
ปปัญจสูทนี อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ อรรถกถา จูฬสีหนาทสูตร มีข้อความว่า
สัตว์ทั้งหลายย่อมยินดีในความเนิ่นช้านั้น เพราะฉะนั้น ความเนิ่นช้านั้น จึงชื่อว่า อาราโม เป็นที่มายินดี บุคคลผู้ยินดีในความเนิ่นช้า จึงชื่อว่า ปปัญจรตี
ถ้าพูดถึงความเนิ่นช้า และไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ก็ไม่เข้าใจเลยว่า เนิ่นช้าอย่างไร เนิ่นช้าที่ไหน
เวลาเห็นแล้วก็เกิดอกุศล เช่น โลภะบ้าง ทิฏฐิบ้าง มานะบ้าง โกรธบ้าง พยาบาทบ้าง ริษยาบ้าง ล้วนเป็นอกุศลทั้งหมด มีความเพียรหรือมีความคิดที่จะ ละอกุศลนั้นไหม
ถ้าไม่มีความเพียรที่จะละอกุศลนั้นๆ นั่นคือความเนิ่นช้า คือ ไม่ยอมที่จะสละ ไม่ยอมที่จะทิ้งอกุศลนั้นโดยเร็ว เพราะว่ายังพอใจในอกุศลนั้นอยู่ เช่น ยังพอใจ ในโลภะ ในสภาพที่น่ายินดีน่าพอใจของอารมณ์ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า ควรละ แต่ผู้นั้นเองเป็นผู้ที่ รู้ว่าจะละหรือยัง หรือยังรอไว้ก่อน ยังไม่อยากจะละโลภะนั้น ชื่อว่าเป็นผู้เนิ่นช้า
หรือเวลาที่กระทบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจทางตา หรือทางหู ก็เกิดความขุ่นเคืองใจ ในขณะที่มีความขุ่นเคืองใจเกิดขึ้น ถ้าระลึกถึงพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโทษของความโกรธ หรือโทษของความผูกโกรธก็ตาม ในขณะนั้นจะละไหม หรือจะปล่อยไว้ก่อน รอไว้ก่อน นั่นก็คือความเนิ่นช้าในการที่จะละอกุศลนั่นเอง
เพราะฉะนั้น ความเนิ่นช้าในที่นี้หมายความว่า แม้พระผู้มีพระภาคจะ ทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียด ทรงแสดงโทษภัยของอกุศลต่างๆ โดยละเอียด แต่ผู้ฟังก็ยังช้า ยังไม่พร้อมที่จะสละ ยังไม่พร้อมที่จะละคลายอกุศลนั้นๆ และ สัตว์ทั้งหลายย่อมยินดีในความเนิ่นช้านั้น
ทำไมไม่รีบเร่งขวนขวายที่จะละกิเลส ก็เพราะว่าเป็นผู้ที่ย่อมยินดีใน ความเนิ่นช้า ในโลภะ ซึ่งสนุกมาก เพลิดเพลินมากในอกุศลทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ก็ยังไม่ละ ด้วยเหตุนี้ ความเนิ่นช้านั้น จึงชื่อว่า อาราโม เป็นที่มายินดี และบุคคล ผู้ยินดีในความเนิ่นช้า จึงชื่อว่า ปปัญจรตี
ถ้าได้ยินคำว่า ปปัญจธรรม ก็หมายความถึงธรรมที่ทำให้เนิ่นช้า และผู้ที่ยินดีในความเนิ่นช้า ชื่อว่าปปัญจรตี
บางคนที่ชอบชื่อเพราะๆ อาจจะคิดว่า ชื่อนี้เพราะดี ปปัญจรตี แต่หมายความว่า ผู้ที่ยินดีในความเนิ่นช้า
บทว่า ปปัญโจ นั้น เป็นชื่อของตัณหา ทิฏฐิ และมานะ อันเป็นไปแล้วโดยความเป็นอาการของผู้มัวเมาและผู้ประมาทแล้ว
เรื่องของอกุศลเป็นเรื่องที่ละยากจริงๆ แม้ว่าจะได้ฟังพระธรรมสักเท่าไร แต่ถ้ายังไม่ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ปัญญายังไม่ถึงขั้น ที่จะดับกิเลส กิเลสก็ดับไม่ได้ แต่แม้กระนั้นการฟังพระธรรมให้ละเอียดขึ้น และพิจารณาใคร่ครวญให้ละเอียดขึ้น ก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้ระลึกได้ เพราะฉะนั้น ควรที่จะได้ทราบว่า ที่ว่าธรรมเครื่องเนิ่นช้า หรือทุกท่านที่เป็นผู้ที่ประมาทมัวเมา เป็นปปัญจรตีนั้น เนิ่นช้าอยู่ที่ไหน
สภาพที่เนิ่นช้า ได้แก่ ตัณหา ทิฏฐิ และมานะ แต่ว่าเนิ่นช้าอยู่ที่ไหน
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มธุปิณฑิกสูตร ข้อ ๒๔๘ มีข้อความว่า
จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเพราะอาศัยตาและรูป
ธรรมก็ซ้ำอีกแล้ว ใช่ไหม เตือนให้รู้ว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นจักขุวิญญาณที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยตาและรูป
เพราะประชุมธรรม ๓ ประการ จึงเกิดผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา บุคคลเสวยเวทนาอันใด ก็จำเวทนาอันนั้น
ขณะนี้ทางตาให้พิจารณาตามไปด้วย เพราะประชุมธรรม ๓ ประการ จึงเกิดผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา ขณะนี้ไม่ใช่ไม่มีเวทนา กำลังมีเวทนาอยู่
บุคคลจำเวทนาอันใด ก็ตรึกถึงเวทนาอันนั้น
ถ้าไม่จำเวทนานั้น ก็ตรึกถึงเวทนานั้นไม่ได้ แต่เมื่อเวทนาใดเกิดขึ้นแล้วไม่ลืม ก็จำเวทนานั้น และตรึกถึงเวทนานั้น
บุคคลตรึกถึงเวทนาอันใด ก็เนิ่นช้าอยู่ที่เวทนาอันนั้น
การเนิ่นช้า ไม่ได้เนิ่นช้าอยู่ที่ไหนเลย ก็เนิ่นช้าอยู่ที่เวทนา ความรู้สึก เนิ่นช้าอยู่ที่สัญญา ความจำ เพราะข้อความต่อไปมีว่า
บุคคลเนิ่นช้าอยู่ที่เวทนาอันใด ส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้า ก็ครอบงำผู้นั้น เพราะเนิ่นช้าอยู่ที่เวทนานั้นเป็นเหตุ ในรูปทั้งหลาย … ในเสียงทั้งหลาย … ในกลิ่นทั้งหลาย … ในรสทั้งหลาย … ในโผฏฐัพพะทั้งหลาย … ในธรรมารมณ์ทั้งหลาย ที่เป็นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปัจจุบันก็ดี
ทั้งหมด ไม่พ้นเลย เพราะว่ารูปก็มีปรากฏอยู่ทางตาตลอดเวลาให้เวทนา ความรู้สึกเกิดขึ้น ถ้าเป็นรูปดอกไม้สวย เวทนาจะเป็นอย่างไรก็จำเวทนานั้น ตรึกถึงเวทนานั้น เนิ่นช้าอยู่ที่เวทนานั้น ไม่ได้ไปไหนเลย
ทั้งๆ ที่รูปดับไปแล้ว เสียงก็ดับไปแล้ว แต่ความรู้สึกและสัญญาที่จำในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ก็ทำให้ตรึกนึกถึงด้วยความเนิ่นช้า ไม่จบ ซึ่งความจริงรูปเกิดแล้วดับแล้ว หมดแล้ว แต่เพราะจำเวทนา สัญญาที่จำเวทนานั้น ทำให้เรื่องนั้นไม่จบ ไม่ปล่อย ทำให้เนิ่นช้าต่อไป
นี่คือชีวิตประจำวัน ซึ่งทุกท่านคงจะทราบความหมายของปปัญจรตีได้ว่า ไม่ใช่ใครอื่น คือ ทุกท่านที่กำลังเนิ่นช้าอยู่ที่เวทนาในอารมณ์ต่างๆ ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั่นเอง
เพราะฉะนั้น จะต้องเพียรกันต่อไปอีก จะยุติหรือหยุดการเพียรไม่ได้ สำหรับผู้ที่ต้องการอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง
แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1890
อ่านเพิ่มเติม ปปัญจธรรม
ปปัญจรตี
ชีวิตประจำวัน ซึ่งทุกท่านคงจะทราบความหมายของปปัญจรตีได้ว่า ไม่ใช่ใครอื่น คือ ทุกท่านที่กำลังเนิ่นช้าอยู่ที่เวทนาในอารมณ์ต่างๆ ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั่นเอง
จะต้องเพียรกันต่อไปอีก จะยุติหรือหยุดการเพียรไม่ได้ สำหรับผู้ที่ต้องการอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลค่ะ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ