กามกำหนัด ระงับได้ด้วยอะไรครับ
โดย lantern  7 มี.ค. 2551
หัวข้อหมายเลข 7748

พอเข้ามาเล่น internet ได้ใช้ประโยชน์ รับส่ง mail อ่านข่าว แต่พอจะปิด ใจเผลอไปเปิดดู clip video แอบถ่ายนักศึกษา, ญี่ปุ่น แล้วอดใจดูไม่ได้ครับ ดูเรือนร่าง และการร่วมประเวณี เห็นแล้วมีอารมณ์ขึ้นรุนแรง พยายามข่มโดย

๑. ใช้อสุภกรรมฐาน

๒. สูดลมหายใจ พิจารณาว่าร่างกาย เป็น อนิจจัง

๓. พิจารณาว่าการ ร่วมประเวณีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่ใช่ตัวตน เป็นธรรมอย่างหนึ่ง

๔. ไม่เปิด internet แต่คงตกงานแน่ เพราะต้องใช้ข้อมูลทุกวัน

แต่บางครั้งก็ทำได้ บางครั้งก็ทำไม่ได้ ต้องไปทำให้เสร็จกิจ ละอายใจตัวเองมากผมอยากทำให้ใด้ทุกครั้ง ควรฝึกอย่างไร และผมก็ฝึกองค์สมาธิเป็นฌานได้แล้ว ยังระงับกำหนัดได้ไม่หมดหรือครับ?

ช่วยแนะแนวทางให้ด้วยครับ ผมไม่อยากพ่ายแพ้ต่อกิเลสตัวนี้



ความคิดเห็น 1    โดย study  วันที่ 7 มี.ค. 2551

เชิญคลิกอ่านที่นี่ เราควรทำอย่างไรถ้าอยากจะละความอยาก ทำอย่างไรไม่ให้หลงใหลในสตรีเพศและกามรมณ์


ความคิดเห็น 2    โดย ajarnkruo  วันที่ 7 มี.ค. 2551


ผู้ที่จะดับความกำหนัด คือความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ได้หมดสิ้นต้องถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระอนาคามี แต่สำหรับผู้ที่เป็นปุถุชนนั้นการจะเห็นโทษของกามได้เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก หากไม่ใช่ด้วยปัญญาที่เห็นโทษของโลภะในชีวิตประจำวัน ก็ไม่สามารถจะไประงับ บังคับ ควบคุม ไม่ให้โลภะเกิดได้เลย ทุกคนมีจิตเห็น แล้ววันหนึ่งๆ ก็เห็นในสิ่งต่างๆ กันไม่เหมือนกัน บางคนเห็นสิ่งที่น่าใคร่ บางคนเห็นสิ่งที่ไม่น่าใคร่ ไม่มีใครบังคับไม่ให้เห็นได้ เพราะมีปัจจัยให้ต้องเห็นด้วยผลของกรรม แต่หลังเห็นมักจะเป็นอกุศล ก็เป็นสิ่งที่ควรจะเข้าใจในความเป็นจริงของการสะสมว่า ในแสนโกฏิกัปป์ที่ผ่านมา หลังเห็นเป็นอกุศลมากต่อเนื่องกันหลายวาระ เพราะอะไร? ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีอนุสัยกิเลสที่เป็นเชื้อให้อกุศลเกิดแล้วเกิดอีก แล้วก็สะสมใหม่เรื่อยๆ สังสารวัฏฏ์จึงได้ยืดยาว เพราะเหตุฉะนี้ เห็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ clip VDO สติเกิดขึ้นไหม ปัญญารู้ไหมว่าจิตเป็นอะไร กุศลหรืออกุศล ปัญญารู้ถึงความไม่สงบของจิต หรือปัญญารู้ว่าก็เป็นสภาพธรรมหนึ่งเท่านั้น หรือว่าเป็นเราที่พอใจในรูปที่น่าใคร่ซึ่งเพียงปรากฏทางตาแล้วก็ดับไป หรือว่าเป็นเราที่เดือดร้อน กระสับกระส่าย ไม่สบายใจ หลังจากการเห็นนั้นเกิดและดับไปแล้วหลายวาระ พระโสดาบันก็ยังมีกิเลส คือโลภะ โทสะ โมหะ แต่ท่านไม่เดือดร้อนใจว่ายังมีท่านหรือเป็นท่านแพ้ ชนะกิเลสของท่าน แต่ปัญญาที่เกิดกับจิตของพระโสดาบันนั้นเอง เข้าใจกิเลสตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่ท่านและไม่ใช่ของท่าน ที่ต้องเกิดเพราะยังมีอนุสัยอยู่ ซึ่งจะต้องเป็นกิจของโลกุตตรปัญญาที่จะต้องดับจนเป็นสมุจเฉท ตามขั้นของโลกุตตร มรรคที่ได้บรรลุครับ เพราะฉะนั้น ขอให้ฟังพระธรรมและเจริญปัญญาต่อไปให้ค่อยๆ มั่นคงในธรรมะครับ


ความคิดเห็น 3    โดย pannipa.v  วันที่ 7 มี.ค. 2551

โอ้โฮ!!! นี่ขนาดฝึกองค์ฌานสมาธิ เป็นฌาน (คืออะไรก็ไม่รู้) ยังระงับกำหนัดไม่ได้ แล้วจะทำไงดี?

คุณไม่เข้า web นั้น คุณก็ไม่เคยคลายกำหนัดในกามอยู่แล้ว แล้วถ้าเข้าสารพัด web ที่คุณบรรยายมา คุณจะรอดได้ไง? ทำแล้ว จบแล้ว (แล้วคุณก็ต้องทำอีก..เชื่อเหอะ)

แล้วที่ว่า ฌานๆ น่ะ ชานอะไร? ช่วยอธิบายหน่อย


ความคิดเห็น 4    โดย wannee.s  วันที่ 7 มี.ค. 2551

ให้หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดโลภะ สำรวมที่จะไม่ดู ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ฯลฯ ให้ฟังธรรมะ โดยเฉพาะการฟังแนวทางเจริญวิปัสสนา เพราะเป็นปัญญาที่ทำให้รู้จักสภาพธรรมะตามความเป็นจริง แม้ความติดข้องในขณะนั้นก็เป็นธรรมะที่ไม่ใช่เรา ยังดีกว่าติดข้องก็ยังเป็นเราค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย suwit02  วันที่ 7 มี.ค. 2551

คุณ lantern ครับ ผมได้อ่านเรื่องของคุณแล้ว รู้สึกว่าเข้าลักษณะบุคคลผู้มีน้ำตานองหน้า (พยายาม) ประพฤติพรหมจรรย์ ซึ่งผิดปกติ นะครับ

โดยปกติแล้ว ผู้ใดได้พบพุทธธรรม คริสต์ธรรมหรือธรรมใดๆ แล้ว ผู้นั้นจะรู้สึกในทางที่ดี แช่มชื่น เบิกบาน ตัวอย่างเช่น เดิมเคยรุ่มร้อนด้วยความพยาบาทก็จะใจเย็นลง มีเมตตา เคยกระหายกามนักก็คลายลง หันไปหาสุขที่ประณีตละเมียดละไมขึ้น เคยรู้สึกว่าชีวิตเหลวแหลกไร้ค่า ก็จะภูมิใจในคุณค่า ความดีของตนเองเป็นต้น

แต่กรณีของคุณที่เล่ามา ตรงกันข้ามไปหมด คุณกลับรู้สึกเร่าร้อนขึ้นเลื่อนลอยถึงกับคลิกไปก็ไม่รู้ตัว และรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย ละอายใจ เป็นคนบาป เรามาช่วยกันหาว่า มีอะไรผิดไปนะครับ หลักง่ายๆ ธรรมะน่ะไม่ผิดหรอกครับ ถ้าอะไรผิดไป ก็อยู่แถวๆ ตัวเรานี่ละครับ โดยมากจะเป็นเรื่องทางสายกลาง มาดูกันนะครับ

คุณ lantern คงทราบว่า แม้แต่พระภิกษุ ก็มีต่างกัน เช่น พระธุดงค์ พระบ้าน พระที่ต้องอาบัติบ่อยๆ พระที่แม้แต่ศีล ๔ ก็สะอาดหมดจด ซึ่งจะเหมารวมไปว่า ท่านองค์นี้ปฏิบัติดี องค์นี้ย่อหย่อนนั้น เป็นไม่ถูกต้อง ที่จริงท่านใดปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ธรรม เต็มกำลังตามชั้นภูมิธรรมแท้จริงของท่าน ก็นับได้ว่าเดินทางกลางไม่ตึงไม่หย่อน หมายความว่า การปฏิบัติธรรมก็ดี ทางสายกลางก็ดี เป็นเรื่องเฉพาะแต่ละบุคคล เพราะเหตุนั้นพระสัมพุทธเจ้า จึงทรงช่วยเหลือได้สรรพสัตว์ได้มาก เนื่องจากทรงทราบอัธยาศัยของสรรพสัตว์ คุณ lantern เคยได้ยิน "คบคนเช่นใด ก็เป็นเช่นนั้น" ใช่ไหมครับ และคุณคงได้ยินมาดี ได้ฟังมาดี ถึงปฏิปทาของท่าน ผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม คุณจึงพยายามปฏิบัติตาม ซึ่งหากปฏิปทานี้ เป็นชั้นภูมิธรรมของคุณ เป็นอัธยาศัยจริงของคุณ คุณจะรู้สึกดีๆ อย่างที่ผมพูดไว้ว่า คนทั่วไปเขาพบธรรมแล้ว เป็นอย่างไร ทำนองเดียวกัน พอคลิปนักศึกษา มาใกล้คุณ คุณขาดสติ ก็คบเธอไปแล้ว คุณเลยกระหายกาม เร่าร้อนจัดเหมือนเธอไงครับ และก็เช่นกันครับ นี่ก็คงไม่ใช่อัธยาศัยจริงของคุณหรอกครับ เพราะถ้าใช่ คุณจะรู้สึกมันส์อย่างเดียว ไม่มารำพันในเว็บนี้ อย่างนี้ ถ้าอย่างนั้น อัธยาศัยแท้จริงของคุณคืออะไร ทางสายกลางของคุณคือ อะไร อัธยาศัยของคุณคือ
(รัวกลอง)



ความคิดเห็น 6    โดย suwit02  วันที่ 7 มี.ค. 2551

ใครจะไปรู้ ก็ไม่ใช่พระสัมพุทธเจ้านี่นา

แต่อย่าตกใจ เรามี แอบโดมิไนซ์ ขายในราคาเพียง เอ๊ะ ไม่ใช่ เรามี นอร์มอล ของอุบาสก มาเสนอท่าน ครั้งแรกฟรีครั้งต่อไปก็ฟรี ครั้งไหนๆ ก็ฟรี (ผมก็รับมาจากเว็บนี้ฟรีๆ นี่ จะเอามาขายต่อหน้าเค้าได้ไง) ปฏิปทาของอุบาสกในศาสนานี้ เป็นดังนี้ ครับ วันธรรมดาหรือวันไหนๆ ก็ตาม มีสรณคมน์ ประดับด้วย ศีล ๕ และการฟังธรรมตามกาล อนึ่ง หากอุบาสกนั้น มีปกติเจริญสติด้วย ก็เป็นอุบาสกรัตนะ เฉพาะวันอุโบสถหรอกครับ ที่อุบาสกเลียนแบบพระ คุณเล่นกั้นเขื่อนตลอดกาลก็อั้นสิครับ แต่ว่า ในวันอุโบสถ คุณอธิษฐานอะไรไว้แล้ว ต้องทำให้ได้นะครับ นอกวันอุโบสถ คุณทำอะไรไป อย่าคิดว่า คุณแพ้ (ผมไม่ได้พูดว่า อยากทำอะไรก็ทำ นะ) แต่ให้คุณคิดว่า ทุกวันอุโบสถ คุณชนะ แล้วน้อมระลึกคุณของพระสัมพุทธเจ้า ว่าทรงเป็นชนะกิเลสเช่นนี้แล้ว โดยไม่ทรงหวนกลับมาแพ้อีก น้อมระลึกถึงคุณพระธรรมว่า เป็นธรรมนำให้สัตว์พ้นกิเลสเช่นนี้ โดยไม่กลับมาแพ้อีก พระสงฆ์ ....
คุณลองอ่าน บางส่วนของ อุโปสถสูตร อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต แล้วจะเข้าใจlogic นี้


ความคิดเห็น 7    โดย suwit02  วันที่ 7 มี.ค. 2551

ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่...ว่าด้วยอุโบสถ ๓ อย่าง [อุโปสถสูตร]


ความคิดเห็น 8    โดย suwit02  วันที่ 7 มี.ค. 2551

หลังจากคุณ หยั่งลงในภูมิธรรมของอุบาสกแล้ว ถ้าคุณสบายใจขึ้นกว่าเดิม ก็แสดงว่าอัธยาศัยของคุณใกล้มาทางนี้ ทางสายกลางของคุณใกล้มาทางนี้ แล้วอัธยาศัยแท้จริงของคุณคืออะไร ทางสายกลางของคุณคืออะไร

ใครจะไปรู้ ก็อย่างที่พูดไปแล้ว ไม่ใช่พระองค์นี่นา แต่นอกจากพระองค์แล้ว ยังมีอีกคนรู้ครับ คุณลองคิดดู นะครับว่า
๑. เขาเป็นใคร ๒. ทำยังไงเขาถึงรู้ ๓. หากคุณรู้อย่างที่เขารู้ แล้วคุณจะได้อะไร ปล.เรื่อง อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ที่คุณพูดมา ก็ฟังดูแปลกๆ แต่ไม่ใช่เรื่องที่คุณเดือดร้อนอยู่ เอาเป็นว่าค่อยๆ ศึกษา ค่อยๆ เจริญ ตามชั้นภูมิ นะครับ

ขอให้พระสัทธรรม ทำให้ใจของคุณเบิกบาน ครับ


ความคิดเห็น 9    โดย Pararawee  วันที่ 8 มี.ค. 2551

ทุกอย่างเป็นธรรมะ

นะ


ความคิดเห็น 10    โดย toangsg  วันที่ 22 ต.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ