ทันทีที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ มีสภาพธรรมซึ่งใส่ใจในอารมณ์นั้นแล้ว แต่ไม่ได้ปรากฏถึงความใส่ใจ หรือความสนใจ แต่เป็นลักษณะสภาพของเจตสิกซึ่งทำกิจนั้น กำลังฟังอย่างนี้ใส่ใจในเสียง ใส่ใจในความหมาย หรือไม่ ถ้าขณะที่ไม่ใส่ใจในเสียง ในความหมาย แต่ก็ใส่ใจในสิ่งอื่น ก็ยังคงเป็นลักษณะของมนสิการเจตสิกที่เกิดกับจิตซึ่งใส่ใจในอารมณ์อื่น แต่ถ้าขณะที่กำลังมีเสียง ได้ยิน แล้วก็มีความหมาย แล้วก็ใส่ใจที่จะเข้าใจความหมายของเสียงนั้น ต่างกันแล้วใช่ไหม แต่ก็เป็นมนสิการเจตสิกนั่นเอง เป็นสภาพที่ใส่ใจ แต่ใส่ใจกับเจตสิกอื่นๆ ด้วย เวลาที่ไม่ใส่ใจในเรื่องราวของธรรม ไปใส่ใจในอย่างอื่น ก็คือเกิดพร้อมกับเจตสิกอื่นๆ ที่กำลังใส่ใจในสิ่งที่จิตกำลังรู้
ถ้าจะกล่าวถึงเจตสิก เช่น มนสิการเจตสิกกับฉันทเจตสิก ดูคล้ายๆ และใกล้กัน บางทีคำแปลจากภาษาบาลีสู่ภาษาอื่นๆ ก็จะใช้คำที่ใกล้เคียงกับความหมาย หรืออรรถของสภาพธรรมนั้นมากน้อยแค่ไหน เช่น ฉันทะ ยังไม่ขอกล่าวถึงมนสิการ เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจฉันทะ ก็จะเห็นความใกล้เคียงของฉันทะ และมนสิการซึ่งก็เกิดพร้อมกันในจิตที่ไม่ใช่อเหตุกจิต ต้องมีฉันทเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่สำหรับมนสิการเกิดกับจิตทุกประเภท นี่ก็เป็นความต่างกัน
พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 432