[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 562
ยุคนัทธวรรค
๖. ปฏิสัมภิทากถา
ว่าด้วยปฏิสัมภิทา ๔ หน้า 562
อรรถกถาปฏิสัมภิทากถา
อรรถกถาธรรมจักกัปปวัตตนวาร หน้า 576
อรรถกถาสติปัฏฐานวารเป็นต้น หน้า 585
อรรถกถาสัตตโพธิสัตตวารเป็นต้น หน้า 586
อรรถกถาฉพุทธธรรมวาร หน้า 587
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 562
ยุคนัทธวรรค ปฏิสัมภิทากถา
ว่าด้วยปฏิสัมภิทา ๔
[๕๙๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุเบญจวัคคีย์ ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนสุด ๒ ประการนี้ บรรพชิตไม่ควรเสพ ส่วนสุด ๒ ประการเป็นไฉน คือการประกอบความพัวพันกามสุขในกามทั้งหลายอันเป็นของเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ การประกอบการทำตนให้ลำบาก เป็นทุกข์ ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มัชฌิมาปฏิปทาอันไม่เกี่ยวข้องส่วนสุดทั้ง ๒ ประการนี้นั้น ตถาคตตรัสรู้แล้ว ทำจักษุ ทำญาณ (เห็นประจักษ์รู้ชัด) ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็มัชฌิมาปฏิปทาที่ตถาคตตรัสรู้แล้ว ทำจักษุ ทำญาณ เป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น เป็นไฉน อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แล คือสัมมาทิฏฐิ ฯ สัมมาสมาธิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มัชฌิมาปฏิปทานี้นั้นแล ตถาคตตรัสรู้แล้ว ทำจักษุ ทำญาณ ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน.
[๕๙๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจนี้แล คือแม้ความเกิดก็เป็นทุกข์ แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์ แม้ความป่วยไข้ก็เป็นทุกข์ แม้ความตาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 563
ก็เป็นทุกข์ ความประจวบกับสัตว์และสังขารอันไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสัตว์และสังขารอันเป็นที่รักเป็นทุกข์ แม้ความไม่ได้สมปรารถนาก็เป็นทุกข์ โดยย่ออุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขสมุทยสัจนี้แล คือตัณหาอันให้เกิดในภพต่อไป อันสหรคตด้วยความกำหนัด ด้วยสามารถความเพลิดเพลิน เป็นเหตุให้เพลินในอารมณ์นั้นๆ ได้แก่ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้แล คือความดับตัณหานั้นแลโดยความสำรอกไม่เหลือ ความสละ ความสละคืน ความปล่อย ความไม่พัวพัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้แล คืออริยมรรคมีองค์ ๘ คือสัมมาทิฏฐิ ฯ สัมมาสมาธิ.
[๖๐๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เรายังไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้ ฯ เรากำหนดรู้แล้ว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทัยอริยสัจ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล ควรละ ฯ เราละได้แล้ว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 564
ที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล ควรทำให้แจ้ง ฯ เราทำให้แจ้งแล้ว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล ควรเจริญ ฯ เราได้เจริญแล้ว.
[๖๐๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ยถาภูตญาณทัศนะมีวนรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ ด้วยประการฉะนี้ ในอริยสัจ ๔ ของเรายังไม่หมดจดดีเพียงใด เราก็ยังไม่ปฏิญาณว่า ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์เพียงนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่เมื่อใดแล ยถาภูตญาณทัศนะมีวนรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ ด้วยประการฉะนี้ ในอริยสัจ ๔ ของเราหมดจดดีแล้ว เมื่อนั้นเราก็ปฏิญาณว่า ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ก็แลญาณทัศนะเกิดขึ้นแก่เราว่า เจโตวิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้มีในที่สุด (ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย) บัดนี้ ไม่มีการเกิดในภพต่อไป พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว ภิกษุปัญจวัคคีย์ชื่นชมยินดีพระพุทธภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับเป็นธรรมดา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 565
ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศธรรมจักรแล้ว ภุมมเทวดาก็ประกาศก้องว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังธรรมจักรอันประเสริฐนี้ ที่สมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลกให้เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี เทวดาชั้นจาตุมหาราช ได้ฟังเสียงของภุมมเทวดาแล้ว ฯ เทวดาชั้นดาวดึงส์ เทวดาชั้นยามา เทวดาชั้นดุสิต เทวดาชั้นนิมมานรดี เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี เทวดาผู้นับเนื่องในหมู่พรหมก็ประกาศก้องว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังธรรมจักรอันประเสริฐนี้ ที่สมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลกให้เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี.
เพราะเหตุดังนี้แล โดยขณะระยะครู่เดียวนั้น เสียงก็บันลือลั่นไปจนตลอดพรหมโลก และหมื่นโลกธาตุนี้ก็สะเทือนสะท้านหวั่นไหว อนึ่ง แสงสว่างอย่างยิ่ง หาประมาณมิได้ ก็ปรากฏขึ้นในโลก ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานว่า ท่านผู้เจริญ ภิกษุโกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ท่านผู้เจริญ ภิกษุโกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ เพราะอุทานดังนี้แล ท่านโกณฑัญญะจึงมีนามว่า อัญญาโกณฑัญญะ ดังนี้.
[๖๐๒] จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ คำว่า จักษุเกิดขึ้น ฯ แสงสว่างเกิดขึ้นนี้ เพราะอรรถว่ากระไร.
คำว่า จักษุเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า เห็น คำว่า ญาณเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า รู้ คำว่า ปัญญาเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า ทราบชัด คำว่า วิชชาเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า แทงตลอด คำว่า แสงสว่างเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า สว่างไสว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 566
จักษุเป็นธรรม ญาณเป็นธรรม ปัญญาเป็นธรรม วิชชาเป็นธรรม แสงสว่างเป็นธรรม ธรรม ๕ ประการนี้ เป็นอารมณ์และเป็นโคจรของธรรมปฏิสัมภิทา ธรรมเหล่าใดเป็นอารมณ์ของธรรมปฏิสัมภิทา ธรรมเหล่านั้นเป็นโคจรของธรรมปฏิสัมภิทา ธรรมเหล่าใดเป็นโคจรของธรรมปฏิสัมภิทา ธรรมเหล่านั้นเป็นอารมณ์ของธรรมปฏิสัมภิทา เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกญาณในธรรมทั้งหลายว่า ธรรมปฏิสัมภิทา.
ความเห็นเป็นอรรถ ความรู้เป็นอรรถ ความทราบชัดเป็นอรรถ ความแทงตลอดเป็นอรรถ ความสว่างไสวเป็นอรรถ อรรถ ๕ ประการนี้ เป็นอารมณ์และเป็นโคจรของอรรถปฏิสัมภิทา อรรถเหล่าใดเป็นอารมณ์ของอรรถปฏิสัมภิทา อรรถเหล่านั้นเป็นโคจรของอรรถปฏิสัมภิทา อรรถเหล่าใดเป็นโคจรของอรรถปฏิสัมภิทา อรรถเหล่านั้นเป็นอารมณ์ของอรรถปฏิสัมภิทา เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกญาณในอรรถทั้งหลายว่า อรรถปฏิสัมภิทา.
การกล่าวพยัญชนนิรุตติเพื่อแสดงธรรม ๕ ประการ การกล่าวพยัญชนนิรุตติเพื่อแสดงอรรถ ๕ ประการ นิรุตติ ๑๐ ประการนี้ เป็นอารมณ์และเป็นโคจรของนิรุตติปฏิสัมภิทา ธรรมและอรรถเหล่าใดเป็นอารมณ์ของนิรุตติปฏิสัมภิทา ธรรมและอรรถเหล่านั้นเป็นโคจรของนิรุตติปฏิสัมภิทา ธรรมและอรรถเหล่าใดเป็นโคจรของนิรุตติปฏิสัมภิทา ธรรมและอรรถเหล่านั้นเป็นอารมณ์ของนิรุตติปฏิสัมภิทา เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกญาณในนิรุตติทั้งหลายว่า นิรุตติปฏิสัมภิทา.
ญาณ ๒๐ ประการนี้ คือญาณในธรรม ๕ ประการ ญาณในอรรถ ๕ ประการ ญาณในนิรุตติ ๑๐ ประการ เป็นอารมณ์และเป็นโคจรของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 567
ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ญาณในธรรมเหล่าใดเป็นอารมณ์ของปฏิภาณปฏิสัมภิทา ญาณในธรรมเหล่านั้นเป็นโคจรของปฏิภาณปฏิสัมภิทา ญาณในธรรมเหล่าใดเป็นโคจรของปฏิภาณปฏิสัมภิทา ญาณในธรรมเหล่านั้นเป็นอารมณ์ของปฏิภาณปฏิสัมภิทา เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกญาณในปฏิภาณทั้งหลายว่า ปฏิภาณปฏิสัมภิทา.
[๖๐๓] จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็ทุกขอริยสัจนี้นั้นแลควรกำหนดรู้ ฯ เรากำหนดรู้แล้ว คำว่า จักษุเกิดขึ้น ญาณเกิดขึ้น ปัญญาเกิดขึ้น วิชชาเกิดขึ้น แสงสว่างเกิดขึ้น เพราะอรรถว่ากระไร.
คำว่า จักษุเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า เห็น ฯ คำว่า แสงสว่างเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า สว่างไสว.
จักษุเป็นธรรม ฯ แสงสว่างเป็นธรรม ธรรม ๕ ประการนี้ เป็นอารมณ์และเป็นโคจรของธรรมปฏิสัมภิทา ฯ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกญาณในปฏิภาณทั้งหลายว่า ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ในทุกขอริยสัจมีธรรม ๑๕ มีอรรถ ๑๕ มีนิรุตติ ๓๐ มีญาณ ๖๐.
[๖๐๔] จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทยสัจ ฯ จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล ควรละ ฯ เราละได้แล้ว ฯ ในทุกขสมุทัยอริยสัจ มีธรรม ๑๕ มีอรรถ ๑๕ มีนิรุตติ ๓๐ มีญาณ ๖๐.
จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ ฯ จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 568
ที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล ควรทำให้แจ้ง ฯ เราทำให้แจ้งแล้ว ฯ ในทุกขนิโรธอริยสัจ มีธรรม ๑๕ มีอรรถ ๑๕ มีนิรุตติ ๓๐ มีญาณ ๖๐.
จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล ควรเจริญ ฯ เราเจริญแล้ว ฯ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ มีธรรม ๑๕ มีอรรถ ๑๕ มีนิรุตติ ๓๐ มีญาณ ๖๐ ในอริยสัจ ๔ มีธรรม ๖๐ มีอรรถ ๖๐ มีนิรุตติ ๑๒๐ มีญาณ ๒๔๐.
[๖๐๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้การพิจารณาเห็นกายในกาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็การพิจารณาเห็นกายในกายนี้นั้นแล ควรเจริญ ฯ เราเจริญแล้ว การพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายนี้ ฯ การพิจารณาเห็นจิตในจิตนี้ ฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า การพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็การพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายนี้นั้นแล ควรเจริญ ฯ เราเจริญแล้ว.
จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟัง มาก่อนว่า การพิจารณาเห็นกายในกายนี้ ฯ จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็การพิจารณาเห็นกายในกายนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 569
นั้นแลควรเจริญ ฯ เราเจริญแล้ว คำว่า จักษุเกิดขึ้น ญาณเกิดขึ้น ปัญญาเกิดขึ้น วิชชาเกิดขึ้น แสงสว่างเกิดขึ้น เพราะอรรถว่ากระไร.
คำว่า จักษุเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า เห็น คำว่า ญาณเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า รู้ คำว่า ปัญญาเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า ทราบชัด คำว่า วิชชาเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า แทงตลอด คำว่า แสงสว่าง เกิดขึ้น เพราะอรรถว่า สว่างไสว.
จักษุเป็นธรรม ญาณเป็นธรรม ปัญญาเป็นธรรม วิชชาเป็นธรรม แสงสว่างเป็นธรรม ธรรม ๕ ประการนี้ เป็นอารมณ์และโคจรแห่งธรรมปฏิสัมภิทา ธรรมเหล่าใดเป็นอารมณ์ของธรรมปฏิสัมภิทา ธรรมเหล่านั้นเป็นโคจรของธรรมปฏิสัมภิทา ธรรมเหล่าใดเป็นโคจรของธรรมปฏิสัมภิทา ธรรมเหล่านั้นเป็นอารมณ์ของธรรมปฏิสัมภิทา เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกญาณในธรรมทั้งหลายว่า ธรรมปฏิสัมภิทา.
ความเห็นเป็นอรรถ ความรู้เป็นอรรถ ความทราบชัดเป็นอรรถ ความแทงตลอดเป็นอรรถ ความสว่างไสวเป็นอรรถ อรรถ ๕ ประการนี้ เป็นอารมณ์และเป็นโคจรของอรรถปฏิสัมภิทา อรรถเหล่าใดเป็นอารมณ์ของอรรถปฏิสัมภิทา อรรถเหล่านั้นเป็นโคจรของอรรถปฏิสัมภิทา อรรถเหล่าใดเป็นโคจรของอรรถปฏิสัมภิทา อรรถเหล่านั้นเป็นอารมณ์ของอรรถปฏิสัมภิทา เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกญาณในอรรถทั้งหลายว่า อรรถปฏิสัมภิทา.
การกล่าวพยัญชนนิรุตติเพื่อแสดงธรรม ๕ ประการ การกล่าวพยัญชนนิรุตติเพื่อแสดงอรรถ ๕ ประการ นิรุตติ ๑๐ ประการนี้ เป็นอารมณ์และเป็นโคจรของนิรุตติปฏิสัมภิทา ธรรมและอรรถเหล่าใดเป็นอารมณ์ของนิรุตติปฏิสัมภิทา ธรรมและอรรถเหล่านั้นเป็นโคจรของนิรุตติปฏิสัมภิทา ธรรมและอรรถเหล่าใด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 570
เป็นโคจรของนิรุตติปฏิสัมภิทา ธรรมและอรรถเหล่านั้นเป็นอารมณ์ของนิรุตติปฏิสัมภิทาเพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกญาณในนิรุตติทั้งหลายว่า นิรุตติปฏิสัมภิทา.
ญาณ ๒๐ ประการ คือญาณในธรรม ๕ ประการ ญาณในอรรถ ๕ ประการ ญาณในนิรุตติ ๑๐ ประการ เป็นอารมณ์และเป็นโคจรของปฏิภาณปฏิสัมภิทา ญาณในธรรมเหล่าใดเป็นอารมณ์ของปฏิภาณปฏิสัมภิทา ญาณในธรรมเหล่านั้นเป็นโคจรของปฏิภาณปฏิสัมภิทา ญาณในธรรเหล่าใดเป็นโคจรของปฏิภาณปฏิสัมภิทา ญาณในธรรมเหล่านั้นเป็นอารมณ์ของปฏิภาณปฏิสัมภิทา เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกญาณในปฏิภาณทั้งหลายว่า ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ในสติปัฏฐาน คือการพิจารณาเห็นกายในกาย มีธรรม ๑๕ มีอรรถ ๑๕ มีนิรุตติ ๓๐ มีญาณ ๖๐ การพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายนี้ ฯ การพิจารณาเห็นจิตในจิตนี้ ฯ จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า การพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายนี้ ฯ จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็การพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายนี้นั้น ควรเจริญ ฯ เราเจริญแล้ว ฯ ในสติปัฏฐาน คือมีการพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย มีธรรม ๑๕ มีอรรถ ๑๕ มีนิรุตติ ๓๐ มีญาณ ๖๐ ในสติปัฏฐาน ๔ มีธรรม ๖๐ มีอรรถ ๖๐ มีนิรุตติ ๑๒๐ มี ญาณ ๒๔๐.
[๖๐๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยฉันทะและปธานสังขารนี้ ฯ อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยวิริยะและปธานสังขารนี้ ฯ อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยจิตตะและปธานสังขารนี้ ฯ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 571
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยวิมังสาและปธานสังขารนี้ จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยวิมังสาและปธานสังขารนี้นั้นแล ควรเจริญ ฯ เราเจริญแล้ว.
[๖๐๗] จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยฉันทะและปธานสังขารนี้ ฯ จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยฉันทะและปธานสังขารนี้นั้นแล ควรเจริญ ฯ เราเจริญแล้ว คำว่า จักษุเกิดขึ้น ฯ แสงสว่างเกิดขึ้น เพราะอรรถว่า สว่างไสว.
จักษุเป็นธรรม ฯ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกญาณในปฏิภาณทั้งหลายว่า ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ในอิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยฉันทะและปธานสังขาร มีธรรม ๑๕ มีอรรถ ๑๕ มีนิรุตติ ๓๐ มีญาณ ๖๐ ฯ อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยวิริยะและปธานสังขารนี้ ฯ อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยจิตตะและปธานสังขารนี้ ฯ.
จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยวิมังสาและปธานสังขารนี้ ฯ จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยวิมังสาและปธานสังขารนี้นั้นแล ควรเจริญ ฯ เราเจริญแล้ว ฯ ในอิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยวิมังสา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 572
และปธานสังขาร มีธรรม ๑๕ มีอรรถ ๑๕ มีนิรุตติ ๓๐ มีญาณ ๖๐ ในอิทธิบาท มีธรรม ๖๐ มีอรรถ ๖๐ มีนิรุตติ ๑๒๐ มีญาณ ๒๔๐.
[๖๐๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า สมุทัย สมุทัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นิโรธ นิโรธ ในไวยากรณภาษิตของพระวิปัสสีโพธิสัตว์ มีธรรม ๑๐ มีอรรถ ๑๐ มีนิรุตติ ๒๐ มีญาณ ๔๐.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่พระสิขีโพธิสัตว์ ฯ พระเวสสภูโพธิสัตว์ ฯ พระกกุสันธโพธิสัตว์ ฯ พระโกนาคมน์โพธิสัตว์ ฯ พระกัสสปโพธิสัตว์ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า สมุทัย สมุทัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่พระกัสสปโพธิสัตว์ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นิโรธ นิโรธ ในไวยกรณภาษิตของพระกัสสปโพธิสัตว์ มีธรรม ๑๐ มีอรรถ ๑๐ มีนิรุตติ ๒๐ มีญาณ ๔๐.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯ แสงสว่างเกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่พระโคดมโพธิสัตว์ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า สมุทัย สมุทัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯ แสงสว่างเกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่พระโคดมโพธิสัตว์ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นิโรธ นิโรธ ในไวยากรณภาษิตของพระโคดมโพธิสัตว์ มีธรรม ๑๐ มีอรรถ ๑๐ มีนิรุตติ ๒๐ มีญาณ ๔๐.
ในไวยากรณภาษิต ๗ ของพระโพธิสัตว์ ๗ องค์ มีธรรม ๗๐ มีอรรถ ๗๐ มีนิรุตติ ๑๔๐ มีญาณ ๒๘๐.
[๖๐๙] จักษุ ฯ แสงสว่างเกิดขึ้นว่า อรรถว่า รู้ยิ่งแห่งอภิญญา เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 573
อรรถว่า รู้ยิ่งที่เราไม่ถูกต้องแล้วด้วยปัญญาไม่มี ในอรรถว่า รู้ยิ่งแห่งอภิญญา มีธรรม ๒๕ มีอรรถ ๒๕ มีนิรุตติ ๕๐ มีญาณ ๑๐๐ ฯ อรรถว่ากำหนดรู้แห่งปริญญา ฯ อรรถว่า ละแห่งปหานะ ฯ อรรถว่า เจริญแห่งภาวนา ฯ.
จักษุ ฯ แสงสว่างเกิดขึ้นว่า อรรถว่า ทำให้แจ้งแห่งสัจฉิกิริยา เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา อรรถว่า ทำให้แจ้งที่เราไม่ถูกต้องแล้วด้วยปัญญาไม่มี ในอรรถว่า ทำให้แจ้งแห่งสัจฉิกิริยา มีธรรม ๒๕ มีอรรถ ๒๕ มีนิรุตติ ๕๐ มีญาณ ๑๐๐ ในอรรถว่า รู้ยิ่งแห่งอภิญญา ในอรรถว่า กำหนดรู้แห่งปริญญา ในอรรถว่า ละแห่งปหานะ ในอรรถว่า เจริญแห่งภาวนา ในอรรถว่า ทำให้แจ้งแห่งสัจฉิกิริยา มีธรรม ๑๒๕ มีอรรถ ๑๒๕ มีนิรุตติ ๒๕๐ มีญาณ ๕๐๐.
[๖๑๐] จักษุ ฯ แสงสว่างเกิดขึ้นว่า อรรถว่า กองแห่งขันธ์ทั้งหลาย เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญา อรรถว่า กองที่เราไม่ถูกต้องแล้วด้วยปัญญาไม่มี ในอรรถว่า กองแห่งขันธ์ทั้งหลาย มีธรรม ๒๕ มีอรรถ ๒๕ มีนิรุตติ ๕๐ ญาณ ๑๐๐ จักษุ ฯ แสงสว่างเกิดขึ้นว่า อรรถว่า ทรงไว้แห่งธาตุทั้งหลาย ฯ อรรถว่า บ่อเกิดแห่งอายตนะทั้งหลาย อรรถว่า ปัจจัยปรุงแห่งสังขตธรรมทั้งหลาย อรรถว่า ปัจจัยไม่ปรุงแต่งแห่งอสังขตธรรม เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา อรรถว่า ปัจจัยไม่ปรุงแต่งที่เราไม่ถูกต้องแล้วด้วยปัญญาไม่มี ในอรรถว่า ปัจจัยไม่ปรุงแต่งแห่งอสังขตธรรม มีธรรม ๒๕ มีอรรถ ๒๕ มีนิรุตติ ๕๐ มีญาณ ๑๐๐ ในอรรถว่า กองแห่งขันธ์ทั้งหลาย ในอรรถว่า ทรงไว้แห่งธาตุทั้งหลาย ในอรรถว่า บ่อเกิด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 574
แห่งอายตนะทั้งหลาย ในอรรถว่า ปัจจัยปรุงแต่งแห่งสังขตธรรมทั้งหลาย ในอรรถว่า ปัจจัยไม่ปรุงแต่งแห่งอสังขตธรรม มีธรรม ๑๒๕ มีอรรถ ๑๒๕ มีนิรุตติ ๒๕๐ มีญาณ ๕๐๐.
[๖๑๑] จักษุ ฯ แสงสว่างเกิดขึ้นว่า อรรถว่า ทนได้ยากแห่งทุกข์ เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา อรรถว่า ทนได้ยากที่เราไม่ถูกต้องแล้วด้วยปัญญาไม่มี ในอรรถว่า ทนได้ยากแห่งทุกข์ ธรรม ๒๕ มีอรรถ ๒๕ มีนิรุตติ ๕๐ มีญาณ ๑๐๐ จักษุ ฯ แสงสว่างเกิดขึ้นว่า อรรถว่า เหตุให้เกิดแห่งสมุทัย ฯ อรรถว่า ดับแห่งนิโรธ อรรถว่า เป็นทางแห่งมรรค เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา อรรถว่า เป็นทางที่เราไม่ถูกต้องแล้วด้วยปัญญาไม่มี ในอรรถว่าเป็นทางแห่งมรรค มีธรรม ๒๕ มีอรรถ ๒๕ มีนิรุตติ ๕๐ มีญาณ ๑๐๐ ในอริยสัจ ๔ มีธรรม ๑๐๐ มีอรรถ ๑๐๐ มีนิรุตติ ๒๐๐ มีญาณ ๔๐๐.
[๖๑๒] จักษุ ฯ แสงสว่างเกิดขึ้นว่า อรรถว่า ความแตกฉานในอรรถแห่งอรรถปฏิสัมภิทา เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา อรรถว่า ความแตกฉานในอรรถที่เราไม่ถูกต้องแล้วด้วยปัญญาไม่มี ในอรรถว่า ความแตกฉานในอรรถแห่งอรรถปฏิสัมภิทา มีธรรม ๒๕ มีอรรถ ๒๕ มีนิรุตติ ๕๐ มีญาณ ๑๐๐ จักษุ ฯ แสงสว่างเกิดขึ้นว่า อรรถว่า ความแตกฉานในธรรมแห่งธรรมปฏิสัมภิทา ฯ อรรถว่า ความแตกฉานในนิรุตติแห่งนิรุตติปฏิสัมภิทา ฯ อรรถว่า ความแตกฉานใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 575
ปฏิภาณแห่งปฏิภาณปฏิสัมภิทา เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา อรรถว่า ความแตกฉานปฏิภาณที่เราไม่ถูกต้องแล้วไม่มี ในอรรถว่า ความแตกฉานในปฏิภาณแห่งปฏิภาณปฏิสัมภิทา มีธรรม ๒๕ มีอรรถ ๒๕ มีนิรุตติ ๕0 มีญาณ ๑๐๐ ในปฏิสัมภิทา ๔ มีธรรม ๑๐๐ มีอรรถ ๑๐๐ มีนิรุตติ ๒๐๐ มีญาณ ๔๐๐.
[๖๑๓] จักษุ ฯ แสงสว่างเกิดขึ้นว่า อินทริยปโรปริยัตตญาณ เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา อินทริยปโรปริยัตตญาณที่เราไม่ถูกต้องแล้วด้วยปัญญาไม่มี ในอินทริยปโรปริยัตตญาณ มีธรรม ๒๕ มีอรรถ ๒๕ มีนิรุตติ ๕๐ มีญาณ ๑๐๐ จักษุ ฯ แสงสว่างเกิดขึ้นว่า ญาณในฉันทะอันมานอนและกิเลสอนุสัยของสัตว์ทั้งหลาย (อาสยานุสยญาณ) ฯ ยมกปาฏิหาริยญาณ มหากรุณาสมาปัตติญาณ อนาวรณญาณ เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา อนาวรณญาณที่เราไม่ถูกต้องแล้วด้วยปัญญาไม่มี ในอนาวรณญาณ มีธรรม ๒๕ มีอรรถ ๒๕ มีนิรุตติ ๕๐ มีญาณ ๑๐๐ ในพุทธธรรม ๖ มีธรรม ๑๕๐ มีอรรถ ๑๕๐ มีนิรุตติ ๓๐๐ มีญาณ ๖๐๐ ในปกรณ์ปฏิสัมภิทา มีธรรม ๘๕๐ มีอรรถ ๘๕๐ มีนิรุตติ ๑,๗๐๐ มีญาณ ๓,๔๐๐ ฉะนี้แล.
จบปฏิสัมภิทากถา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 576
อรรถกถาปฏิสัมภิทากถา
อรรถกถาธรรมจักกัปปวัตตนวาร
บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับความซึ่งยังไม่เคยพรรณนามาก่อนแห่งปฏิสัมภิทากถา อันมีธรรมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นเบื้องต้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึงประเภทแห่งปฏิสัมภิทามรรคที่สำเร็จลงด้วยอำนาจเเห่งมรรคอันได้แก่ วิราคะ ตรัสไว้แล้ว.
พึงทราบวินิจฉัยในพระสูตร ดังต่อไปนี้.
บทว่า พาราณสิยํ (แขวงเมืองพาราณสี) คือมีแม่น้ำ ชื่อว่า พาราณสา กรุงพาราณสีเป็นนครอยู่ไม่ไกลแม่น้ำพาราณสา ได้แก่ ใกล้กรุงพาราณสีนั้น.
บทว่า อิสิปตเน มิคทาเย (ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน) ได้แก่ในอาราม ชื่อว่า สวนมฤคทายวัน เพราะเป็นที่ให้อภัยแก่มฤคทั้งหลาย อันได้ชื่ออย่างนั้น ด้วยสามารถแห่งการลงๆ ขึ้นๆ ของพวกฤๅษี เพราะพวกฤษีสัพพัญญูผู้เกิดขึ้นแล้วๆ ก็ลงไปในป่าอิสิปตนมฤคทายวันนั้น อธิบายว่า นั่งประชุมกันเพื่อยังธรรมจักรให้เป็นไป แม้พวกฤๅษีปัจเจกพุทธะออกจากนิโรธสมาบัติเมื่อล่วงไป ๗ วัน เหาะมาทางอากาศจากเงื้อมเขานันทมูลกะ ล้างหน้าที่สระอโนดาต ก็ลงไปประชุมกัน ณ ที่นี้ ประชุมกันเพื่อเป็นสุข เพื่ออุโบสถและไม่ใช่เพื่ออุโบสถ เมื่อจะกลับไปสู่เขาคันธมาทน์ ก็เหาะไปจากที่นั้น เพราะเหตุนั้น ด้วยบทนี้ที่นั้นท่านจึงเรียกว่า อิสิปตนะ ด้วยเป็นที่ลงๆ ขึ้นๆ ของพวกฤาษี บาลีว่า อิสิปทนํ ดังนี้บ้าง.
บทว่า ปญฺจวคฺคิเย (ภิกษุเบญจวัคคีย์ มีพวก ๕) คือพวกของภิกษุ ๕ รูป ดังที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 577
พระมหาเถระ ๕ รูปเหล่านี้ คือพระโกณฑัญญะ ๑ พระภัททิยะ ๑ พระวัปปะ ๑ พระมหานาม ๑ พระอัสสชิ ๑ ท่านเรียกว่า ภิกษุมีพวก ๕ (เบญจวรรค)
ชื่อว่า ปัญจวรรค (เบญจวรรค พวก ๕) ชื่อว่า ปัญจวัคคีย์ (เบญจวัคคีย์) เพราะเนื่องในพวก ๕ นั้น.
บทว่า ภิกฺขู อามนฺเตสิ (ตรัสกะภิกษุทั้งหลาย) ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีจำเดิมแต่สะสมอภินิหาร ณ บาทมูลของพระทศพล พระนามว่า ทีปังกร จนบรรลุภพสุดท้ายโดยลำดับ ในภพสุดท้ายเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงถึงโพธิมณฑลโดยลำดับ ประทับนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์ ณ โพธิมณฑลนั้น ทรงกำจัดมารและพลมาร ทรงระลึกถึงปุพเพนิวาสญาณในปฐมยาม ในมัชฌิมยามทรงยังทิพยจักษุให้บริสุทธิ์ ในที่สุดปัจฉิมยามทรงยังหมื่นโลกธาตุให้บันลือก้องกัมปนาท ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ทรงใช้เวลาล่วงไป ๗ สัปดาห์ ณ โพธิมณฑล ท้าวมหาพรหมทูลวิงวอนขอให้ทรงแสดงธรรม ทรงตรวจตราสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ เสด็จไปกรุงพารานสี เพื่อทรงอนุเคราะห์สัตว์โลก มีพระประสงค์จะให้ภิกษุเบญจวัคคีย์ยอมรับ (รู้ตัว) แล้วทรงยังธรรมจักรให้เป็นไป จึงตรัสเรียก.
บทว่า เทฺวเม ภิกฺขเว อนฺตา (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนสุด ๒ อย่างนี้) พระสุรเสียงที่เปล่งออกด้วยทรงเปล่งพระดำรัสนี้ ข้างบนถึงภวัคคพรหม ข้างล่างถึงอเวจี แล้วแผ่ไปตั้งอยู่ตลอดหมื่นโลกธาตุ ในสมัยนั้น พรหม ๑๘ โกฏิมาประชุมกัน พระอาทิตย์ตกทางทิศตะวันตก พระจันทร์เต็มดวงประกอบด้วยอาสาฬหนักษัตรขึ้นทางทิศตะวันออก ในสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่มพระธรรมจักกัปปวัตตนสูตร ตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า เทฺวเม ภิกฺขเว อนฺตา ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 578
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปพฺพชิเตน (บรรพชิต) คือผู้ตัดวัตถุกามอันเกี่ยวข้องด้วยคฤหัสถ์ออกบวช.
บทว่า น เสวิตพฺพา (ไม่ควรเสพ) คือไม่ควรใช้สอย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา (อันบรรพชิตไม่ควรเสพ) เพราะเป็นเหตุเครื่องรองรับการปฏิบัติอย่างวิเศษของบรรพชิตทั้งหลาย.
บทว่า กาเมสุ กามสุขัลลิกานุโยโค (การประกอบความพัวพันกามสุขในกามทั้งหลาย) ได้แก่ การประกอบกามสุข คือกิเลสในวัตถุกาม หรือการประกอบอาศัยกามสุข คือกิเลส.
บทว่า หีโน (เป็นของเลว) คือลามก (ต่ำต้อย).
บทว่า คมฺโม (เป็นของชาวบ้าน) ได้แก่ เป็นของมีอยู่ของชาวบ้าน.
บทว่า โปถุชฺชนิโก (เป็นของปุถุชน) ได้แก่ ปุถุชน คืออันธพาลปุถุชนประพฤติกันเนืองๆ.
บทว่า อนริโย (ไม่ใช่ของพระอริยเจ้า) อีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ของมีอยู่ของพระอริยเจ้าผู้บริสุทธิ์ ผู้สูงสุด.
บทว่า อนตฺถสญฺหิโต (ไม่ประกอบด้วยประโยชน์) ความว่า ไม่อาศัยเหตุอันนำความสุขมาให้.
บทว่า อตฺตกิลมถานุโยโค (การประกอบการทำตนให้ลำบาก) ความว่า ทำความทุกข์ให้แก่ตน.
บทว่า ทุกฺโข (อันเป็นทุกข์) คือนำความทุกข์มาให้ ด้วยการทรมานตนมีนอนบนที่ทำด้วยหนามเป็นต้น ในบทนี้ พระองค์ไม่ตรัสว่า หีโน (อันเป็นของเลว) เพื่อรักษาจิตของผู้บำเพ็ญตบะเหล่านั้น เพราะผู้บำเพ็ญตบะเหล่านั้นถือว่าการทำตนให้ลำบากเป็นตบะอันสูงสุด ไม่ตรัสว่า โปถุชฺชนิโก (เป็นของชาวบ้าน) เพราะเป็นธรรมดาของบรรพชิตทั้งหลาย และไม่ตรัสว่า โปถุชฺชนิโก (เป็นของปุถุชน) เพราะไม่ทั่วไปด้วยคฤหัสถ์ทั้งหลาย.
อนึ่ง ในบทว่า กามสุขลฺลิกานุโยโค (การประกอบความพัวพันกามสุข) นั้น พระองค์ไม่ตรัสว่า ทุกฺโข (อันเป็นทุกข์) เพราะพวกปฏิญาณว่าเป็นบรรพชิตพวกใดพวกหนึ่ง มีวาทะว่า นิพพานในปัจจุบันที่ยึดถือเอาว่า เพราะตัวตนนี้เปี่ยมเพียบพร้อมบำเรอด้วยกามคุณ ๕ ด้วยเหตุนี้ ตัวตนนี้จึงเป็นอันบรรลุนิพพานในปัจจุบัน เพื่อรักษาจิตของผู้บำเพ็ญตบะเหล่านั้น และเพราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 579
การสมาทานธรรมนั้นเป็นความสุขในปัจจุบัน ไม่ควรเสพกามสุขัลลิกานุโยค เพราะเป็นความสุขเศร้าหมองด้วยตัณหาและทิฏฐิในปัจจุบัน เพราะมีทุกข์เป็นผลต่อไป และเพราะผู้ขวนขวายกามสุขัลลิกานุโยคนั้นพัวพันด้วยเครื่องผูก คือตัณหาและทิฏฐิ ไม่ควรเสพอัตตกิลมถานุโยค เพราะเป็นทุกข์เศร้าหมองด้วยทิฏฐิในปัจจุบัน เพราะมีทุกข์เป็นผลต่อไป และเพราะผู้ขวนขวายในอัตตกิลมถานุโยคนั้นผูกพัน (พัวพัน) ด้วยเครื่องผูก คือทิฏฐิ.
บทว่า เอเต เต (นี้นั้น) คือเหล่านั้นนี้.
บทว่า อนุปคมฺม (ไม่เกี่ยวข้อง) คือไม่เข้าไปใกล้.
บทว่า มชฺฌิมา (สายกลาง) ชื่อว่า มชฺฌิมา เพราะเป็นทางสายกลางไม่มีสุขและทุกข์เศร้าหมอง ชื่อว่า ปฏิปทา เพราะเป็นเหตุถึงนิพพาน.
บทว่า อภิสมฺพุทฺธา (ตรัสรู้แล้ว) คือแทงตลอดแล้ว.
ในบทมีอาทิว่า จกฺขุกรณี (เป็นเครื่องทำจักษุ) มีความดังต่อไปนี้ ชื่อว่า จกฺขุกรณี เพราะทำปัญญาจักษุ.
บทว่า าณกรณี (เป็นเครื่องทำญาณ) เป็นไวพจน์ของบทว่า จกฺขุกรณี นั้นนั่นแหละ.
บทว่า อุปสมาย (เพื่อความสงบ) คือเพื่อสงบกิเลส.
บทว่า อภิญฺาย (เพื่อความรู้ยิ่ง) คือเพื่อประโยชน์แก่ความรู้ยิ่ง สัจจะ ๔.
บทว่า สมฺโพธาย (เพื่อความตรัสรู้) คือเพื่อประโยชน์แก่การตรัสรู้สัจจะ ๔ เหล่านั้น.
บทว่า นิพฺพานาย (เพื่อนิพพาน) คือเพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า จกฺขุกรณี (เป็นเครื่องทำจักษุ) เพราะทำมรรคญาณ คือทัศนะ ชื่อว่า าณกรณี เพราะทำมรรคญาณ คือภาวนา.
อุปสมาย (เพื่อความสงบ) กิเลสทั้งปวง.
อภิญฺาย (เพื่อความรู้ยิ่ง) ธรรมทั้งปวง.
สมฺโพธาย (เพื่อความตรัสรู้) อรหัตผล.
นิพฺพานาย (เพื่อนิพพาน) เพื่อดับกิเลสและขันธ์ทั้งหลาย.
สัจจกถา ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในอภิญเญยยนิเทศแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงประกาศสัจจะอย่างนี้แล้ว เมื่อทรงเห็นการยังข้อปฏิบัติให้สำเร็จแล้วแทงตลอดสัจจะ ของเบญจวัคคีย์เหล่านั้นผู้ยังมีมานะจัดในพระองค์ ด้วยการฟังลำดับแห่งการแทงตลอดของพระองค์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 580
แล้วถอนมานะจัดด้วยข้อปฏิบัติ จึงทรงแสดงลำดับของการแทงตลอดของพระองค์ ด้วยบทมีอาทิว่า อิทํ ทุกฺขํ อริยสจฺจนฺติ เม ภิกฺขเว (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ) คือทรงแสดงลำดับปฏิเวธของพระองค์.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อนนุสฺสุเตสุ (ยังไม่เคยได้ฟัง) ได้แก่ มิได้สดับตามกันมา ความว่า ยังไม่เคยได้ฟังมาจากผู้อื่น.
อรรถแห่งบทมีอาทิว่า จกฺขุํ (จักษุ) จักมีแจ้งข้างหน้า.
การแทงตลอดโดยการเห็นสัจจะ ๔ คือนี้ทุกขอริยสัจ ๑ นี้ทุกขสมุทัย ๑ นี้ทุกขนิโรธ ๑ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ๑ ย่อมเป็นไปในเสขภูมิ.
การแทงตลอดโดยภาวนาซึ่งสัจจะ ๔ คือควรกำหนดรู้ ๑ ควรละ ๑ ควรทำให้แจ้ง ๑ ควรเจริญ ๑ ย่อมเป็นไปในเสขภูมิเหมือนกัน.
การพิจารณาสัจจะ ๔ คือกำหนดรู้แล้ว ๑ ละแล้ว ๑ ทำให้แจ้งแล้ว ๑ เจริญแล้ว ๑ ย่อมเป็นไปในอเสกขภูมิ.
บทว่า ติปริวุฏฺฏํ (มีวนรอบ ๓) คือเพราะมีวนรอบ ๓ ด้วยสามารถแห่งวนรอบ ๓ คือสัจจญาณ (ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ) กิจจญาณ (ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ) กตญาณ (ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทำแล้ว).
ในบทว่า ติปริวฏฺฏํ (มีวนรอบ ๓) นี้ การรู้ตามความเป็นจริงในสัจจะ ๔ อย่างนี้ว่า นี้ทุกขอริยสัจ นี้ทุกขสมุทยอริยสัจ นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ชื่อว่า สัจจญาณ ในสัจจญาณเหล่านั้น ญาณ คือความรู้กิจอันควรทำอย่างนี้ว่า ทุกข์ควรกำหนดรู้ สมุทัยควรละ นิโรธควรทำให้แจ้ง มรรคควรเจริญ ชื่อว่า กิจจญาณ ญาณ คือความรู้ถึงความที่กิจนั้นได้ทำแล้วอย่างนี้ว่า ทุกข์กำหนดรู้แล้ว สมุทัยละได้แล้ว นิโรธทำให้แจ้งแล้ว มรรคเจริญแล้ว ชื่อว่า กตาณ.
บทว่า ทฺวาทสาการํ (มีอาการ ๑๒) คือมีอาการ ๑๒ ด้วยสามารถแห่งอาการอย่างละ ๓ ในสัจจะแต่ละอย่าง แห่งสัจจะเหล่านั้น.
บทว่า าณทสฺสนํ (ญาณทัสสนะ) ได้แก่ ทัศนะ คือญาณอันเกิดขึ้นด้วยสามารถแห่งสัจจะเหล่านั้นมีวนรอบ ๓ มี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 581
อาการ ๑๒.
บทว่า อตฺตมนา (ชื่นชม) คือมีใจเป็นของตน จริงอยู่ ผู้มีใจประกอบด้วยปีติโสมนัส ชื่อว่า มีใจเป็นของตน เพราะสัตว์ทั้งหลายใคร่ความสุข เกลียดทุกข์ อธิบายว่า มีใจเป็นของตน มีใจถือเอาแล้ว มีใจอิ่มเอิบแล้วด้วยปีติและโสมนัส.
บทว่า อภินนฺทุํ (ยินดี พอใจ) ได้แก่ ยินดีใส่ใจยิ่ง คือหันหน้าเข้าหาพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วพอใจ.
บทว่า เวยฺยากรณสฺมิํ (ไวยากรณภาษิต) พระสูตรที่ไม่มีคาถาในพระสูตร ชื่อว่า เวยฺยากรณํ (ไวยากรณภาษิต) เพราะทำให้แจ้งอรรถอย่างเดียว.
บทว่า ภญฺมาเน (ตรัสอยู่ กำลังตรัส) ทำให้เป็นปัจจุบันใกล้ปัจจุบัน คือ ภณิเต (กำลังตรัส).
บทว่า วิรชุํ (ปราศจากธุลี) คือปราศจากธุลีมีราคะเป็นต้น.
บทว่า วีตมลํ (ปราศจากมลทิน) ปราศจากมลทินมีราคะเป็นต้น เพราะราคะเป็นต้น ชื่อว่า ธุลี เพราะอรรถว่า ท่วมทับ ชื่อว่า มลทิน เพราะอรรถว่า ประทุษร้าย.
บทว่า ธมฺมจกฺขุํ (ธรรมจักษุ) ในที่บางแห่ง ได้แก่ ญาณในปฐมมรรค (มรรคญาณที่ ๑) ในที่บางแห่ง ได้แก่ ญาณมรรคญาณ ๓ ข้างต้น ในที่บางแห่ง ได้แก่ แม้มรรคญาณ ๔ แต่ในที่นี้ ได้แก่ ญาณในปฐมมรรค (มรรคญาณที่ ๑) เท่านั้น.
บทว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ (สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับเป็นธรรมดา) อธิบายว่า ธรรมจักษุเกิดขึ้นแก่พระโกณฑัญญะ ผู้เป็นไปแล้วด้วยอำนาจแห่งวิปัสสนา.
บทว่า ธมฺมจกฺเก (ธรรมจักร) ได้แก่ ปฏิเวธญาณและเทศนาญาณ จริงอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่เหนือโพธิบัลลังก์ แม้ปฏิเวธญาณมีอาการ ๑๒ เป็นไปในสัจจะ ๔ เมื่อประทับนั่ง ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แม้เทศนาญาณเป็นไปแล้วด้วยสัจจเทศนามีอาการ ๑๒ ชื่อว่า ธรรมจักร แม้ทั้งสองอย่างนั้นก็เป็นญาณของพระทศพล ธรรมจักรนั้น ชื่อว่า อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศด้วยเทศนานี้ให้เป็นไปแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศธรรมจักรนี้นั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 582
ตลอดเวลาที่พระอัญญาโกณฑัญญเถระพร้อมกับพรหม ๑๘ โกฏิยังไม่ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล แต่เมื่อพระอัญญาโกณฑัญญะตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว ธรรมจักร จึงชื่อว่า พระองค์ทรงประกาศแล้ว ท่านหมายถึงเรื่องนั้น จึงกล่าว ปวตฺติเต จ ภควตา ธมฺมจกฺเก (เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศพระธรรมจักรแล้ว).
บทว่า ภุมฺมา เทวา (ภุมเทวดา) คือเทวดาที่อยู่บนพื้นดิน.
บทว่า สทฺทมนุสฺสาเวสุํ (ประกาศก้อง) คือภุมมเทวดาให้สาธุการเป็นเสียงเดียวกันแล้วประกาศก้องคำมีอาทิว่า เอตํ ภควตา (พระผู้มีพระภาคเจ้านี้).
บทว่า อปฺปฏิวตฺติยํ (อันใครๆ ให้เป็นไปไม่ได้) คือไม่อาจคัดค้านได้ว่า นี้ไม่เป็นอย่างนั้น อนึ่ง ในบทนี้ พึงทราบว่าเทวดาและพรหมทั้งหลายประชุมกัน เมื่อจบเทศนาได้ให้สาธุการเป็นเสียงเดียวกัน แต่ภุมเทวดาเป็นต้นยังไม่มาประชุม ครั้นได้ฟังเสียงเทวดาและพรหมเหล่านั้นๆ จึงได้ให้สาธุการ อนึ่ง ภุมมเทวดาที่เกิดในภูเขาและต้นไม้เป็นต้นเหล่านั้น แม้ภุมมเทวดาเหล่านั้นจะนับเนื่องในพวกเทวดาชั้นจาตุมมหาราชิกา ท่านก็กล่าวทำให้แยกกันในบทนี้.
บทว่า จาตุมฺมหาราชิกา (เทวดาชั้นจาตุมหาราช) เพราะมีเทวดามหาราชา ๔ ได้แก่ ท้าวธตรฏ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์และท้าวกุเวร เทวดาเหล่านั้นสถิตอยู่ ณ ท่ามกลางภูเขาสิเนรุ เทวดาเหล่านั้นอยู่บนภูเขาก็มี อยู่บนอากาศก็มี สืบต่อเทวดาเหล่านั้นไปจนถึงจักรวาลบรรพต เทวดาแม้ทั้งหมดเหล่านี้ คือขิทฑาปโทสิกา มโนปโทสิกา สีตวลาหก อุณหวลาหก จันทิมเทวบุตร สุริยเทวบุตร ก็เป็นเทวดาประดิษฐานอยู่ ณ เทวโลกชั้นจาตุมมหาราชิกานั่นแหละ.
ชื่อว่า ตาวติํสา (ชั้นดาวดึงส์) เพราะมีชน ๓๓ คนเกิดในเทวโลกนั้น อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวว่า ชื่อว่า ตาวติํสา เป็นชื่อของเทวดาเหล่านั้น แม้เทวดาเหล่านั้นประดิษฐานบนภูเขาก็มี บนอากาศก็มี เทวดาเหล่านั้นอยู่สืบต่อเนื่องกันไปถึงจักรวาลบรรพต เทวดาชั้นยามาเป็นต้นก็อย่างนั้น แม้ในเทวโลก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 583
หนึ่ง การอยู่สืบต่อกันไปของเทวดาทั้งหลาย ชื่อว่า ยังไม่ถึงจักรวาลบรรพต ไม่มี.
ชื่อว่า ยามา (ชั้นยามา) เพราะไป ไปถึง ถึงพร้อมซึ่งสุขอันเป็นทิพย์.
ชื่อว่า ตุสิตา (ชั้นดุสิต) เพราะยินดีร่าเริง.
ชื่อว่า นิมฺมานรตี (ชั้นนิมมานรดี) เพราะนิรมิตแล้วๆ ยินดีสมบัติตามความชอบใจในเวลาใคร่จะยินดีโดยส่วนพิเศษจากอารมณ์ที่ตกแต่งไว้ตามปกติ.
ชื่อว่า ปรนิมฺมิตวสวตฺตี (ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี) เพราะทำอำนาจให้เป็นไปในสมบัติที่ผู้อื่นรู้วารจิตแล้วนิรมิตสมบัติให้.
ชื่อว่า พฺรหฺมกายิกา (ผู้นับเนื่องในหมู่พรหม) เพราะนับเนื่องในพรหมกาย ในพวกพรหม แม้พรหมกายิกาทั้งหมด ท่านหมายถึงพรหมที่มีขันธ์ ๕ ด้วย.
ท่านกล่าวว่า เตน มุหุตฺเตน (โดยครู่เดียว) ท่านกล่าวให้แปลกกับคำว่า เตน ขเณน (โดยขณะนั้น) โดยขณะก็ได้แก่ครู่เดียว ท่านอธิบายว่า มิใช่โดยขณะทางปรมัตถ์.
บทว่า ยาว พฺรหฺมโลกา (ตลอดพรหมโลก) คือทำพรหมโลกให้เป็นที่สุด.
บทว่า สทฺโท (เสียง) คือเสียงสาธุการ.
บทว่า ทสสหสฺสี (หมื่น) คือมีหมื่นจักรวาล.
บทว่า สงฺกมฺปิ (หวั่นไหว) คือสะเทือนสะท้านหวั่นไหว ข้างบนด้วยดี (สะเทือนขึ้นไปข้างบนด้วยดี).
บทว่า สมฺปกมฺปิ (หวั่นไหวด้วยดี) คือสะเทือนสะท้านหวั่นไหวขึ้นข้างบน ลงเบื้องล่างด้วยดี.
บทว่า สมฺปเวธิ (สั่นสะเทือน) คือสั่นสะเทือนไปทั่ว ๔ ทิศด้วยดี.
เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงหยั่งลงสู่พระครรภ์พระมารดา เพื่อความเป็นพระสัมพุทธเจ้า และเมื่อประสูติจากพระครรภ์พระมารดานั้น มหาปฐพีได้หวั่นไหวด้วยเดชแห่งบุญ ในคราวตรัสรู้ได้หวั่นไหวด้วยเดชแห่งปฏิเวธญาณ (ญาณ คือการแทงตลอด) ในคราวประกาศพระธรรมจักรแผ่นดินได้หวั่นไหวดุจให้สาธุการด้วยเดชแห่งเทศนาญาณ (ญาณ คือเทศนา) ได้หวั่นไหวด้วยเทวตานุภาพในคราวทรงปลงอายุสังขารและในคราวมหาปรินิพพานดุจอดกลั้นความสะเทือนใจไม่ได้ด้วยความกรุณา.
บทว่า อปฺปมาโณ (หาประมาณมิได้) คือ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 584
มีประมาณเจริญ.
ในบทว่า โอฬาโร (อย่างยิ่ง) นี้ท่านกล่าวว่า มธุรํ อุฬารํ (มีรสอร่อยอย่างยิ่ง) อุฬาระมีความหมายว่า อร่อย ในบทมีอาทิว่า อุฬารานิ อุฬารานิ ขาทนียานิ ขาทนฺติ (เคี้ยวของเคี้ยวมีรสอร่อยๆ) ท่านกล่าวว่า ปณีตํ อุฬารํ (ประณีตอย่างยิ่ง) อุฬาระท่านกล่าวว่า ประณีต ในประโยคมีอาทิว่า อุฬาราย วตฺถโภคาย จิตฺตํ นมติ (จิตย่อมน้อมไปในผ้าและสมบัติอันประณีต) ท่านกล่าวว่า เสฏฺํ อุฬารํ (ประเสริฐอย่างยิ่ง) อุฬาระท่านกล่าวว่า ประเสริฐ ในประโยคมีอาทิว่า อุฬาราย ขลุ ภวํ วจฺฉายโน สมณํ โคตมํ ปสํสาย ปสํสติ (ได้ยินว่า ท่านวัจฉายนะผู้เจริญ สรรเสริญพระสมณโคดมด้วยการสรรเสริญอันประเสริฐ) แต่ในที่นี้ท่านกล่าวว่า วิปุโล อุฬาโร (ไพบูลย์อย่างยิ่ง) อุฬาระมีความหมายว่า ไพบูลย์.
บทว่า โอภาโส (แสงสว่าง) คือแสงสว่างเกิดด้วยอานุภาพแห่งเทศนาญาณและเทวตานุภาพ.
บทว่า โลเก (ในโลก) คือในหมื่นจักรวาลนั่นเอง.
บทว่า อติกฺกมฺเมว เทวานํ เทวานุภาวํ (ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย) คืออานุภาพของเทวดาทั้งหลายเป็นดังนี้ รัศมีของผ้าที่นุ่ง แผ่ไป ๑๒ โยชน์ อานุภาพของสรีระ เครื่องประดับ และวิมานก็เหมือนอย่างนั้น แสงสว่างก้าวล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย.
บทว่า อุทานํ (อุทาน) คือพระดำรัสที่เปล่งออกมาสำเร็จด้วยโสมนัสญาณ.
บทว่า อุทาเนสิ (ทรงเปล่ง) คือทรงเปล่งเสียง.
บทว่า อญฺาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโ (ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ) พระสุรเสียงที่เปล่งอุทานนี้ แผ่ไปตั้งอยู่ตลอดหมื่นโลกธาตุ.
บทว่า อญฺาโกณฺฑญฺโ (อัญญาโกณฑัญญะ) ความว่า โกณฑัญญะรู้แล้วอย่างเลิศ.
พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า ทสฺสนฏฺเน (เพราะอรรถว่า เห็น) ในนิเทศแห่งจักษุเป็นต้นดังต่อไปนี้ ญาณหนึ่ง (ญาณเดียว) นั่นแหละ ชื่อว่า จักษุ เพราะทำกิจด้วยความเห็น ดุจจักษุของสัตว์ที่พึงแนะนําตามที่ได้กล่าวแล้ว ชื่อว่า าณ (ญาณ) เพราะทำกิจด้วยญาณ ชื่อว่า ปัญญา เพราะทำกิจด้วยรู้โดยประการต่างๆ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 585
ชื่อว่า วิชชา เพราะทำการแทงตลอดโดยไม่มีส่วนเหลือ ชื่อว่า อาโลก (แสงสว่าง) เพราะทำกิจด้วยแสงสว่างในกาลทั้งปวง.
แม้ในบทมีอาทิว่า จกฺขุํ ธมฺโม (จักษุเป็นธรรม) มีความดังต่อไปนี้.
ญาณหนึ่งนั่นแหละท่านพรรณนาไว้โดย ๕ ส่วน ด้วยความต่างกันแห่งกิจ.
บทว่า อารมฺมณา (อารมณ์) ด้วยอรรถว่า อุปถัมภ์.
บทว่า โคจรา (โคจร) ด้วยอรรถว่า เป็นอารมณ์.
ในบทมีอาทิว่า ทสฺสนฏฺเน (เพราะอรรถว่า เห็น) ท่านกล่าวถึงญาณกิจไว้ โดย ๕ ส่วน.
โดยนัยนี้ ธรรม ๑๕ อรรถ ๑๕ โดยกระทำอย่างละ ๕ ในวาระหนึ่งๆ ใน ๓ วาระ นิรุตติมี ๓๐ ในธรรม ๑๕ ในอรรถ ๑๕ ทั้ง ๒ พึงทราบญาณ ๖๐ คือในธรรม ๑๕ ในอรรถ ๑๕ ในนิรุตติ ๓๐ แม้ในอริยสัจที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
ธรรม ๖๐ อรรถ ๖๐ ด้วยอำนาจแห่งธรรมและอรรถอย่างละ ๑๕ ในอริยสัจหนึ่งๆ ในอริยสัจ ๔ เป็นนิรุตติ ๑๒๐ ในธรรม ๖๐ ในอรรถ ๖๐ มีอธิบายว่า ๑๐๐ เกินอีก ๒๐ ญาณ ๒๔๐ อย่างนี้ คือในธรรม ๖๐ ในอรรถ ๖๐ ในนิรุตติ ๑๒๐.
จบอรรถกถาธรรมจักกัปปวัตตนวาร
อรรถกถาสติปัฏฐานวารเป็นต้น
พึงทราบอรรถและการนับในปฏิสัมภิทานิเทศ อันมีสติปัฏฐานสูตรเป็นเบื้องต้น และมีอิทธิปาทสูตรเป็นเบื้องต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 586
อรรถกถาสัตตโพธิสัตตวารเป็นต้น
ในสูตรหนึ่งๆ ในสูตร ๗ ของพระโพธิสัตว์ ๗ องค์ มีธรรม ๑๐ คือในสมุทัย ๕ มีจักษุเป็นต้น ในนิโรธ ๕ มีอรรถ ๑๐ คือในสมุทัย ๕ มีอรรถว่า ความเห็นเป็นต้น ในนิโรธ ๕ มีนิรุตติ ๒๐ ด้วยสามารถแห่งธรรม ๑๐ และอรรถ ๑๐ เหล่านั้น มีญาณ ๔๐ การนับทำไวยากรณภาษิต ๗ รวมกันกล่าวเข้าใจง่ายดี.
พึงทราบวินิจฉัยในปฏิสัมภิทานิเทศ ซึ่งท่านกล่าวแล้วด้วยสามารถแห่งพระสัพพัญญุตญาณดังต่อไปนี้ ในมูลกะหนึ่งๆ มีธรรม ๒๕ ด้วยสามารถปัญจกะ (หมวดห้า) ละ ๕ คือธรรม ๕ มีจักษุเป็นต้น อรรถ ๕ มีความเห็นเป็นต้น ในคำหนึ่งๆ ใน ๕ คำเหล่านี้ คือเรารู้แล้ว ๑ เห็นแล้ว ๑ รู้แจ้งแล้ว (ทราบแล้ว) ๑ ทำให้แจ้งแล้ว ๑ ถูกต้องแล้ว ๑ ด้วยปัญญา มีอรรถ ๒๕ เป็นนิรุตติ คูณด้วย ๒ (๕๐) เป็นญาณคูณด้วย ๒ (๑๐๐) ทำ ๕ อย่างรวมกันแล้วทำ ๕ อีก ๕ ครั้ง แม้ในวาระที่กล่าวทำ ๕ รวมกัน เป็น ๒๕ จึงมีธรรม ๑๒๕ มีอรรถ ๑๒๕ มีนิรุตติ คูณด้วย ๒ (๒๕๐) มีญาณ คูณด้วย ๒ (๕๐๐).
บทว่า อฑฺฒเตยฺยานิ (แปลว่า ที่สองด้วยทั้งกึ่ง) ได้แก่ ๒๐๐ และ ๕๐ (*คือ ๒๕๐) แม้ในขันธ์เป็นต้นก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
พึงทราบการนับธรรมเป็นต้นในสัจจวารและปฏิสัมภิทาวารโดยนัยนี้นั่นแหละ.
จบอรรถกถาสัตตโพธิสัตตวารเป็นต้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 587
อรรถกถาฉพุทธธรรมวาร
พึงทราบวินิจฉัยในพุทธธรรมวารดังต่อไปนี้.
บทว่า ทิยฑฺฒสตํ (๑๕๐) มีธรรม ๑๕๐ คือ ๒๕ รวม ๖ ครั้ง เป็นธรรม ๑๕๐ มีนิรุตติ คูณด้วย ๒ (๓๐๐) มีญาณ คูณด้วย ๒ (๖๐๐).
บทว่า ปฏิสมฺภิทาธิกรเณ (ในปกรณ์ปฏิสัมภิทา) คือในคัมภีร์ปฏิสัมภิทา (ในอธิการว่าด้วยปฏิสัมภิทา).
บทว่า อฑฺฒนวธมฺมสตานิ (๘๕๐) นี้ คือมีธรรม ๘๕๐ อย่างนี้ คือในสัจจะ๔ ที่กล่าวแล้วครั้งแรก ๖๐ ในสติปัฏฐาน ๔ รวม ๖๐ ในไวยากรณภาษิตของพระโพธิสัตว์ ๗ องค์ รวม ๗๐ ในธรรม ๕ มีตั้งอยู่ในอภิญญาเป็นต้น (มีอรรถว่า รู้ยิ่งเป็นต้น) ๑๒๕ ในธรรม ๕ มีขันธ์เป็นต้น ๑๒๕ ในอริยสัจ ๔ (ซ้ำ) อีก ๑๐๐ ในปฏิสัมภิทา ๔ รวม ๑๐๐ ในพุทธธรรม ๖ รวม ๑๕๐.
โดยประการนี้ แม้อรรถก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน (ก็มีจำนวนเท่านั้นเหมือนกัน) มีนิรุตติ ๑๒๐ ในฐานะ ๓ มีสัจจะเป็นต้น มีนิรุตติ ๑๔๐ ในไวยากรณภาษิต ๗ มีนิรุตติในอภิญญาเป็นต้นและในขันธ์เป็นต้นอย่างละ ๒๕๐ มีนิรุตติอย่างละ ๒๐๐ ในอริยสัจ ๔ และในปฏิสัมภิทา มีนิรุตติ ๓๐๐ ในพุทธธรรม รวมเป็นมีนิรุตติ ๑,๗๐๐.
มีญาณ ๓,๔๐๐ อย่างนี้ คือมีญาณอย่างละ ๒๔๐ ในฐานะ ๓ มีสัจจะเป็นต้น มีญาณ ๒๘๐ ในไวยากรณภาษิต ๗ มีญาณอย่างละ ๕๐๐ ในอภิญญาเป็นต้นและในขันธ์เป็นต้น มีญาณอย่างละ ๔๐๐ ในสัจจะและในปฏิสัมภิทา ๔ มีญาณ ๖๐๐ ในพุทธธรรม.
จบอรรถกถาฉพุทธธรรมวาร
จบอรรถกถาปฏิสัมภิทากถา