ค่อยๆ เข้าใกล้ตัวจริง
โดย เมตตา  2 ธ.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 51574

[เล่มที่ 67] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 257

สมจริงดังพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้มีที่สุดอันรู้ไม่ได้ ที่สุดข้างต้นแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายมีอวิชชาเป็นเครื่องกั้นไว้ มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ วนเวียนท่องเที่ยวไป เสวยความทุกข์ความพินาศเป็นอันมากตลอดกาลนาน มากไปด้วยป่าช้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนี้แหละ จึงสมควรจะเบื่อหน่าย ควรจะคลายกำหนัด ควรจะหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง ดังนี้. ที่สุดข้างต้นแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏแม้อย่างนี้.


[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 823

บทว่า ปุพฺเพ จ กตปุญฺตา - ความเป็นผู้ทำบุญไว้ในกาลก่อน ได้แก่ ความเป็นผู้สะสมกุศลไว้ในกาลก่อน. นี้เป็นข้อกำหนดในบทนี้. กุศลกรรมที่ทำด้วยจิตสัมปยุตด้วยญาณ กุศลนั้นนั่นแหละย่อมนำบุรุษนั้นเข้าไปในประเทศอันสมควร ให้คบสัตบุรุษ บุคคลนั้นนั่นแหละย่อมตั้งตนไว้ชอบ.


อ.อรรณพ: ยังไม่รู้ว่า ด้ามมีดอยู่ตรงไหน จะไปจับด้ามมีดได้อย่างไร ก็เพียงแต่พูดถึงด้ามมีด แต่ไม่รู้จักด้ามมีด จนกว่าจะได้ฟังได้สนทนาที่ท่านอาจารย์เกื้อกูลโดยนัยยะประการต่างๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ที่จะเข้าใจขึ้นครับ ก็เป็นหนทางเดียวที่จะออกจากสังสาระ

ท่านอาจารย์: บางคนฟังแล้วท้อถอยใช่ไหม ไม่เอาแล้วยากอย่างนี้ ไม่ฟังดีกว่า แล้วจะรู้เมื่อไหร่? แล้วจะเข้าใจความจริงเมื่อไหร่? จนกว่าแม้ท้อถอยก็เป็นธรรมะ ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งใครก็เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้ มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เหลืออะไรที่จะไม่รู้ เพราะถ้าเหลืออยู่ ก็คือว่ายังคงไม่รู้ความจริง

อ.อรรณพ: ท่านอาจารย์กล่าวว่า ไม่เหลืออะไรนะครับ ดีมากเลยผมกำหนดจดจำไม่ได้

ท่านอาจารย์: ถ้ายังเหลือสิ่งที่ไม่รู้ จะละความไม่รู้ได้ไหม?

อ.อรรณพ: ก็ไม่ได้ครับ เพราะว่ายังมีสิ่งที่ไม่รู้ที่ยังเหลืออยู่ซึ่งยังไม่ได้เปลื้องสิ่งนี้ ยังไม่ได้เปลื้องความไม่รู้ในสิ่งที่เหลืออยู่ ที่ไม่รู้นะครับ เข้าใจแล้วครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็เป็นคนตรงยิ่งขึ้น จึงจะค่อยๆ ละคลายความยาก และความไม่รู้ที่ลวงอยู่ตลอดเวลา เป็น อามิส ใช่ไหม?

อ.อรรณพ: ใช่ครับ เมื่อวานสนทนา กัปปมาณวกปัญหาครับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์ทั้งหลายอยู่ในสังสาระ ด้วยโมหะ ด้วยอวิชชา ซึ่งเป็นเครื่องกั้น แล้วก็ตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ถ้าไม่ได้ฟังอย่างนี้ก็เป็นเรื่องเป็นพยัญชนะอีกแล้วใช่ไหม แต่ที่ท่านอาจารย์กล่าวตรงนี้ ก็คือเพื่ออธิบาย อรรถะของพระพุทธพจน์ นี้เลยครับ

ท่านอาจารย์: ให้รู้ว่า สิ่งที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วอยู่ไหน? เห็นไหม! เดี๋ยวนี้ทุกคำ

อ.อรรณพ: ไม่ใช่อยู่หน้าไหน ในพระสูตรไหน แต่อยู่ไหนในขณะนี้ ตรงนี้คือประโยชน์ที่แท้จริง ซึ่งถ้าท่านอาจารย์ไม่กล่าว หลงไปแม้จะสะสมอุปนิสัยมาที่จะศึกษาพระธรรม แต่เราก็ อ้าว!! อยู่ตรงไหนนะ พระสูตรนี้กัปปมารวกปัญหาแสดงว่าอย่างไร พระสูตรนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้อย่างโน้นครับ

ก็ดี แต่ว่ายังห่างกับประโยชน์ที่แท้จริง ก็คือเป็นไปเพื่อความเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ คำเหล่านี้ก็จะเป็นประโยชน์หมดเลย อันนี้เป็นความละเอียดมาก

ท่านอาจารย์: ฟังจบแล้ว อยู่ไหน?

อ.อรรณพ: อยู่เดี๋ยวนี้แหละที่ยังไม่รู้เดี๋ยวนี้

ท่านอาจารย์: เห็นไหม ไม่เคยคิดเลย คิดว่า เข้าใจเรื่องราวหมดแล้ว แต่อยู่ไหนไม่รู้ไม่เคยสนใจไม่เคยใส่ใจ แล้วจะพบได้อย่างไร จะเข้าใจได้อย่างไรในสิ่งที่กำลังมี

อ.อรรณพ: เปิดดูประทับใจมาก แต่ก็ไม่รู้ว่า อะไรอยู่ไหน สัตว์ทั้งหลายมีอวิชชาเป็นเครื่องกั้นไว้

ท่านอาจารย์: อยู่ไหน?

อ.อรรณพ: มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้

ท่านอาจารย์: อยู่ไหน?

อ.อรรณพ: อยู่ตอนนี้ที่ยังไม่รู้ กั้นไว้ตอนนี้ครับ อวิชชากั้นไว้ตอนนี้ หลังเห็นก็กั้นไว้

ท่านอาจารย์: ค่อยๆ เข้าใกล้ตัวจริงที่ถูกขวางถูกบังถูกปิดไว้ด้วยความไม่รู้นานเท่าไหร่

อ.อรรณพ: เพราะฉะนั้น ตัณหาเป็นเครื่องกั้น ก็เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ที่หลังเห็นแล้วก็กั้นทันที ๓ ขณะ แทนที่จะเกิดปัญญารู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏใช่ไหมครับ แต่อวิชชาก็กั้น

ท่านอาจารย์: เห็นไหมว่า ต้องมั่นคงระดับไหนจึงสามารถค่อยๆ ใกล้ แล้วค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ แตะจนกระทั่งมั่นคงจนกระทั่งสามารถรู้ความจริงได้ ละการที่เคยไม่รู้ความจริงเดี๋ยวนี้

อ.อรรณพ: อวิชชาก็กั้นไว้เดี๋ยวนี้ ตัณหาก็ประกอบไว้เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ที่หลังเห็นแล้ว โลภะก็ไหลไปแล้วประกอบไว้แล้วเป็นอย่างนี้จริงๆ สมกับที่ท่านแสดงไว้ไม่ว่าจะในพระอภิธรรม ในพระสูตร แม้กระทั่งในพระวินัย โดยเฉพาะพระอภิธรรม พระสูตร ก็เป็นเดี๋ยวนี้จริงๆ ครับ ถ้าไม่เข้าใจเดี๋ยวนี้ก็ไร้ประโยชน์จริงๆ

ผมซาบซึ้งตรงนี้มาก เพราะท่านอาจารย์เกื้อกูลในระยะหลังนี่มากที่สุดเลย มิเช่นนั้น ไปแล้ว สัตว์ทั้งหลายมีอวิชชาเป็นเครื่องกั้นไว้ เอาแล้ว!! ดูดีนี่ แล้วก็รู้แล้วนี่ กั้นไว้ตอนไหน เดี๋ยวนี้ ขณะไหน อะไร อย่างไร ท่านอาจารย์บอกว่า ค่อยๆ ใกล้ๆ ๆ ใกล้จนรู้ตามความเป็นจริงในที่สุดครับท่านอาจารย์ ก็ต้องอาศัยเวลา จิรกาลภาวนา อบรมยาวนาน จะไปเข้าข้างตัวเองว่า โอ้ย!! เราในอดีตก็คงอบรมมายาวนาน คงมีต้นทุน ปุพเพกตบุญญตา มาอะไรต่ออะไร ก็เพ้อไป แต่ว่าประเมินได้ว่า เดี๋ยวนี้รู้อะไร? เดี๋ยวนี้ท่านอาจารย์พูดเรื่องเห็นเป็นกี่หมื่นกี่แสนครั้งแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่า รู้ว่าเห็นเกิดดับ รู้ว่าเป็นธาตุรู้ก็ไม่ใช่ง่าย กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ

ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่ ..

ผู้ตั้งอยู่ในท่ามกลางสงสาร [กัปปมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๑๐]

เป็นผู้ทำบุญไว้ในกาลก่อน [ปฏิสัมภิทามรรค]

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 2 ธ.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ