จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ได้อย่างไร
โดย สารธรรม  16 ธ.ค. 2567
หัวข้อหมายเลข 49110

ต้องศึกษาด้วยความละเอียดด้วยความเคารพยิ่งว่า จริงหรือไม่ ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ให้เป็นการไตร่ตรองของคนที่ฟัง เพื่อปัญญาของคนนั้นจะเริ่มเกิดขึ้น และรู้ความจริงว่าถ้าไม่มีการฟังพระธรรม จะไม่สามารถเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ


รับฟัง ...

วินัยเป็นปริยัติ

พระคุณเจ้า ท่านอาจารย์ก็ได้เน้นย้ำให้ฟังว่าจะต้องเป็นธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ และเป็นของจริง สิ่งที่มีจริงที่กำลังเกิดดับแต่ละหนึ่ง แต่ว่าการเรียนของอาตมานั้น เป็นการเรียนที่มีแต่พระสูตร เป็นเรื่องราว เป็นคำศัพท์ เป็นบัญญัติหมดเลย การเรียนการศึกษาของพระภิกษุสามเณรในวัดที่จะต้องมีการบริกรรม มีการท่องบทพระพุทธพจน์เพื่อการทรงจำแล้วก็เรียนพระสูตร สามารถที่จะเข้าใจในสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ได้อย่างไร

ท่านอาจารย์ ไม่เข้าใจเจ้าค่ะ เพราะเหตุว่าเป็นชื่อ เป็นเรื่อง เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครจะคิดว่านับถือพระพุทธศาสนา แต่ไม่รู้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แสดงชัดเจน ธรรมไม่ใช่ค่อนข้างยาก แต่ยากที่สุด ลึกซึ้งที่สุด ยากที่ใครจะรู้ได้ เช่น เห็น แค่เห็นคือผู้ที่ทรงตรัสรู้ ไม่มีสัตว์บุคคลใดๆ ในสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเลย เพราะสิ่งนั้นเป็นเพียงสิ่งที่สามารถกระทบตา ไม่ใช่กระทบอย่างอื่น มีจริง และก็กระทบอื่นไม่ได้ นอกจากต้องกระทบกับจักขุปสาทซึ่งเป็นรูปที่กระทบกันได้ และต้องมีจิตซึ่งไม่ใช่ตา แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ แต่เป็นธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น แค่นี้ก็ลึกซึ้ง คือเดี๋ยวนี้เอง เพราะฉะนั้นเมื่อธาตุรู้คือจิต เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป จึงเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อได้

สิ่งที่กำลังเกิดดับสืบต่อเร็วที่สุดไม่ปรากฏเลยว่าดับหรือเกิด นี่ก็เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ชาวโลกซึ่งไม่ได้บำเพ็ญบารมีมาที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งซึ่งเกิดดับสืบต่อเพราะเหตุว่าเร็วสุดที่จะประมาณ

เมื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมคือความจริงของสิ่งที่มีที่ปรากฏให้คนที่ได้ยิน ได้ฟัง สามารถไตร่ตรองเข้าใจถูก นี่คือพระมหากรุณา เพราะฉะนั้นถ้าไม่เริ่มต้นจากการรู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร ตรัสรู้อะไร ตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งมีอยู่ทุกกาลสมัย ทุกขณะ ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้จริงๆ ก็ไม่ได้ศึกษาธรรม และไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย ด้วยเหตุนี้ชื่อทั้งหลายก็เป็นชื่อ พระคุณเจ้าก็ศึกษามาแล้วทั้งพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรมด้วย แต่พระอภิธรรมที่ศึกษามาก็ล้วนเป็นชื่อ ทั้งๆ ที่กำลังกล่าวถึงจิตเห็น ภาษาบาลีคือ จักขุวิญญาณ รู้อะไร รู้สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ภาษาบาลีคือรูปารมณ์ แค่นี้ก็ผ่านไปแล้ว ไม่ได้เข้าใจเลยว่าเมื่อไหร่ ก็เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น

การศึกษาธรรมไม่ใช่ไปศึกษาชื่อ ว่าจิตอะไรเกิดก่อนจิตเห็น แล้วจิตอะไรเกิดต่อจากจิตเห็น แต่เดี๋ยวนี้มีเห็นแล้วก็ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏว่านี่เป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ว่าไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เพียงแต่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

ต้องศึกษาด้วยความละเอียดด้วยความเคารพยิ่งว่าจริงหรือไม่ ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ให้เป็นการไตร่ตรองของคนที่ฟังเพื่อปัญญาของคนนั้นจะเริ่มเกิดขึ้น และรู้ความจริงว่าถ้าไม่มีการฟังพระธรรมจะไม่สามารถเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะไม่รู้ว่าธรรมเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปตรงตามคำที่ได้ฟัง ก็คิดว่าศึกษาพระอภิธรรมเป็นชื่อต่างๆ คิดว่าศึกษาพระสูตรเป็นเรื่องต่างๆ คิดว่าศึกษาพระวินัยเป็นความประพฤติทางกายทางวาจาต่างๆ แต่ก็คือเดี๋ยวนี้ทั้งหมดเจ้าค่ะ

ศึกษาธรรมให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ไปศึกษาคำหรือชื่อ ถ้าไม่มีธรรมที่มีจริง คำหรือชื่อต่างๆ นั้นก็มีไม่ได้เลย แต่เพราะธรรมหลากหลายอย่างนี้ จึงทรงแสดงพระธรรมตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ โดยทรงจำแนกธรรมซึ่งใครก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า เห็น ขณะที่เห็นปรากฏ ไม่รู้ว่าขณะนั้นเห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป ไม่มีคน ไม่มีสิ่งของไม่มีสิ่งใดๆ ในสิ่งที่เห็น ส่องกระจกมีใครในกระจก

รับฟัง ... วินัยเป็นปริยัติ