จนกว่าปัญญาจะเห็นโลภะ
โดย เมตตา  14 ก.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 50387

อ.วิชัย: ฟังแล้วก็ได้ประโยชน์มากๆ ได้พิจารณาไตร่ตรองแม้แต่การที่จะเป็นผู้มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมครับ แต่มีปัจจัยของกุศลความดีที่จะประพฤติตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีโอกาสได้ศึกษาหรือเปล่า นี่ก็เป็นการเตือนอย่างยิ่งครับท่านอาจารย์

ประเด็นหนึ่งก็คือ ความเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา ครับ ซึ่งขณะนี้ก็มีสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่ก็หลงลืมเสมอ ครับ ไม่ว่าจะทำกิจหน้าที่อะไรก็ตามแต่ พระธรรมแต่ละคำก็เตือนที่จะให้ศึกษาในความเป็นจริงของธรรมะเดี๋ยวนี้ครับ

กราบเท้าท่านอาจารย์ครับจากเมื่อวานนี้ก็ได้สนทนาคลิปเรื่อง สะสมปัญญาทีละน้อย ซึ่งตอนท้ายของคลิป อ.อรรณพได้เรียนถามท่านอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องของอกุศลโดยเฉพาะ โลภะ มีการสะสม มีการแนบเนียน มีหลากหลายเล่ห์ที่จะมีความเป็นเราที่จะได้บุญ เพราะว่าการที่จะฟังเรื่องของการกุศล บางคนก็อยากได้บุญมากๆ บางคนก็อยากทำความดีมากๆ ก็กระทำตามเลยในสิ่งที่ตนได้ฟังโดยที่ไม่ได้รู้จริงๆ เลยว่า ขณะนั้นเป็นบุญหรือเปล่า เป็นความโลภติดข้องในบุญหรือเปล่า ครับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ก็ตอบว่า จนกว่าปัญญาจะเห็นโลภะ

กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ การที่จะเข้าใจความละเอียดครับ โลภะก็มีในชีวิตประจำวัน แม้แต่การอยากได้บุญครับ และ ปัญญาจะเห็นโลภะอย่างไร ครับ

ท่านอาจารย์: ปัญญาสามารถรู้ทุกอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงหรือเปล่า?

อ.วิชัย: รู้ทุกอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงแน่นอนครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจทีละเล็กทีละน้อยอย่างที่เราบอกว่า กำลังศึกษาทีละเล็กทีละน้อย จะถึงเวลาที่สามารถจะเข้าใจแม้โลภะขณะนั้นได้ไหม?

อ.วิชัย: ถ้าไม่มีการศึกษาโดยลำดับ ไม่มีปัญญาเจริญขึ้น แม้โลภะเกิดก็ไม่เห็นครับว่าเป็นโลภะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงสิ่งที่มีจริง อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยที่จะให้อะไรเกิดละเอียดมาก เพราะเดี๋ยวนี้พระองค์ทรงแสดงกี่คำในพระไตรปิฎก ไม่มีสักคำที่เรารู้เดี๋ยวนี้ใช่ไหม?

อ.วิชัย: เดี๋ยวนี้ทุกๆ ขณะครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น อดทนไหมที่จะรู้ว่า ยังไม่พอ สิ่งที่กำลังปรากฏนี่แหละ ค่อยๆ ฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจจนสามารถรู้ ค่อยๆ น้อมไปสู่ลักษณะที่เป็นอย่างนั้น จนสามารถที่จะรู้ได้ แต่ละหนึ่งๆ ซึ่งต่างกัน ไม่เช่นนั้นก็ปนกัน ปนกันแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า อะไรเป็นอะไร อะไรเกิดอะไรดับ

เพราะฉะนั้น ต้องฟังทุกคำ ไม่เลือกเลยทุกคำ สามารถที่จะค่อยๆ รู้ความลึกซึ้งหลายระดับของธรรมะได้

ได้ยินคำว่า ปริยัติ รอบรู้ในธรรมะในอริยสัจจธรรมรอบที่ ๑ รู้ว่า ทุกคำกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เห็นไหม ไม่ใช่ว่า ให้เราฟังแล้วตัวจริงอยู่ไหนไม่รู้!! ขณะนี้มีตัวจริงๆ มีสิ่งที่มีจริง แต่เมื่อไม่รู้ พระองค์ก็ทรงแสดงความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ นี่คือเป็นการศึกษา จนกว่าความเข้าใจจะเกิดขึ้น จนถึงละว่า แม้เข้าใจก็ไม่ใช่เรา เห็นไหม ไม่เหลืออะไรที่จะเป็นเราได้เลย นั่นคือประโยชน์สูงสุดของการที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี ตรัสรู้ความจริงจนสามารถที่จะดับกิเลสได้หมด ดับเหตุที่จะให้เกิดได้หมด ไม่มีการเกิดซึ่งเป็นทุกขอริยสัจจะอีกเลย

เพราะฉะนั้น หวังที่จะเป็นอย่างนั้นรวดเร็วไหม? ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่รู้ว่า หนทางละมี ไม่ใช่หนทางจะได้จะรู้จะเอา แต่เป็นหนทางละทั้งหมด ตั้งแต่ละความไม่รู้ จึงมีความสามารถที่จะเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ จนกว่าจะ รู้ขึ้นๆ จนกว่าจะคลายความติดข้อง

ก็เป็นชีวิตธรรมดาอย่างนี้ปกติ สิ่งที่เกิดมีในขณะนี้ แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่มีการสะสมมาเป็นปัจจัยที่จะให้เกิดก็เกิดไม่ได้ ทุกอย่างไม่มีใครทำ?? ไม่มีใครทำให้ใครโกรธ หรือทำให้ใครเสียใจเสียอะไร แต่ต้องเป็นบุคคลนั้นเอง เหตุเกิดที่ไหน ผลก็ต้องมีตรงนั้น

อ.วิชัย: ยิ่งฟังก็ยิ่งพิจารณา ไม่มีหนทางอื่นเลยนะครับ นอกจากการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งปัญญาก็เป็นธรรมะที่รู้ความเป็นจริงโดยประการทั้งปวงจริงๆ ที่ปรากฏแก่ปัญญา

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น นี่เป็นสัจจบารมี และลองคิดดู ถ้าไม่มีสัจจบารมี จะมีการรู้ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงได้ไหม?

อ.วิชัย: ไม่ได้แน่นอนครับ ต้องเป็นจริงตั้งแต่แรกครับ

ท่านอาจารย์: ต้องละความไม่รู้ ละความติดข้อง ละความต้องการในสิ่งซึ่งหนามากเหนียวมากแน่นมากลึกมาก คิดดู!! จนกว่าจะหมดตามลำดับ จึงจะรู้ว่า นี่คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่งที่ประเสริฐสุด ให้ความเข้าใจซึ่งไม่เคยเกิดมีได้ก็เกิด แล้วก็เพิ่มขึ้นจนกระทั่งรู้ความจริงได้

แล้วจะหาใครล่ะ!! ที่จะเป็นอย่างนี้ นอกจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ด้วยพระมหากรุณาให้เราได้รู้ตามด้วย

ราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 14 ก.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ