ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๕๘
โดย khampan.a  1 พ.ค. 2565
หัวข้อหมายเลข 43062

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๕๘


~ พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนที่ทำให้ผู้ฟังเกิดปัญญาของตัวเอง ไม่ใช่ให้เกิดความไม่รู้เลย ยิ่งศึกษาก็จะต้องเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม และเหตุผลของสภาพธรรมนั้นๆ ยิ่งขึ้น จึงจะเป็นพระพุทธศาสนา คือ เป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ พระธรรมทั้งหมด เพื่อไม่ประมาท เพื่อเข้าใจถูกว่า กิเลสมีมาก และการค่อยๆ เข้าใจธรรมเป็นหนทางดีที่ทำให้สามารถละกิเลสได้ ถ้าใครคิดว่า ละได้โดยไม่เข้าใจธรรม ผู้นั้นเข้าใจผิด
~ คนที่ไปบวช โดยไม่รู้ว่าเพื่อศึกษาธรรมและขัดเกลากิเลสตามพระธรรมวินัย ก็บาป คนที่ชักชวนคนอื่นไปบวชโดยที่เขาไม่ได้เข้าใจพระธรรมวินัย ก็ต้องเป็นบาปด้วยทั้งหมด
~ ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมและไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ก็บวชทำลายพระศาสนา ผู้ที่ไม่ศึกษาไม่เข้าใจพระธรรมแล้วบวช ผู้นั้นลักขโมยเพศบรรพชิต เป็นการบวชปลอมๆ ไม่ใช่เป็นการบวชด้วยความเคารพในพระบรมศาสดา
~ คนที่จะเป็นพระภิกษุ ต้องเป็นผู้ที่ตรงและจริงใจ ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจธรรม ไม่ได้ขัดเกลากิเลส แต่ว่าบวช เพราะอยากบวช อย่างนั้น ไม่มีความจริงใจ แต่ถ้าเป็นคนที่จริงใจที่จะขัดเกลากิเลส ย่อมรู้ตนเอง ว่า สามารถที่จะดำรงเพศบรรพชิตได้หรือไม่?
~ ธรรมเป็นเรื่องตรง และเป็นเรื่องอุปการะทุกชีวิต ที่สามารถเจริญขึ้นในกุศลธรรม ด้วยปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง แต่ถ้าเข้าใจไม่ถูกต้องเพราะไม่รู้ ก็ทำทุกอย่างด้วยความไม่รู้ เพราะด้วยความไม่รู้ จึงเป็นโลภะบ้าง เป็นโทสะบ้าง เป็นอกุศลประเภทต่างๆ บ้าง
~ เมตตาเมื่อเกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้เกิดความเดือดร้อนเลย แต่ตรงกันข้ามทำให้เกิดความสบายใจ เพราะไม่ดูหมิ่น ไม่รังเกียจคนอื่น มีความเป็นเพื่อน มีความเป็นมิตร พร้อมที่จะอุปการะ เกื้อกูลอย่างจริงใจ ​
~ คงไม่ลืมว่า กิเลสแต่ละวันเกิดหรือเปล่า? เกิด, เกิดน้อยหรือมาก? มาก, แต่ที่มากกว่านั้นอยู่ในจิต ที่ยังไม่ปรากฏ ยังไม่เกิดขึ้น ยังหยั่งไม่ได้เลย เพราะกิเลสนั้นๆ เมื่อยังไม่ใช่ผู้ประเสริฐที่ดำเนินหนทางที่ประเสริฐ ก็ดับกิเลสไม่ได้เลย
~ สัตว์โลกหนาแน่นด้วยกิเลสและความไม่รู้ อย่างไรก็ไม่สามารถที่จะไปรู้แจ้งธรรมตามลำพังด้วยตัวเอง แต่ต้องอาศัยการฟังพระธรรม แล้วมีความเข้าใจไปตามลำดับขั้น ขั้นฟังไม่ใช่ขั้นประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้น จึงเป็นผู้ไม่ประมาทในการฟัง
~ เวลาที่ตาย คือ ชาตินี้สิ้นสุดลง จะเห็นอีกไหม ก็เหมือนกับเมื่อวานนี้ ตายไปแล้วเมื่อวานนี้ ไม่กลับมาเกิดอีกแน่ๆ แต่ว่ามีวันนี้ และวันนี้ก็จะตายไปอีก จะมีพรุ่งนี้อีก ก็จะมีการเห็นอีก เพราะฉะนั้น การตาย คือ การพ้นจากสภาพของความเป็นบุคคลนี้ เป็นเพียงสมมติมรณะ ยังไม่ใช่สมุจเฉทมรณะ (ตายอย่างเด็ดขาด ซึ่งเป็นการตายของพระอรหันต์) เพราะว่า ยังมีปัจจัยให้มีการเกิดสืบต่อจากการตาย และเมื่อเกิดแล้วก็ต้องเห็นอีก ได้ยินอีก เรื่อยๆ ไป
~ แม้จะมืดหรือสว่างก็ตาม แต่ขณะใดที่ปัญญารู้ หยั่งถึงความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ขณะนั้นก็เป็นแสงสว่าง ซึ่งไม่มีแสงอื่นเปรียบได้ เพราะว่า แสงสว่างขณะนี้ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้หยั่งถึงความจริงของสภาพธรรมได้ นอกจากปัญญา
~ ต้องอาศัยกาลเวลาในการอบรมเจริญปัญญาเพื่อที่จะขัดเกลากิเลสเมื่อเห็นกิเลสมากเท่าไหร่ ก็รู้ว่าจะต้องอาศัยกาลเวลานานมากทีเดียวกว่าที่จะขัดเกลากิเลสนั้นๆ ได้ โดยไม่ขาดการฟังพระธรรม และไม่ขาดการที่จะพิจารณาตนเอง เพราะว่า พระธรรมที่ได้ฟังทั้งหมด เป็นการอบรมเจริญปัญญาและการขัดเกลากิเลสทั้งสิ้น
~ เมื่อเห็นประโยชน์ของกุศล ก็ไม่ละเลย แต่ว่าพากเพียรที่จะเจริญกุศลยิ่งขึ้น ก็จะทำให้เป็นอุปนิสยปัจจัย (ที่อาศัยที่มีกำลัง) ในทางกุศลเพิ่มขึ้น อาศัยแต่ละขณะจิตซึ่งกุศลจิตเกิด จะทำให้ทางฝ่ายอกุศลจิตเบาบางลง
~ ไม่ว่าเมื่อไหร่ชาติไหน สิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุด ก็คือ ได้เข้าใจพระธรรม เพราะสิ่งอื่น มีแล้วก็ไม่เหลือเลย แต่ความเข้าใจ ค่อยๆ สะสมไปจนกระทั่งสามารถที่จะมั่นคงขึ้นได้
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงเห็นประโยชน์ของความโทมนัส (ความเสียใจ) ใดๆ เลยทั้งสิ้น แทนที่จะมีปัญญาเข้าใจถูกต้อง กลับมาเสียเวลาร้องไห้ ร้องไห้ไปได้ประโยชน์อะไร? อกุศลทั้งหลาย มีประโยชน์อะไร? เพราะฉะนั้น คำจริงต่างหากที่จะทำให้เห็นค่าของปัญญาที่สามารถที่จะรู้ว่าสิ่งที่ควร สิ่งที่ถูกต้อง นั้น คืออย่างไร
~ แม้แต่คำว่า “ธรรม” คำเดียวอย่าเพิ่งประมาท ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม คำนี้เข้าไปถึงใจแล้วหรือยัง ชั่วคราวหรือว่าบ่อยๆ หรือว่าแม้ขณะนี้ คำว่า “สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เป็นธรรม” เรื่องของธรรมที่จะต้องศึกษา จะต้องมีมาก เพราะว่าสิ่งที่มีจริง เป็นจริงในชีวิตประจำวันทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจธรรม ไม่ใช่เพียงครั้งเดียวเรื่องเดียว แต่สิ่งที่มีจริงทั้งหมดในชีวิตประจำวัน เป็นธรรมที่จะต้องศึกษาจนกว่าจะมีความเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรม
~ ธรรมมีหลากหลาย ธรรมที่ไม่ดี ก็มี ความชั่วต่างๆ โลภะ โทสะ โมหะ ทุจริตเบียดเบียนกัน ริษยา มานะ (ความสำคัญตน) มากมาย แล้วธรรมที่เป็นฝ่ายดี ก็มี แล้วถ้าไม่มีปัญญา สามารถที่จะเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงอย่างนี้ไหม? เพราะว่า หลายคนเข้าใจว่าสิ่งที่ไม่ดีนั่นแหละดี แต่ว่าปัญญา ต้องรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แล้วธรรม ก็ตรง เปลี่ยนไม่ได้
~ กว่าจะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็จะต้องมีปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจในความจริงทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรม (สิ่งที่มีจริง) ไม่ใช่ว่าตรงไปถึงก็สามารถที่จะรู้ว่าเป็นธรรมได้เลย แต่กว่าจะรู้อย่างนั้น ก็ต้องเข้าใจในความเป็นจริงทีละเล็กทีละน้อย

~ เคยโกรธใครเกลียดใครไม่ชอบใคร เขาไม่ได้ตามไปโลกหน้า แต่ว่าความโกรธความเกลียดความไม่ชอบจะติดตามบุคคลนั้นไป ดีไหมล่ะมากด้วยอวิชชาความไม่รู้และอกุศลทั้งหลาย? เพราะฉะนั้น พระธรรมเท่านั้นที่จะทำให้สามารถเห็นถูกเข้าใจถูกแล้วก็เริ่มรู้โทษของอกุศลแล้วก็เห็นประโยชน์ของการที่จะทำดี ไม่ใช่เพื่อเรา แต่เพราะเหตุว่า เป็นธรรมฝ่ายดีซึ่งตรงกันข้ามกับธรรมฝ่ายไม่ดี แล้วก็ต้องศึกษาธรรมให้เข้าใจขึ้น
~ ตลอดชีวิต อะไรประเสริฐที่สุด? เข้าใจพระธรรม เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะทุกสิ่งที่คิดว่าสำคัญหรือว่าดี ที่ชอบมากๆ ก็หมดแล้ว แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย และโอกาสที่จะได้เข้าใจพระธรรม ไม่นาน ใช้คำว่า ไม่นาน เพราะชีวิตมนุษย์ ไม่นาน แล้วก็มนุษย์แต่ละคน ก็ไม่มีการที่จะรู้ล่วงหน้าเลยว่าจะจากความเป็นบุคคลนี้เมื่อไหร่ ลองคิดถึงโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม อีกไม่นาน ก็จะทำให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาทแล้วก็เห็นประโยชน์ของการสะสมความเห็นถูก
~ พระมหากรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อสัตว์โลก ด้วยการทรงแสดงพระธรรม ทรงพร่ำสอนอยู่บ่อยๆ เนืองๆ เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกของผู้ที่มีโอกาสได้ฟังได้ศึกษาเป็นสำคัญ จากบุคคลที่เต็มไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยความติดข้อง เต็มไปด้วยความโกรธ เต็มไปด้วยความไม่รู้ ก็สามารถขัดเกลาละคลายจนกระทั่งสามารถดับจนหมดสิ้นได้




ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๕๗


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย petsin.90  วันที่ 1 พ.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย มังกรทอง  วันที่ 1 พ.ค. 2565

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 3    โดย aurasa  วันที่ 1 พ.ค. 2565


กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย panasda  วันที่ 1 พ.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย chatchai.k  วันที่ 1 พ.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย Sea  วันที่ 1 พ.ค. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง กราบขอบพระคุณอาจารย์คำปั่น และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย natthayapinthong339  วันที่ 2 พ.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย Wiyada  วันที่ 2 พ.ค. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ พระธรรมไพเราะลึกซึ้ง ยิ่งฟังยิ่งซาบซึ้งในพระมหากรุณาคุณของพระพุทธองค์ค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย ปาริชาตะ  วันที่ 2 พ.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย jaturong  วันที่ 3 พ.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 11    โดย เข้าใจ  วันที่ 3 พ.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย Sottipa  วันที่ 3 พ.ค. 2565

อนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 13    โดย เมตตา  วันที่ 3 พ.ค. 2565

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง และกราบยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 14    โดย Sottipa  วันที่ 4 พ.ค. 2565

อนุโมทนา


ความคิดเห็น 15    โดย เมตตา  วันที่ 4 พ.ค. 2565

ขอบพระคุณและยินดีในความดี อ.คำปั่น ด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 16    โดย เจียมจิต สุขอินทร์  วันที่ 6 พ.ค. 2565

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส กราบอนุโมทนาค่ะ