เป็นมิจฉาทิฏฐิหรือเปล่าค่ะ
โดย Jesse  15 มี.ค. 2554
หัวข้อหมายเลข 18043

รบกวนสอบถามหน่อยค่ะ

เคยมีบางครั้งที่ฟังธรรมแล้วก็คิดว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงนั้นเป็นสิ่งที่มีจริงหรือเปล่า แต่อีกใจนึงก็คิดว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น แล้วก็คิดสงสัยอยู่แบบนี้ในบางครั้ง นั่นเป็นเพราะอะไรค่ะ จริงๆ แล้ว ก็เชื่อว่าสิ่งที่ทรงแสดงเป็นเรื่องจริงและสามารถพิสูจน์ได้ แต่ทำไมถึงมีความคิดสงสัยและลังเลว่ามันไม่น่าใช่เรื่องจริง อย่างนี้จะเป็นเรื่องร้ายแรงมั๊ยค่ะ แล้วจะสามารถแก้ไขได้อย่างไร ตอนนี้มันกลายเป็นความกังวลไปแล้วค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย khampan.a  วันที่ 16 มี.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก่อนอื่นก็จะต้องเป็นผู้มีศรัทธาที่จะฟัง ที่จะศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงต่อไป ค่อยๆ สะสมปัญญาไปตามลำดับทีละเล็กละน้อย เพราะทั้งหมดเป็นธรรม ขณะนี้มีเห็น กำลังเห็นเป็นของจริง เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครบังคับให้เห็นเกิดได้ ได้ยินก็เป็นธรรม ขณะที่จิตเป็นกุศล ขณะที่จิตเป็นอกุศล เป็นต้น ล้วนเป็นธรรม ทั้งสิ้น ขณะนี้มีธรรม แต่อวิชชาไม่สามารถจะรู้ได้ถูกปกปิดด้วยอวิชชาที่สะสมมาอย่างยาวนานในสังสารวัฏฏ์ จึงทำให้ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จะเห็นได้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้สภาพธรรมแต่ละอย่างตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ พระองค์ทรงตรัสรู้ว่าวันหนึ่งๆ มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน แต่เมื่อไม่ได้ฟัง หรือ ฟังยังไม่เข้าใจก็ย่อมยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรากำลังเห็น เรากำลังได้ยิน และ ยึดถือรูปร่างกายทั้งหมดว่าเป็นตัวตนของเรา เมื่อยังไม่เข้าใจความเป็นจริงของธรรม ก็เกิดความสงสัย เกิดความกังวล เกิดอกุศลประการต่างๆ แต่เมื่ออาศัยการฟัง การศึกษา การพิจารณาก็จะค่อยๆ รู้ว่าชีวิตประจำวันที่ดำเนินไปนั้น มีสภาพธรรม ๒ อย่างใหญ่ๆ เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด คือนามธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้ และรูปธรรมซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ ซึ่งเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นความสงสัยก็จะน้อยลง ความกังวลก็จะน้อยลง มีแต่จะมีความเบาด้วยกุศล ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งไม่หนักเหมือนอกุศล จึงไม่ควรคำนึงถึงอดีตที่ล่วงไปแล้ว แต่ควรอย่างยิ่งที่จะสะสมความเข้าใจที่ถูกต้องในตั้งแต่ในขณะนี้ ด้วยการไม่ขาดการฟังพระธรรม ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 2    โดย paderm  วันที่ 16 มี.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ควรเข้าใจความจริงว่าเมื่อยังเป็นผู้หนาด้วยกิเลส ความเข้าใจธรรมยังไม่เพียงพอย่อมเป็นธรรมดาที่จะเกิดความลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้า ในพระธรรมคำสั่งสอน และอื่นๆ ซึ่งเป็นธรรมดา เพราะความไม่รู้ที่มีมาก จึงทำให้คิดพิจารณาไม่ถูกต้อง ไม่แยบคาย จึงเป็นเหตุให้เกิดความลังเลสงสัยได้ครับ ดังนั้น ในบางครั้งจึงสามารถที่จะเกิดความสงสัยได้บ้างเกิดความเห็นผิดได้บ้างครับ อกุศลเป็นสิ่งที่ไม่ดี เมื่อมีมากย่อมนำสิ่งไม่ดีมาให้ การลังเลสงสัยก็เช่นกัน เมื่อมีกำลังหรือมีมากแล้วย่อมเป็นเครื่องกั้นเป็นตะปูตรึงใจ ซึ่งทำให้การสนใจพระธรรมน้อยลง เพราะลังเลสงสัย ไม่เชื่อในพระรัตน-ตรัยนั่นเอง


ความคิดเห็น 3    โดย paderm  วันที่ 16 มี.ค. 2554

การละวิจิกิจฉาหรือความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยจึงต้องเป็นเรื่องของปัญญา คือ

การศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ก็จะค่อยๆ ละความลังเลสงสัยได้ทีละเล็กน้อย จนไม่มีความ

สงสัยอีกเลยคือเมื่อเป็นพระโสดาบัน ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมที่จะค่อยๆ

ละความลังเลสงสัย ด้วยธรรม 6 ประการดังนี้

[เล่มที่ 14] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 325

ธรรมสำหรับละวิจิกิจฉา

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละวิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) คือ ๑ .ความสดับมาก ๒. การสอบถาม ๓. ความชำนาญในวินัย ๔. ความมากด้วย

ความน้อมใจเชื่อ ๕. ความมีกัลยาณมิตร ๖. การเจรจาแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย.

ความสดับมาก...เพราะเป็นผู้ฟังพระธรรมมากด้วยความเข้าใจในพระธรรม เมื่อมีความ

เข้าใจพระธรรมมากขึ้น เข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรม เป็นธรรมดาย่อมค่อยๆ ละคลายความ

ไม่เชื่อ ความสงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรมได้ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมจึงเป็นเหตุ

ปัจจัยหนึ่งที่จะละคลายความสงสัยเสียได้

การสอบถาม...เมื่อไม่เข้าใจ ก็สอบถามและเมื่อได้เข้าใจในคำตอบ ปัญญาเจริญขึ้น

จึงละคลายความสงสัยในสิ่งที่ถามและในพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้

ความชำนาญในวินัย.....เพราะเข้าใจถึงเหตุและผลของพระพุทธองค์ที่ทรงแสดงตาม

ความเป็นจริงในส่วนอื่นๆ ย่อมละคลายความสงสัยเสียได้

ความน้อมใจเชื่อ..หมายถึงน้อมใจด้วยศรัทธาในพระพุทธเจ้า พระธรรม เมื่อมีศรัทธา

ย่อมละคลายความสงสัยเสียได้

ความมีกัลยาณมิตร...เพราะอาศัยผู้ที่ความรู้ ความเข้าใจพระธรรมและที่สำคัญคือ

เป็นผู้มีคุณธรรมย่อมสามารถเกื้อกูลบุคคลนั้นได้ ทำให้ละคลายความสงสัยได้

การเจรจาแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย.......การสนทนาพูดคุยถึงพระธรรมของพระพุทธเจ้า

สนทนาในคุณพระรัตนตรัยย่อมทำให้เกิดศรัทธา เกิดความเข้าใจในพระธรรมย่อมละ

คลายความสงสัยในพระรัตนตรัยได้ครับ


ความคิดเห็น 4    โดย paderm  วันที่ 16 มี.ค. 2554

เพราะฉะนั้นการเข้าใจพระธรรมเท่านั้นที่จะช่วยละคลายความสงสัยได้ ควรเข้าใจความ

จริงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไมได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยก็สามารถทำให้เกิดความสงสัยได้ หนทางที่ถูกต้องคือฟังให้เข้าใจในเรื่องที่ฟัง เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามีจริง เป็นธรรม แม้แต่อกุศลคือความลังเลสงสัยก็เป็นธรรมเช่นกัน เข้าใจอย่างนี้ก่อนและอาศัยการศึกษาธรรมเป็นไปตามลำดับ ก็จะค่อยๆ ละความสงสัยไปเรื่อยๆ นะครับ ไม่มีอะไรร้ายแรงเท่ากับเมื่อสงสัยแล้วเห็นผิดแล้วเลิกศึกษาพระธรรม การฟังธรรมต่อไป สอบถามและอื่นๆ จึงเกื้อกูลปัญญาและคลายความสงสัยได้ทีละเล็กละน้อยครับเชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ...เหตุและการละความลังเลสงสัย [มหาวรรค]

ธรรมสำหรับละวิจิกิจฉา [มหาวรรค]

ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


ความคิดเห็น 5    โดย ไตรสรณคมน์  วันที่ 16 มี.ค. 2554

เป็นเรื่องปกติธรรมดาของ "ปถุชน" ค่ะ ที่ยังมีความลังเล สงสัย ไม่แน่ใจในพระรัตนตรัย

เพราะเหตุว่ายังไม่ได้ประจักษ์แจ้งแทงตลอด เหมือนคนที่กำลังเดินทางไกล เมื่อยังไม่

ถึงจุดหมาย ก็ย่อมมีความลังเลสงสัยเคลือบแคลงแฝงอยู่เงียบๆ ต่อเมื่อบรรลุถึงจุด

หมายปลายทางแล้วนั่นแหละค่ะ......ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจในหนทางก็หายไปสิ้น

เหมือนพระโสดาบันที่ท่านดับ "วิจิกิจฉานุสัย" ได้ เพราะท่านได้รู้แจ้งเห็นจริง "แล้ว"

ในหนทางแห่งการบรรลุ (ว่าเป็นธรรมนำสัตว์ออกได้จริง) ด้วยเหตุนี้ความลังเลสงสัย

ในพระรัตนตรัยและในข้อปฏิบัติ (สิกขา) จึงไม่มีแก่พระอริยเจ้า และไม่ว่าอะไรจะเกิด

ขึ้น ก็ไม่อาจทำให้ศรัทธาของท่านหวั่นไหวได้เลยค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย akrapat  วันที่ 16 มี.ค. 2554

อย่ากังวลเลยครับ ปุถุชนศรัทธายังไม่มั่นคง จนกว่าจะละความเห็นผิดว่าเป็นเรานั่นแหละ ถึงจะละความสงสัยได้ พระโสดาบันละความเห็นผิดได้ และท่านมั่นคง ในพระ-รัตนตรัย เพราะตัวท่านประจักษ์แล้วด้วยปัญญานั่นเอง แต่ยังยึดตัวตนไว้อยู่เพราะปัญญาท่านยังไม่บริบูรณ์ ฉะนั้นพระโสดา จึงยังมีอารมณ์ โกรธ ยังอยากรวย ยังมีครอบครัว เพราะราคะก็ยังมี แต่ท่านไม่ผิดศีล โกรธยังไง ก็ไม่ถึงขนาดจะฆ่าใคร ราคะมากแค่ไหน ก็ไม่ผิดลูกผิดเมียชาวบ้าน ก็เพราะท่านมีสติที่เกิดขึ้นแทนอกุศลจิตที่จะทำให้ท่านทำผิดศีล หรือวิรตีเจตสิก ๓ ดวง (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ) เกิดขึ้นเพื่อวิรัต (งดเว้น) ทุจริต จึงทำให้ท่านไม่ไปสู่อบายภูมิ ศีลของท่านคือ อริยกันต-ศีล คือศีลที่พระอริยเจ้าชอบใจ บางคนบอกว่า ตัวเองเป็นพระโสดาบัน เพราะไม่ล่วงละเมิดศีล ลองถามใจตัวเองดูว่าเป็นศีลที่เกิดจากการบังคับใจตัวเองหรือเปล่า ตัวเองฝืนความรู้สึกในการรักษาศีลหรือไม่ ถ้าฝืนแสดงว่า ยังไม่ใช่พระอริยะ ศีลของพระ-อริยะคือความเป็นปกติเพราะ วิรตี ๓ ดวงนั้นเกิดในอริยมรรคหรือมรรคมีองค์ ๘ และเกิดพร้อมกันทั้ง ๓ ดวงในโลกุตตรจิต นั้นคือเป็นพระโสดาบันขึ้นไป ฉะนั้น ท่านจึงไม่ต้องรักษาศีล เพราะศีลของท่านคือ สัมมาสติ ที่เป็นไปโดยปรกติ และไม่จงใจ

จะเห็นได้ว่า ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระโสดาบัน ศรัทธาก็ยังไม่มั่นคง ยังลังเลสงสัยเป็นเรื่องธรรมดาครับ อนุโมทนา


ความคิดเห็น 7    โดย จักรกฤษณ์  วันที่ 16 มี.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น อาจารย์เผดิม และทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 8    โดย Jesse  วันที่ 16 มี.ค. 2554

ขอขอบพระคุณอาจารย์คำปั่น อาจารย์เผดิม และทุกๆ ท่านที่ช่วยอนุเคราะห์ในเรื่องนี้ค่ะ ตอนนี้ได้ความกระจ่างมากขึ้นกว่าเดิมเลยค่ะ ต้องขอบพระคุณทุกท่านอีกครั้งและอนุโมทนาในกุศลจิตด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย prakaimuk.k  วันที่ 17 มี.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย พรรณี  วันที่ 17 มี.ค. 2554

ดิฉันคิดว่าคงมีหลายคนนะคะที่คิดอย่างคุณ Jesse แต่เพราะ พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ของพระพุทธองค์ ที่มีมากจนไม่สามารถนำมากล่าวเป็นคำพูดได้จนหมด ก็มีเพียงพระธรรมคำสอน ดังที่ท่านอาจารย์สุจินต์ ได้นำมาบรรยายให้ผู้ที่ใฝ่ในการฟังและอบรมเจริญปัญญา ได้ฟังกันจนกว่าจะเกิดความเข้าใจ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย bsomsuda  วันที่ 18 มี.ค. 2554

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย ไรท์แจกแล้วไง  วันที่ 23 มี.ค. 2554

ตราบใดยังไม่ใช่โสดาบัน ร้ายแรงแน่ครับ แก้ด้วยการศึกษาสภาพธรรมครับ วันนี้อายุ

เท่าไหร่ จะตายตอนไหน ตายแล้วจะเกิดในภพภูมิใด ต่อให้เป็นมนุษย์จะครบ32ไหม เป็น

มนุษย์สมบูรณ์แล้วจะพบพระพุทธศาสนาไหม พบแล้วจะสนใจไหม สนใจแล้วจะศึกษาผิด

ทางไหม สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในอนาคตสำหรับปุถุชนอย่างเราๆ ดังนั้นวันนี้เรากำลังทำ

อะไร ที่เป็นสาระบ้าง เสบียงมีแล้วหรือยัง ทรัพย์คือสัทธา ศีล สุตตะ จาคะ ปัญญา มีแล้ว

หรือยัง สรุปคือศึกษาทั้งชีวิต ก็ไม่พอ