ เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏทางตาเท่านั้น บางคนอาจจะรู้สึกว่า หลับตาแล้วก็สบายดีเหมือนกันวลาที่ฟังพระธรรม เพราะว่าไม่จำเป็นจะต้องลืมตาและมองดูสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่ใช่ให้มีเจตนาที่ให้หลับ เพื่อที่จะได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมชัดเจน ไม่ใช่อย่างนั้น นะคะ แต่ว่าใครจะพักสายตาแล้วก็ฟังพระธรรม ก็เป็นสี่งที่เป็นไปได้ อาจจะลืมแล้วอาจจะหลับ สลับกัน เพราะว่าขณะใดที่เห็น ขณะนั้นระลึกว่าเป็นเพียง สิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วขณะทีได้ยินก็เปลี่ยนจากลักษณะที่ปรากฏทางตา เป็นสภาพธรรมอีกชนิดหนึ่ง อีกทางหนึ่ง เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟังนี้เอง สติปัฏฐานก็เกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จนกว่าจะรู้ชัดจริงๆ ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน เกิดแล้วก็หมดไป ในขณะที่ได้ยินเสียง เป็นอีกขณะหนึ่ง อีกสภาพธรรมหนึ่ง เพราะฉะนั้นในขณะนี้ ก็มีทั้งเห็น และก็มีทั้งได้ยิน ก็พิจารณาได้ สติเกิดระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ สลับกันในขณะนี้ได้ตามความเป็นจริง

แต่ทุกคนก็ต้องรู้ขณะที่สติเกิดกับขณะที่หลงลืมสติ ว่าเป็นขณะที่ต่างกัน ขณะที่หลงลืมสติ จะไม่มีการที่จะสังเกตรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นที่กำลังเป็นโลภะ ความไวจะทำให้ระลึกได้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่กำลังสังเกตศึกษารู้ลักษณะของสภาพธรรม ขณะที่เป็นโลภะ ขณะนั้นมีอะไรเป็นอารมณ์ เป็นปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์หรือว่าเป็นบัญญัติอารมณ์ ขณะที่กำลังชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็พอที่จะสังเกตได้ เพื่อที่จะคลายการยึดถือสิ่งที่ปรากฏ ด้วยการรู้แจ้งว่า อารมณ์ในขณะนั้นเป็นอะไร ที่กำลังชอบ กำลังพอใจ หรือว่าขณะที่กำลังโกรธ ขุ่นเคืองใจไม่ชอบ ขณะนั้นกำลังโกรธบัญญัติ เพียงแต่นึกถึงชื่อของบางคนก็อาจจะหงุดหงิด ขณะนั้นไม่มีปรมัตถธรรม ไม่มีคนจริงๆ ไม่มีอะไรเลย เป็นแต่พียงเรื่องราวที่คิดขึ้น เกี่ยวกับความทรงจำเป็นบุคคลนั้น บุคคลนี้ เพราะฉะนั้นในขณะนี้ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าโกรธบัญญัติ ไม่ได้มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ หรือแม้แต่ขณะที่ทำทานกุศล ขณะใดที่สติไม่เกิด ไม่ระลึกรู้ลักษณะของปรมัตถธรรม ขณะนั้นก็มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ขณะที่วิรัติทุจริต หรือขณะที่สงบก็ตาม ขณะใดก็ตามที่สติไม่เกิด ไม่ระลึกลักษณะของปรมัตถธรรม ขณะนั้นก็มีบัญัตติเป็นอามณ์ทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นก็จะรู้ได้ว่า บัญญัติในวันหนึ่งๆ ปิดบังไม่ให้รู้ลักษณะของปรมัตถธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ขณะใดที่สติเกิดเท่านั้นที่จะค่อยๆ เริ่มศึกษา รู้ลักษณะของ ปรมัตถถธรรมว่าไม่ใช่บัญัติที่เคยคิดเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ แต่เป็นสภาพธรรม ที่มีลักษณะ ที่จะต้องศึกษาสังเกตพิจารณา จนกว่าจะรู้ชัดใน ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็น นามธรรม หรือเป็น รูปธรรม ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ... กาย บ้าง ใจบ้าง

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย peem  วันที่ 29 ก.ย. 2556

ขออนุโมทนาคะ


ความคิดเห็น 4    โดย khampan.a  วันที่ 29 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ชีวิตประจำวัน ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม มีแต่ธรรมเท่านั้น จริงๆ แต่ที่เห็นเป็นคนนั้นคนนี้ เป็นเรื่องราวต่างๆ นั้น ไม่ใช่ปรมัตถ์ แต่เป็นบัญญัติ เพราะมีปรมัตถธรรมเกิดขึ้นเป็นไปจึงมีบัญญัติ ถ้าไม่มีธรรม อะไรๆ ก็ไม่มี สำหรับผู้ที่มีความเข้าใจในธรรม ก็จะไม่สับสนว่าอะไร คือ ปรมัตถ์ และ อะไร คือ บัญญัติ ซึ่งจะขาดการฟังการศึกษาพระธรรมไม่ได้เลย ครับ

คำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มีดังนี้ ในวันหนึ่งๆ "บัญญัติ" ปิดบัง "ลักษณะของปรมัตถธรรม" ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจจึงทำให้ไม่รู้ลักษณะของปรมัตถธรรม ซึ่งหมาย ถึงลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เช่น สภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ความจริงแล้ว ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนแต่เป็น สีสัน-วัณณะ ... ซึ่งเป็น "รูปธรรม" ประเภทหนึ่ง ซึ่งปรากฏได้ เมื่อมีการกระทบกับจักขุปสาทรูป เท่านั้น เมื่อใดที่ "ปัญญา" เจริญขึ้นจนสามารถ รู้ ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงในขณะที่กำลังเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส และ คิดนึกก็จะสามารถละคลาย "ความยึดถือ" ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ฯ ว่าเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน และสามารถ รู้ "ความต่างกัน" ของขณะที่เป็น ปรมัตถอารมณ์ และ บัญญัติอารมณ์ ได้ทั้ง ๖ ทวาร

ขณะที่กำลังฝัน ... มีอะไร เป็นอารมณ์.?ทุกคนมีขณะที่ฝันแน่นอน เพราะว่า ผู้ที่ไม่ฝันเลยคือพระอรหันต์ ในเมื่อทุกคนฝัน และเมื่อตื่นขึ้นมา ก็บอกว่า เห็นญาติผู้ ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว หรือสิ่งต่างๆ เป็นต้น ฝันเห็นบัญญัติ หรือ ฝันเห็นปรมัตถธรรม? ถ้าไม่พิจารณา ก็จะไม่รู้เลย ... เพราะเสมือนว่า เห็น.! แต่ ความจริงนั้น ... เมื่อถามว่า เห็นอะไร.? ก็ตอบว่า เห็นคน สัตว์ สิ่งของ ฯลฯ นั่นคือ การฝันเห็นเรื่องราว คือ "บัญญัติ" เพราะว่าขณะนั้น จักขุทวารวิถีจิต ไม่ได้เกิดขึ้นเลย เพราะว่ากำลัง หลับ แต่ขณะใดที่ มโนทวารวิถีจิตเกิดขึ้น และ คิดนึกถึงเรื่องราวของบัญญัติจากสิ่งที่เคยเห็น หรือเคยได้ยิน ฯ เช่น ท่านที่เคยอ่านหนังสือพิมพ์ ซึ่งมีเรื่องราวต่างๆ และ มีรูปภาพประกอบด้วย ขณะที่กำลังรู้เรื่องราว และ เห็นภาพต่างๆ นั้น ล้วนเป็นขณะที่คิดนึกถึง "บัญญัติ" ทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด ชีวิตปกติในวันหนึ่งๆ จึงไม่รู้ลักษณะของ ปรมัตถ์ ว่าต่างกับ บัญญัติ อย่างไร เพราะไม่ว่าจะเห็นทางตา อ่านหนังสือ หรือทำ กิจการงานอยู่ที่ไหนขณะนั้น มีการคิดนึกถึง "บัญญัติ" สภาพปรมัตถธรรมในชีวิตประจำวันถูกปกปิดไว้ด้วย "อวิชชา" คือ ความไม่รู้ คือ ไม่รู้ความต่างกัน ของ ปรมัตถธรรม และ บัญญัติ ฉะนั้น จึงไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า สภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจซึ่ง ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน นั้น ... เป็นอย่างไร.! ด้วยเหตุนี้ การศึกษาเรื่องของจิต เจตสิก รูป โดยละเอียด จึงเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้ "ปัญญาในขั้นการฟัง" เจริญขึ้น เป็นสังขารขันธ์ ปรุงแต่งให้เกิดสติ ระลึกรู้ ลักษณะของปรมัตถธรรมซึ่งทำให้ ละคลายความยึดมั่น ใน "นิมิต-อนุพยัญชนะ"ซึ่งเป็น "อาการปรากฏของบัญญัติ"

... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...


ความคิดเห็น 5    โดย wannee.s  วันที่ 29 ก.ย. 2556

ชื่อครอบงำสิ่งทั้งปวง ติดในชื่อเพราะๆ ติดในเรื่องราว ในบัญญัติต่างๆ ที่ไม่ใช่ของจริง ไม่เป็นไปเพื่อการละคลายกิเลสค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย papon  วันที่ 29 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย ใหญ่ราชบุรี  วันที่ 9 ต.ค. 2559

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย สิริพรรณ  วันที่ 8 พ.ค. 2568

กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง

อนุโมทนายินดีในกุศลลธรรมทานค่ะ