ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๓
โดย khampan.a  7 ก.ย. 2568
หัวข้อหมายเลข 50895

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๓




~
พระโพธิสัตว์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีทุกประการ เพื่อที่จะรู้ความจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แสดงว่าความจริงในขณะนี้รู้ยากหรือรู้ง่าย? เป็นสิ่งซึ่งลึกซึ้งมากซึ่งควรที่จะได้ฟังตลอดชีวิต เพราะเหตุว่าฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงเพื่อรู้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว เพื่อที่จะละความไม่รู้ เพื่อความรู้ และความเจริญในคุณธรรม ความดีจะได้เพิ่มยิ่งขึ้น
~
แม้แต่คำว่า “ธรรม” คำเดียวอย่าเพิ่งประมาท ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม คำนี้เข้าไปถึงใจแล้วหรือยัง ชั่วคราวหรือว่าบ่อยๆ หรือว่าแม้ขณะนี้คำว่า “สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เป็นธรรม” เรื่องของธรรมที่จะต้องศึกษานี้มีมาก เพราะว่าสิ่งที่มีจริงเป็นจริงในชีวิตประจำวันทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจธรรม ไม่ใช่เพียงครั้งเดียวเรื่องเดียว แต่สิ่งที่มีจริงทั้งหมดในชีวิตประจำวันเป็นธรรมที่จะต้องศึกษาจนกว่าจะมีความเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรม
*** ~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ทำให้ค่อยๆ มีความเห็นที่ถูกต้อง เกิดปัญญามีความรู้ว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรควรหรือไม่ควรซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะว่าถ้าหลงเข้าใจว่า สิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ดี คนนั้นก็ทำชั่วซึ่งไม่เป็นประโยชน์ใดๆ เลย***
~ สิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุด คือ มีโอกาสได้รู้ความจริงซึ่งกว่าจะรู้ได้แสนนาน ไม่หวัง นี่เป็นหนทางที่จะละความหวัง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเลย ความไม่รู้ก็จะนำไปสู่ความไม่ดีทั้งปวง เพราะฉะนั้น เมื่อมีความเข้าใจเท่าไหร่ ก็ย่อมนำความดีมาให้ทั้งกาย วาจา สะสมไปที่จะขัดเกลาไม่ให้กิเลสทับถมมากมาย จนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงจนกระทั่งประจักษ์แจ้งในวันหนึ่ง
~ ขณะใดที่กุศลมีกำลัง ขณะนั้นอกุศลก็เกิดไม่ได้ แต่กำลังก็ต้องค่อยๆ สะสมเพิ่มขึ้น แม้แต่กำลังที่จะมาฟังธรรม มีแล้ว เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าขณะใดที่ไม่ได้มาฟังธรรม หรือ ไม่ได้ฟังธรรม อะไรมีกำลัง ก็คือ อกุศลมีกำลัง แล้วทั้งกุศลและอกุศล มาจากไหน ก็ต้องมาจากการที่ค่อยๆ เกิดค่อยๆ มี เพิ่มมากขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
~
มงคลคือเหตุที่จะนำไปสู่ความเจริญทางด้านจิตใจทางคุณธรรม เพราะฉะนั้น ทุกข้อของมงคลนี้ก็เพื่อการละอกุศล ละสิ่งที่ไม่ดีแล้วก็อบรมเจริญสิ่งที่ดีเพิ่มขึ้น เพราะว่าสิ่งที่ดีจะไม่นำความทุกข์มาให้ ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ไม่ดีที่ไม่สามารถที่จะนำความสุขใดๆ มาให้ได้ ด้วยเหตุนี้ต้องทราบว่าสิ่งที่ไม่ดีที่เป็นเหตุใหญ่ก็คือโลภะ โทสะ โมหะ ทำไมกล่าวถึงโลภะ โทสะ โมหะ? เพราะเหตุว่าเป็นชีวิตประจำวัน
*** ~ เชื้อของกิเลสยังมี เป็นปัจจัย เมื่อได้รับกระทบกับอารมณ์ ก็เกิดการทะเลาะวิวาท ขัดแย้งในขณะนั้น แต่สติสามารถจะระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตรงตามความเป็นจริงในขณะนั้น จึงเป็นผู้ที่สามารถที่จะรู้จริง และละกิเลสได้ เป็นการศึกษาธรรมเพื่อประโยชน์ คือ การรู้ชัดด้วยการประจักษ์ในสภาพลักษณะของธรรมตามที่ได้ศึกษามาแล้ว***
~
ธรรมทั้งหลายก็มีปรมัตถธรรม คือ ธรรมที่มีจริงๆ ใครจะเรียกอะไรหรือไม่เรียกอะไร ธรรมนั้นก็เป็นอย่างนั้นและก็ไม่เปลี่ยนธรรมนั้นเป็นอย่างอื่น และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย อย่างเสียงมีจริงๆ เป็นธรรมเปลี่ยนให้เป็นหวานหรือว่าแข็งก็ไม่ได้ นี่คือธรรม เพราะธรรมกับธาตุ หรือ “ธาตุ” ในภาษาบาลีก็มีความหมายอย่างเดียวกันคือสิ่งที่มีจริง
~ ทุกคนเกิดแล้วก็ตาย แล้วก็ไม่มีใครรู้ด้วยว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไร วันไหน เพราะฉะนั้น เกิดมาแล้วมีอะไรที่เที่ยงที่ยั่งยืนที่เป็นของใครอย่างแท้จริง? ขณะนี้ทุกคนรู้สึกว่ามีเรา ร่างกายของเรา แข็งแรงดี กำลังนั่งอยู่ที่นี่ จะเดินก็ได้ จะพูดก็ได้ จะไปไหนทำอะไรก็ได้หมดเพราะมีจิตที่เกิดแล้วดับ แล้วก็เกิดดับอย่างไม่สิ้นสุด ต่อเมื่อใดถ้ารูปร่างกายในขณะนี้ปราศจากจิต เป็นอย่างไร? ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเดียว
*** ~
คนที่มีปัญญาเห็นประโยชน์ของการมีชีวิตเพราะเราไม่สามารถที่จะรู้ว่าจะจากโลกนี้ไปขณะไหนได้ทั้งสิ้น แต่ว่าถ้าเป็นขณะที่กำลังเข้าใจธรรมจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ลักษณะที่กำลังเป็นธรรมในขณะนี้ได้ขณะนั้นก็ประเสริฐที่สุด เพราะว่าจากไปด้วยความเห็นถูกความเข้าใจถูก***
~
โลภะกับความไม่รู้มีมานานแสนนานมากจนกระทั่งสามารถที่จะเกิดเมื่อไร ขณะไหนก็ได้ แต่กุศลทั้งหลายก็ยังเกิดได้ เห็นไหมทุกคนก็รู้ว่าสะสมอกุศลมามาก ความไม่รู้ และโลภะ โทสะ อกุศลอื่นๆ อีก แต่แม้กระนั้นก็เห็นกำลังของกุศลในขณะที่เกิดว่ายังเกิดได้ แสดงว่ามีกำลังพอ แต่ว่าไม่พอถึงกับการที่จะดับอกุศลจนกว่ากุศลนั้นจะมีกำลังเพิ่มขึ้น
~
เกิดมาเพราะกุศลกรรมทำให้เป็นมนุษย์แล้วก็เป็นมนุษย์ที่ทำความดี เป็นคนดี ทำความดี และเข้าใจธรรม มิฉะนั้น ก็เป็นแต่เพียงเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเป็นอย่างไร ถ้าไม่เป็นคนดีขณะนั้นก็เป็นอกุศล แล้วอกุศลทำอะไร อกุศลก็ทำสิ่งที่เป็นความไม่ดี เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีทางที่จะสามารถดับกิเลสได้
~
ผู้ที่มีอกุศลมาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องอกุศลให้รู้ตัว ผู้ที่มีอกุศลน้อยก็ทรงแสดงเรื่องของกุศล เพื่อความเบิกบานใจเพราะว่าขณะนั้นบุคคลนั้นก็สะสมกุศลมามาก เพราะฉะนั้นพระธรรมทั้งหมดเพื่อเกื้อกูลตามอัธยาศัย
~
เมื่อโกรธเกิดขึ้นแล้ว ดีไหม? ใครเดือดร้อน? โกรธเกิดที่ไหน ไม่เป็นสุข จะไปทำให้คนที่มีความโกรธเป็นสุข เป็นไปไม่ได้ เพราะลักษณะนั้นเป็นสภาพที่เดือดร้อน แม้จิตในขณะนั้น ก็มีโทสะคือความขุ่นเคืองใจเกิดร่วมด้วย ขณะนั้นเดือดร้อนจริงๆ และถ้ามาก คิดดู ปัญหาทั้งหลาย โทษทั้งหลาย ความไม่สงบทั้งหลายก็เกิดจากอกุศลทั้งหมด
*** ~
ค่อยๆ เห็นโทษของอกุศลบ้างไหม ทุกอย่างที่สามารถจะเป็นไปได้ ต้องเริ่มทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะมากขึ้น เป็นการเกื้อกูลต่อการที่จะให้อกุศลลดน้อยลงและความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น เป็นบารมี ถ้าไม่มีบารมีก็ยากที่จะละกิเลส***
~
ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น มีความเมตตามีความเป็นเพื่อนมีความหวังดี ใครร้ายเรื่องเขา แต่เราถ้าร้ายทันทีก็เหมือนเขาและก็ไม่ได้ประพฤติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวันเป็นเครื่องบ่งเครื่องบอกว่ากำลังของความเข้าใจในความจริงและเห็นประโยชน์เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน และถ้าประพฤติดี บูชาคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า คิดดู
~
โลภะทำให้เกิดความเดือดร้อนหรือไม่ ถ้ามากแล้วก็ไม่ได้สิ่งที่ต้องการสบายใจหรือไม่ โทสะทั้งหลายเกิดเพราะความติดข้อง
~
สภาพธรรมทั้งหมดที่ได้ทรงแสดงไว้ ทรงแสดงไว้ตามความเป็นจริง เพื่อที่จะให้ท่านผู้ฟังได้พิจารณา และเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลจิต ไม่ใช่เกิดอกุศลจิต ทั้งๆ ที่ท่านทราบว่า การร้องไห้ การเศร้าโศก ไม่มีประโยชน์เลย เป็นอกุศลจิต แต่ยับยั้งได้ไหม ไม่ได้ มาถึงความจริงอีกข้อหนึ่ง คือ ความเป็นอนัตตาของธรรมทั้งหลายที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
~
การที่จะต้องพลัดพรากจากวงศาคณาญาติ มิตรสหายผู้เป็นที่รัก ผู้เป็นที่เคารพ หรือผู้มีคุณ ที่ทำให้เกิดความเศร้าโศกขึ้นนั้น ถ้าท่านฟังธรรมและพิจารณาธรรม จะละอกุศลจิตได้มาก ถ้าจะมีปัจจัยเกิดขึ้น ก็ไม่มากเท่ากับผู้ที่ไม่รู้สภาพธรรม ซึ่งการร้องไห้เศร้าโศกนั้น ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ แก่ผู้ที่ล่วงลับไปเลย
~ ถ้าท่านมีสมบัติ และสมบัตินั้นหมดไป รู้สึกเดือดร้อนมาก เป็นผู้ที่ไร้สมบัติเสียแล้ว แต่ตราบใดที่ท่านเป็นผู้ที่เจริญด้วยปัญญา ย่อมดีกว่าการที่ท่านจะยังคงมีทรัพย์สมบัติมาก แต่ว่าเป็นผู้ที่ไร้ปัญญา หรือว่าเป็นผู้ที่เสื่อมจากปัญญา ก็เป็นเรื่องที่ท่านผู้ฟังจะพิจารณาว่า การเสื่อมอย่างไหนเป็นการเสื่อมที่ชั่วร้ายที่สุด
~
การที่จะได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ สุข ได้โภคสมบัติ ทรัพย์สมบัตินั้น เป็นผลที่มาจากเหตุที่ได้กระทำแล้ว การที่จะเสื่อมจากลาภ ยศ สรรเสริญ สุข โภคสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ก็ต้องเป็นผลที่มาจากเหตุที่ได้กระทำแล้วเช่นกัน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เมื่อมีเหตุที่ได้กระทำแล้ว ผลก็ย่อมมี ทั้งได้ลาภ ทั้งเสื่อมลาภ ทั้งได้ยศ ทั้งเสื่อมยศ ทั้งได้สรรเสริญ ทั้งได้นินทา ทั้งได้สุข ได้ทุกข์
~ เวลานี้ท่านผู้ฟังคิดว่า ความเสื่อมอะไรร้ายกว่ากัน ความเสื่อมญาติ หรือว่าความเสื่อมปัญญา ท่านคิดว่า ความเสื่อมญาติเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องร้ายแรง แต่ข้อความในพระไตรปิฎก พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ความเสื่อมญาติมีประมาณน้อย ความเสื่อมปัญญาชั่วร้ายที่สุดกว่าความเสื่อมทั้งหลาย
~
กลัวไหม เสื่อมปัญญา เห็นผิด เข้าใจผิด ปฏิบัติผิด รู้ผิด พ้นผิด เป็นเรื่องของการเสื่อมปัญญาทั้งนั้น แต่บางท่านไม่เห็นภัย ไม่เห็นโทษ ไม่เห็นอันตราย ถ้าเป็นความรู้ผิด ก็ทำให้ไม่สามารถละกิเลสได้อย่างแท้จริง เป็นความพ้นผิด เป็นการเสื่อมปัญญา
~
การเสื่อมญาติ ก็เป็นสำหรับภพนี้ ชาตินี้เท่านั้น แต่การเสื่อมปัญญา จะทำให้ท่านเกิดในที่อื่น ในอบายภูมิ ในทุคติ ซึ่งเป็นการตัดรอนไม่ให้ปัญญาเจริญที่จะสามารถรู้แจ้งสภาพธรรมได้ เพราะท่านมีความเสื่อมปัญญา มีความเห็นผิดไปเสียแล้วในสภาพธรรม เพราะฉะนั้น ความเสื่อมปัญญาชั่วร้ายกว่าความเสื่อมทั้งหลาย
~ ถ้าจะพิจารณาในเรื่องของการขัดเกลากิเลสของตน พระธรรมทั้งหมดจะเกื้อกูลให้ท่านค่อยๆ น้อมนำมาประพฤติปฏิบัติทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ เป็นการทำให้กิเลสเบาบางและสามารถที่จะอบรมเจริญกุศลให้ยิ่งขึ้น



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๒


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...



ความคิดเห็น 1    โดย swanjariya  วันที่ 7 ก.ย. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 2    โดย มังกรทอง  วันที่ 7 ก.ย. 2568

กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 3    โดย มังกรทอง  วันที่ 7 ก.ย. 2568

สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง


ความคิดเห็น 4    โดย chatchai.k  วันที่ 7 ก.ย. 2568

การที่จะได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ สุข ได้โภคสมบัติ ทรัพย์สมบัตินั้น เป็นผลที่มาจากเหตุที่ได้กระทำแล้ว การที่จะเสื่อมจากลาภ ยศ สรรเสริญ สุข โภคสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ก็ต้องเป็นผลที่มาจากเหตุที่ได้กระทำแล้วเช่นกัน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เมื่อมีเหตุที่ได้กระทำแล้ว ผลก็ย่อมมี ทั้งได้ลาภ ทั้งเสื่อมลาภ ทั้งได้ยศ ทั้งเสื่อมยศ ทั้งได้สรรเสริญ ทั้งได้นินทา ทั้งได้สุข ได้ทุกข์

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 5    โดย jaturong  วันที่ 7 ก.ย. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย Wisaka  วันที่ 11 ก.ย. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย มังกรทอง  วันที่ 27 พ.ย. 2568

สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง