การบูชาผู้ที่ ควรบูชาเป็นมงคล.
โดย pirmsombat  3 ก.ย. 2555
หัวข้อหมายเลข 21660

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอนจากคาถาที่ว่า อเสวนา จ พาลานํ.

[เล่มที่ 39] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 177

พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงสรรเสริญการคบบัณฑิต โดยธรรมทั้งปวงอย่างนี้

จึงตรัสว่า การคบบัณฑิตเป็นมงคล. บัดนี้

เมื่อจะทรงสรรเสริญการบูชาบุคคลผู้เข้าถึงความเป็นผู้ควรบูชา

โดยลำดับ ด้วยการไม่คบพาลและการคบบัณฑิตนั้น

จึงตรัสว่า ปูชาจปูชเนยฺยานํมงคลํ การบูชาผู้ที่ควรบูชาเป็นมงคล.

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าข้า ชื่อว่า ปูชเนยยะเพราะทรง

เว้นจากโทษทุกอย่าง และเพราะทรงประกอบด้วยคุณทุกอย่าง

และภายหลังจากนั้น ก็พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสาวกทั้งหลาย ชื่อว่าปูชเนยยะ.

จริงอยู่การบูชาปูชเนยยบุคคลเหล่านั้น แม้เล็กน้อย ก็เป็นประโยชน์สุข

ตลอดกาลยาวนาน. ในข้อนี้ มีเรื่องนายสุมนมาลาการและนางมัลสิกาเป็นต้น

เป็นตัวอย่างใน ๒ เรื่องนั้น จะกล่าวแต่เรื่องเดียว พอเป็นตัวอย่าง.

ความว่า เช้าวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอันตรวาสกแล้วทรงถือบาตรจีวร

เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ ขณะนั้น นายช่างดอกไม้ชื่อ

สุมนมาลาการ กำลังเดินถือดอกไม้สำหรับพระเจ้าพิมพิสาร จอมทัพมคธ ได้เห็น

พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึงประตูกรุงผ่องใสน่าเลื่อมใสประดับด้วยพระมหาปุริ-

สลักษณะ ๓๒ ประการและพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการรุ่งเรื่องด้วยพระพุทธสิริ

ครั้นเห็นแล้ว เขาก็คิดว่า พระราชาทรงรับดอกไม้แล้วก็จะพึงประทานทรัพย์

ร้อยหนึ่งหรือพันหนึ่ง ก็อันนั้นก็จะพึงเป็นความสุขเพียงโลกนี้เท่านั้น. แต่การ

บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมจะมีผลประมาณไม่ได้ นับไม่ถ้วนนำประโยชน์สุข

มาให้ตลอดกาลยาวนาน. เอาเถิดจำเราจะบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยดอกไม้

เหล่านั้น ดังนี้เขามีจิตเลื่อมใส จับดอกไม้กำหนึ่งเหวี่ยงไปเฉพาะพระพักตร์

พระผู้มีพระภาคเจ้า. ดอกไม้ทั้งหลายไปทางอากาศประดิษฐานเป็นเพดานดอก

ไม้อยู่เหนือพระผู้มีพระภาคเจ้า. นายมาลาการเห็นอานุภาพนั้น ก็มีจิตเลื่อมใส

ยิ่งขึ้น จึงเหวี่ยงดอกไม้ไปอีกกำหนึ่ง แม้ดอกไม้เหล่านั้น ก็ไปประดิษฐาน

เป็นเกราะดอกไม้. นายมาลาการเหวี่ยงดอกไม้ไป ๘ กำ อย่างนี้ ดอกไม้เหล่านั้น

ก็ไปประดิษฐานเป็นเรือนยอดดอกไม้.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในเรือนยอด มหาชนก็ชุมนุมกัน.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทอดพระเนตรเห็นนายมาลาการ ก็ทรงทำอาการแย้มให้ปรากฏ

พระอานนทเถระก็ทูลถามถึงเหตุที่ทรงแย้มด้วยคิดว่า พระพุทธเจ้า

ทั้งหลาย ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย จะไม่ทรงแย้มให้ปรากฏ.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

อานนท์ นายมาลาการผู้นี้จักท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์แสนกัป

ด้วยอานุภาพของการบูชานี้แล้วในที่สุดก็จักเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า

นามว่าสุมนิสสระ. ตรัสจบก็ได้ตรัสพระคำถาม เพื่อทรงแสดงธรรมว่า

ตญฺจกมฺมํกตํสาธุยํกตฺวานานุตปฺปติ

ยสฺสปตีโตสุมโนวิปากํปฏิเสติ.

บุคคลทำธรรมใดแล้วไม่เดือดร้อนกายหลังบุค-

คลใจดีเอิบอิ่มแล้วเสวยผลของกรรมใดกรรมนั้นทำแล้วดี.

จบคาถา สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ได้บรรลุธรรม การบูชาปูชเนยยบุคคลเหล่านั้น

แม้เล็กน้อยพึงทราบว่า มีประโยชน์สุขตลอดก็ยาวนาน ด้วยประการฉะนี้.

ก็การบูชานั้นเป็นอามิสบูชา จะป่วยกล่าวไปไยในปฏิบัติบูชา

เพราะกุลบุตรเหล่าใด บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการรับสรณคมน์และสิกขาบท

ด้วยการสมาทานองค์อุโบสถ และด้วยคุณทั้งหลายของตน มีปาริสุทธิศีล ๔ เป็นต้น

ใครเล่าจักพรรณนาผลแห่งการบูชาของกุลบุตรเหล่านั้นได้. ด้วยว่า

กุลบุตรเหล่านั้น ท่านกล่าวว่า บูชาพระตถาคตด้วยการบูชาอย่างยอดเยี่ยม

เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า

ดูก่อนอานนท์ผู้ใดแลไม่ว่าเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรือ อุบาสิกา

เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม

ปฏิบัติชอบยิ่ง ประพฤติตามธรรม

ผู้นั้นชื่อว่าสักการะเคารพนับถือบูชายำเกรงนอบน้อมตถาคต

ด้วยการบูชาอย่างยอดเยี่ยม.

ความที่การบูชาแม้พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอริยสาวกนำมา

ซึ่งประโยชน์สุข พึงทราบตามแนวนี้.

อนึ่ง สำหรับ คฤหัสถ์ พึงทราบปูชเนยยบุคคลในข้อนี้อย่างนี้ คือ

ผู้เจริญที่สุด ทั้งพี่ชาย ทั้งพี่สาว ชื่อว่าปูชเนยยบุคคลของน้อง มารดาบิดา

เป็นปูชเนยยบุคคลของบุตร สามีพ่อผัวแม่ผัวเป็นปูชเนยยบุคคลของกุลสตรี

ทั้งหลาย ด้วยว่า การบูชาปูชเนยยบุคคลแม้เหล่านั้น เป็นมงคลทั้งนั้น

เพราะนับว่าเป็นกุศลธรรม และเพราะเป็นเหตุเจริญอายุเป็นต้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระพุทธดำรัสไว้ดังนี้ว่า-

ชนเหล่านั้น จักเป็นผู้เกื้อกูลมารดา เกื้อกูลบิดา

เกื้อกูลสมณะ. เกื้อกูลพราหมณ์ เป็นผู้นอบน้อมผู้ใหญ่ในสกุล ยังจัก

ยึดถือกุศลธรรมนี้ปฏิบัติ ก็จักเจริญทั้งอายุ จักเจริญทั้งวรรณะ เพราะเหตุ

สมาทานกุศลธรรมเหล่านั้นเป็นต้น.

บัดนี้ เพราะเหตุที่ข้าพเจ้าตั้งมาติกาหัวข้อไว้ว่า กล่าวสมุฏฐานเป็นที่

เกิดมงคล แล้วกำหนดมงคลนั้น จะชี้แจงความของมงคลนั้น ฉะนั้น จึงขอ

ชี้แจงดังนี้ พระผู้พระภาคเจ้าตรัสมงคลแห่งคาถานี้ไว้ ๓ มงคลคือ

การไม่คนพาล, การคบบัณฑิต, และการบูชาผู้ที่ควรบูชา,

ด้วยประการฉะนี้. ในมงคลทั้ง ๓ นั้น

พึงทราบว่าการไม่คบพาลชื่อว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุแห่ง

ประโยชน์ของโลกทั้งสอง เหตุป้องกัน ภัยมีภัยเกิดแต่คบพาลเป็นปัจจัยเป็นต้น

การคบบัณฑิตและการบูชาผู้ที่ควรบูชา ชื่อว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุแห่ง

นิพพานและสุคติ โดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในการพรรณนาความเพิ่มพูนแห่งผล

ของการคบบัณฑิตและการบูชาผู้ที่ควรบูชานั้นนั่นแล. แต่ข้าพเจ้าจักยังไม่

แสดงหัวข้อต่อจากนี้ไป จักกำหนดข้อที่เป็นมงคลอย่างนี้

จึงจักชี้แจงความที่ข้อนั้น เป็นมงคล.

จบพรรณนาความแห่งคาถานี้ว่า อเสวนา จ พาลานํ.



ความคิดเห็น 1    โดย ผู้ร่วมเดินทาง  วันที่ 4 ก.ย. 2555

ดูก่อนอานนท์ ผู้ใดแลไม่ว่าเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรือ อุบาสิกา

เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง ประพฤติตามธรรม

ผู้นั้นชื่อว่าสักการะเคารพนับถือบูชายำเกรงนอบน้อมตถาคต

ด้วยการบูชาอย่างยอดเยี่ยม.

----------------------------

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอและทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 2    โดย pirmsombat  วันที่ 4 ก.ย. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณผู้ร่วมเดินทางและทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 3    โดย nong  วันที่ 4 ก.ย. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย kinder  วันที่ 4 ก.ย. 2555

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย rrebs10576  วันที่ 5 ก.ย. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 15 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย pamali  วันที่ 15 มี.ค. 2556
ขออนุโมทนาค่ะ