ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๕
โดย khampan.a  21 ก.ย. 2568
หัวข้อหมายเลข 50974

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๕



~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจถูกต้องว่า ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์แล้ว สัตว์โลก ไม่ว่าใคร ไม่ว่าจะเป็นเทพ จะเป็นพรหม เป็นใครทั้งหมด ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ต้องไตร่ตรองเพื่อที่จะได้ไม่ลืมในความเป็นจริงของธรรม
~ กิเลสเป็นเรื่องที่ละเอียด ที่ว่าละเอียดก็เพราะเหตุว่ามีมาก ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จนท่านเกือบจะไม่รู้สึกเลยว่าเป็นกิเลส เป็นสิ่งที่ทำให้จิตเศร้าหมองเป็นอกุศล ทางเดียวที่จะละคลายกิเลสได้ ก็ด้วยการศึกษาเรื่องของจิตใจ เรื่องของกิเลส พร้อมกับการเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ชัดในสภาพธรรมนั้นๆ ได้
~ ในอกุศลกรรมบถข้ออทินนาทาน (ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขามิได้ให้) ไม่ควรที่จะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ซึ่งถ้าท่านไม่เห็นว่ากิเลสและอกุศลกรรมทั้งหมดเป็นสิ่งที่ควรละเว้น ควรบรรเทา ควรขัดเกลาให้น้อยลง ท่านอาจจะคิดว่าท่านไม่ถึงกับทำลายชีวิตของบุคคลอื่น สัตว์อื่น เพียงแต่มีความต้องการในวัตถุเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ท่านก็คิดว่าไม่ควรจะมีโทษมากมาย แต่ความจริงแล้ว เป็นการทำลายจิตใจของท่านเอง ด้วยการเพิ่มพูนกิเลสอกุศลของท่านให้มีกำลังยิ่งขึ้น
~ ถ้าไม่ได้อบรมตั้งแต่เป็นเด็กจริงๆ ให้เห็นว่าการที่จะถือเอาวัตถุของบุคคลอื่นนั้นเป็นสิ่งไม่ควรกระทำ ท่านอาจจะมีอุปนิสัยสะสมมาในการถือเอาวัตถุของบุคคลอื่นทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งเมื่อโตขึ้น มีกิจการงาน มีหน้าที่ที่ท่านสามารถจะถือเอาวัตถุของบุคคลอื่นที่เจ้าของไม่ได้ให้ และกิเลสที่มีกำลังก็ย่อมจะทำให้ท่านสามารถจะกระทำทุจริตกรรมเบียดเบียนถือเอาวัตถุของผู้อื่นมาเป็นของท่านได้ โดยที่กระทำความเดือดร้อนให้กับบุคคลอื่นมาก ซึ่งท่านกระทำจนชิน จนเคย ก็เลยไม่รู้สึก ไม่คิดว่าจะเป็นโทษหรือทำให้บุคคลอื่นเดือดร้อน ซึ่งความจริงแลัวแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เล็กน้อยเท่าไรก็ตามที่เป็นของท่าน ท่านก็คงไม่ต้องการจะให้หายไป เสียไป หรือว่าถูกบุคคลอื่นถือเอาไปเป็นของตนเสีย
~ ขณะนี้เห็นจริงๆ เป็นสัจจะ เป็นธรรม เพราะฉะนั้น ปัญญาที่สามารถจะเข้าใจถูกว่า สัจจธรรมก็คือเห็นขณะนี้ ได้ยินขณะนี้ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับ ไปไม่เปลี่ยนแปลงเลย ฟังแล้วฟังอีก เพื่อเข้าใจเห็นที่กำลังเห็น นั่นคือจุดประสงค์ของการฟัง ประโยชน์ของการฟังอยู่ที่สามารถเข้าใจสิ่งที่ขณะนี้เป็นอย่างนี้ แต่ไม่เคยรู้ความจริงอย่างนี้มาก่อน เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลยเดี๋ยวนี้เองทุกอย่างที่มีจริงเป็นสัจจธรรม ฟังเพื่อให้เข้าใจลักษณะที่มีจริงๆ ซึ่งเป็นสัจจะ เป็นธรรม
~ อยู่ในโลกด้วยความไม่รู้ ด้วยความหลง ด้วยความติดข้อง ด้วยความยึดถือ เพราะฉะนั้น ผลจะเป็นอย่างไร คือ ส่วนใหญ่จะไม่คิดถึงผลข้างหน้า แต่จะมีชีวิตอยู่ และคิดถึงเฉพาะวันหนึ่งๆ พรุ่งนี้ เดือนนี้เท่านั้น แต่ลืมว่าธรรมเป็นธรรม ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ขณะแรกที่จิตสภาพธรรมเกิดเป็นธาตุรู้ และก็มีรูปธรรมเกิดด้วยไม่ได้เลือกว่าจะมาเป็นอย่างนี้ จะเป็นคนอย่างนี้ รูปร่างหน้าตาอย่างนี้ ผิวพรรณอย่างนี้ ก็ไม่ได้เลือก แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็เป็นจิตอีกระดับหนึ่งซึ่งเกิดเพราะอกุศลกรรมที่ได้ทำไว้ก็ไม่ได้เลือกว่าจะเป็นช้าง หรือว่าจะเป็นมด หรือว่าจะเป็นผีเสื้อ หรือจะเป็นงู หรือจะเป็นกระต่าย ไม่มีใครสามารถที่จะเป็นเราที่จะบังคับ หรือทำอะไรได้ทั้งสิ้น
*** ~ มีชีวิตอยู่ไปวันหนึ่งๆ ตามการสะสม และก็ตามกรรมที่กระทำแล้วที่ให้ผล ทำให้เกิดมาแล้วทุกคนต้องเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทั้งวันก็วนเวียนอยู่ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะคือสิ่งที่กระทบสัมผัสกายที่มีลักษณะที่เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หรือตึง ไหว โดยไม่รู้ว่าติดข้องแล้ว และก็เป็นทาสของสิ่งที่ปรากฏทุกวันไม่สามารถที่จะพ้นไปได้ ไม่เป็นอิสระ เป็นไปตามกำลังของโลภะบ้าง โทสะบ้างตามความไม่รู้***
~ จากการฟังพระธรรม กุศลอื่นๆ ก็จะเจริญขึ้นด้วย เห็นโทษของอกุศลไม่ใช่เฉพาะความไม่รู้ แต่เห็นโทษของโลภะ เห็นโทษของความตระหนี่ เห็นโทษของความริษยา เห็นโทษของความโกรธ เห็นโทษภัยทั้งหมดของอกุศล
~ ถ้ายังคงหนาแน่นด้วยความไม่รู้ ไม่ขัดเกลา ไม่อบรมเจริญกุศลทุกประการให้เพิ่มขึ้น การที่จะเข้าใจธรรมขณะนี้ว่าเป็นธรรมจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะถูกครอบงำด้วยอกุศลจนกระทั่งไม่สามารถที่จะละคลายได้
~ อธิษฐานไม่ใช่ขอ แต่เป็นความมั่นคงในกุศลธรรม เพราะรู้ว่า
ถ้าขณะนั้น กุศลธรรมไม่เกิดอกุศลธรรมเกิดแล้ว เพราะฉะนั้น
ทุกโอกาสที่จะเป็นกุศลแต่ละประการ แต่ละขณะที่จะเป็นไปได้
ทำทันที มิฉะนั้นแล้วอกุศลก็เพิ่มขึ้น
~ ถึงแม้กิเลสจะยังเกิดอยู่ แต่ปัญญาก็ไม่ได้หนีไปไหน หรือไม่ได้หายไปไหน แม้ว่ามีกิเลสเกิด ปัญญาก็สามารถรู้ตามความเป็นจริงได้ว่ากิเลสยังมีอยู่เพราะปัญญายังไม่ถึงขั้นที่จะดับกิเลส เพราะฉะนั้น ที่จะดับกิเลสได้ จะต้องอบรมเจริญปัญญายิ่งขึ้นกว่านั้นอีก และเมื่อได้อบรมเจริญปัญญาถึงกาล ที่สมควรจริงๆ กิเลสจึงจะดับสิ้นได้
*** ~ ทุกท่านไม่ควรที่จะลืมว่าอีกไม่นานก็ถึงชาติหน้า และชาติหน้า ท่านอยากจะเป็นบุคคลประเภทไหน อยากจะมีกิเลสน้อยหรืออยากจะมีกิเลสมาก ดูเหมือนว่าชาตินี้กิเลสมาก แต่ชาติหน้าอยากมีกิเลสน้อย เหตุกับผลก็ไม่ตรงกัน ในเมื่อชาตินี้ยังมีกิเลสมากและชาตินี้ก็ไม่ขัดเกลากิเลส ไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่ละคลาย ชาติหน้าจะกิเลสน้อยไม่ได้***
~ สำหรับชาติหน้า ทุกคนจะเป็นบุคคลใหม่ซึ่งจะไม่ย้อนกลับมาเป็นบุคคลนี้ อีกเลย และถ้าใครมีปัญญาถึงขั้นรู้อดีตของชาติหน้า ซึ่งก็คือชาตินี้เอง ชาติหน้าก็อาจจะคิดว่า ชาติก่อนไม่ควรทำอย่างนี้เลย ไม่ควรผูกโกรธอย่างนั้น ไม่ควรกล่าววาจาอย่างนั้น แต่ก็ได้กระทำไปแล้ว เพราะฉะนั้น ชาตินี้ยังมีโอกาสอยู่ที่หิริโอตตัปปะจะเกิด และละคลายอกุศล เพื่อชาติหน้าจะได้ไม่ย้อนกลับมาคิดว่า ชาติก่อนนี้ไม่ควรทำอกุศลอย่างนั้นๆ เลย
~ ทุกชีวิตที่เกิดมาแต่ละภพแต่ละชาติ ไม่แน่นอนเลย มีการเปลี่ยนแปลง บางครั้งก็เป็นกุศล บางครั้งก็เป็นช่วงเวลาของอกุศล ซึ่งไม่มีใครสามารถรู้การสะสมของกุศล และอกุศลว่า ในกาลไหนจะเป็นปัจจัยให้อกุศลเกิดมาก และในกาลไหน จะเป็นปัจจัยให้กุศลประเภทใดเกิดมาก เพราะฉะนั้น ไม่ควรประมาทในการเจริญกุศล
*** ~ ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นสงบจากอกุศล ถ้าเรามีความเป็นมิตรกับคนอื่นบ่อยๆ ใจเราสบายมาก เราจะไม่มีศัตรูเลย รับรองได้จริงๆ ว่า เราไม่มีศัตรู เพราะใจเราไม่เป็นศัตรูกับใคร คนอื่นไม่ชอบเรา เขาเดือดร้อน เขาวุ่นวาย เขาไม่ชอบเรา แต่เรามีความเป็นมิตร หวังดี ช่วยเขา เราจะไม่เดือดร้อนเลย แต่คนที่ไม่ชอบเราที่เป็นศัตรูกับเรา เดือดร้อนตลอด***
~ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำในการช่วยเหลือบุคคลหนึ่งบุคคลใด กระทำกิจในพระธรรมโดยการศึกษา โดยการอ่าน โดยการสนทนา โดยการเกื้อกูลบุคคลหนึ่งบุคคลใดก็ตาม ขณะนั้น เป็นสติทั้งนั้น เพราะถ้าสติไม่เกิด การกระทำอย่างนั้นๆ ก็เกิดไม่ได้ การศึกษาพระธรรม ถ้าพิจารณาแต่ละพยัญชนะ โดยละเอียดจริงๆ ไม่ข้าม ก็จะทำให้การอบรมเจริญปัญญาเป็นไปโดยถูกต้อง ไม่ผิดเลย
*** ~ ทุกคนเสมอกัน มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ มีความรู้สึก รักสุข เกลียดทุกข์เหมือนกัน ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ จะเห็นใจคนอื่นไหม? กาย วาจาของเรา จะดีขึ้นไหม? การอบรมเจริญปัญญาเพื่อขัดเกลากิเลสที่จะถึงการดับกิเลส แต่ถ้าไม่มีการขัดเกลาเลย แล้วเราจะดับกิเลสได้อย่างไร***
~ ถ้ารู้ว่าคนอื่นมีอกุศลอย่างไร ท่านเองก็มีอกุศลอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ก็น่าที่จะเข้าใจเห็นใจและอดทนต่ออกุศลของคนอื่นได้ ถ้าท่านสามารถมีความอดทนต่ออกุศลของคนอื่นเพิ่มขึ้น ย่อมแสดงว่าพระธรรมได้ขัดเกลาจิตใจของท่านที่เคยไม่อดทนต่ออกุศลของคนอื่น เพราะรู้สึกว่าอดทนได้ยาก แต่ถ้าในขณะนั้นเป็นกุศล จะรู้สึกว่า อดทนได้โดยไม่ยาก
*** ~ ไม่มีใครทราบใช่ไหมว่า พรุ่งนี้จะอยู่ที่ไหน ยังคงเป็นโลกนี้หรือว่าโลกอื่นก็ไม่ทราบ***




ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๔


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...



ความคิดเห็น 1    โดย swanjariya  วันที่ 21 ก.ย. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 2    โดย มังกรทอง  วันที่ 21 ก.ย. 2568

สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง


ความคิดเห็น 3    โดย chatchai.k  วันที่ 21 ก.ย. 2568

ทุกชีวิตที่เกิดมาแต่ละภพแต่ละชาติ ไม่แน่นอนเลย มีการเปลี่ยนแปลง บางครั้งก็เป็นกุศล บางครั้งก็เป็นช่วงเวลาของอกุศล ซึ่งไม่มีใครสามารถรู้การสะสมของกุศล และอกุศลว่า ในกาลไหนจะเป็นปัจจัยให้อกุศลเกิดมาก และในกาลไหน จะเป็นปัจจัยให้กุศลประเภทใดเกิดมาก เพราะฉะนั้น ไม่ควรประมาทในการเจริญกุศล

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 4    โดย jaturong  วันที่ 21 ก.ย. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย shsso2551  วันที่ 21 ก.ย. 2568

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย mammam929  วันที่ 21 ก.ย. 2568

เป็นโอกาสสุดประเสริฐที่ชาตินี้ได้เกิดเป็นมนุษย์และพบพระธรรมคำจริงช่วยให้รู้ว่ายังโง่มากหลาย ทั้งตระหนักในคุณพระรัตนตรัย มีพระธรรมเป็นที่พึ่งในการศึกษาและไตร่ตรอง เพื่อค่อยๆ เข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อยด้วยความไม่ประมาท

กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลทุกประการค่ะ