ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โครงการหลวงอินทนนท์ ๑๑-๑๓ ม.ค. ๒๕๕๕ ตอนที่ ๒
โดย วันชัย๒๕๐๔  25 ม.ค. 2555
หัวข้อหมายเลข 20440

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

วันที่ ๒ ของการเดินทางมาสนทนาธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากรของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ที่โครงการหลวงอินทนนท์ ข้าพเจ้าตื่นแต่เช้าและพบกับอากาศหนาวเย็นสดชื่นกำลังดีราว ๑๕ องศาเซลเซียส และเมื่อมาถึงที่รับประทานอาหาร ก็พบว่าท่านอาจารย์ท่านมานั่งรับประทานอยู่ก่อนแล้ว ท่านดูร่าเริง สดชื่นมาก ยิ่งทำให้เช้านี้ของทุกๆ คน เป็นเช้าที่สดชื่น มีความสุขล้นในใจ ท่ามกลางบรรยากาศบนดอยสูง ที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขา น้ำตก และ ดอกไม้นานาพันธุ์

อาหารเช้าวันนี้ มีหมั่นโถทอด ที่ข้าพเจ้าเพิ่งได้เคยรับประทานเป็นครั้งแรกในชีวิต อร่อยมากครับ ทานกับกาแฟสดยามเช้า สดชื่นรื่นรมย์เป็นพิเศษ แล้วก็ยังมีไส้กรอก แฮม เบค่อน ไข่ดาว และอาหารที่ขึ้นชื่ออย่างหนึ่งของที่นี่ก็คือ ปลาเทราท์ ซึ่งมีการนำมาทดลองเพาะเลี้ยงขึ้นที่นี่เป็นครั้งแรกในราวปี ๒๕๑๘ โดยพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องจากปลาเทราท์เป็นปลาที่เจริญเติบโตได้ดี ในภูมิอากาศหนาวเย็น มีรสชาติดี มีคุณค่าทางอาหารสูง และเช้านี้ทางโครงการก็ได้นำมาทำเป็นข้าวต้มปลาเทราท์ ซึ่งอร่อยและสดมากครับ

วันนี้ ตามโปรแกรม ที่ทางชมรมบ้านธัมมะ มศพ.เชียงใหม่กำหนดไว้ คือ มีการสนทนาธรรมในช่วงเช้า หลังรับประทานอาหารกลางวัน ก็จะพาทุกท่านขึ้นไปชมพระมหาธาตุเจดีย์ นภเมทนีดล และพระมหาธาตุเจดีย์ นภพลภูมิสิริ และพาขึ้นสู่จุดสูงสุดของประเทศไทยบนยอดดอยอินทนนท์ ที่มีป่าอุดมสมบูรณ์เก่าแก่ ท่ามกลางอากาศหนาว เย็นสบาย และบนยอดสูงสุดนี้ ก็มีคณะสหายธรรมจากลพบุรีที่เดินทางมาเที่ยวและได้พบกับท่านอาจารย์ด้วย เป็นปีติของทุกท่านที่ได้พบครับ

บัดนี้ ข้าพเจ้าขออนุญาตนำเสนอภาพและความการสนทนาธรรมในวันนั้น รวมถึงภาพกิจกรรมยามค่ำคืนในวันนั้นที่ทุกท่านได้พร้อมใจกันจัดขึ้นเพื่อน้อมบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิดของท่านดังนี้ ...

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

คุณคำปั่น กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ จากการสนทนาธรรมทุกครั้ง ท่านอาจารย์ก็จะได้อธิบายให้ผู้ศึกษาได้เข้าใจว่า ธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นภาษาใดก็ตาม ก็เพื่อส่องให้เข้าใจถึงสภาพธรรมะ ถ้าเป็นในสมัยพุทธกาลก็ใช้ภาษามคธหรือภาษามคธีเป็นภาษาสำคัญที่คนส่วนใหญ่ใช้กัน ถ้าเป็นคนไทยก็พูดภาษาไทย ซึ่งถ้าหากว่าได้ศึกษาพระธรรมซึ่งเป็นพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างเช่นตัวอย่างพระสูตรเมื่อคืน ก็คือ ปฐมทารุขันธสูตร ซึ่งถ้าหากว่าเป็นสมัยพุทธกาลที่พระองค์ตรัส ที่พระองค์ทรงแสดง ก็ทรงแสดงด้วยภาษาบาลีหรือภาษามคธ แต่สำหรับคนไทยเรา ก็ฟัง ก็อ่าน ด้วยภาษาของคนไทย ก็คือ ภาษาไทย ซึ่งเมื่อได้อ่าน ได้ศึกษาแล้ว ก็ตรงกัน ทั้งภาษาบาลีและภาษาไทย

ทีนี้ ก็จะมีอีกคำหนึ่งครับท่านอาจารย์ครับ เวลาฟัง ก็จะต้องมีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังฟัง เพราะว่า คำแต่ละคำนั้น ก็เพื่อเข้าใจตัวจริงของสภาพธรรมะ กราบเรียนท่านอาจารย์ตรงนี้ด้วยครับ ฟังให้เข้าใจ ในสิ่งที่กำลังฟัง ครับท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ตอนนี้ทุกคนก็ทราบว่า ฟังสิ่งที่มีจริง ใช่ไหม? เข้าใจ ในภาษาไทย เพราะว่า เรากำลังพูดถึง สิ่งที่มีจริง ในขณะนี้ ถ้าใครบอกว่า รู้แล้ว ก็ไม่ต้องฟัง เพราะว่ารู้แล้ว แต่ว่า รู้จริงๆ หรือเปล่า? ถ้ารู้จริงๆ ก็หมายความว่า เข้าใจในสภาพความจริง ของสิ่งนั้น เช่น เมื่อกี้นี้เราพูดถึง ความเพียร ภาษาไทยเราเข้าใจใช่ไหม? คนขยัน ไม่เกียจคร้าน แล้วก็มีความตั้งใจ อุตสาหะ ที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ในขณะนั้นก็เป็นความเพียรแล้ว ความเพียรคืออะไร? เห็นไหม? ถ้าเราไม่ฟัง ให้เราคิดเอง จะตอบว่าอย่างไร?

ความเพียร มีจริงๆ แต่ว่ามีรูปร่างที่จะบอกได้ไหมว่า เขียว แดง ขาว ดำ บอกไม่ได้เลย แต่มี แต่ว่าความเข้าใจของเรา ซึ่งไม่ใช่ผู้รู้ ผู้ตรัสรู้คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็รู้เพียงเล็กน้อยมาก ว่า คนนี้ขยัน ทำงานไม่หยุดเลย ถึงเวลาเลิกงานแล้วยังทำต่อ หรือว่า ใครที่ปลูกต้นไม้ ทำสวนครัว ปลูกผัก ปลูกหญ้า เราก็บอกว่า เขากำลังเพียร

แต่ว่า ความจริง ที่เรากล่าวว่าเพียร เพียร ต้องมีจริง แต่ความรู้ของเราน้อยมาก เพียงแค่รู้ว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น เห็นแล้วรู้ว่า สิ่งที่เห็นเป็นอะไร ในขณะที่รู้ว่า สิ่งที่เห็นเป็นอะไร ก็เพียรแล้ว นี่คือความละเอียดอย่างยิ่ง

เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องฟังความจริงของสิ่งที่มีจริง โดยละเอียด ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงที่เป็นจริงที่สุดในสี่ประการ มี ๔ อย่าง คือ จิต สภาพรู้ ธาตุรู้ ซึ่งกำลังเห็น ถ้าจะบอกว่า จิต คืออะไร? จิต มีลักษณะอย่างไร? ก็ไม่เหมือนกับ ขณะนี้ เห็นหรือเปล่า? ถ้าขณะนี้เห็น เห็นมีแน่ๆ "เห็น" นั่นแหละ เป็นธาตุที่สามารถจะรู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น

ไม่ว่าจะมีอะไรปรากฏ กระทบกับจักขุปสาทและมีธาตุเห็นเกิดขึ้น ก็จะรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏ มีลักษณะอย่างไร เพียงเห็น ก่อนนะคะ แล้วต่อจากนั้นจึงจะรู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร จากเห็น มาเป็นรู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร ก็มีความเพียรแล้ว ก็คือ ความเป็นไปของธรรมะ ตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งเป็นการเกิดขึ้นของธาตุรู้ บางครั้งก็เกิดขึ้นเห็น เป็นธาตรู้ชนิดหนึ่ง บางครั้งก็เกิดขึ้น ได้ยินเสียง ไม่ใช่เห็นแล้ว ก็เป็นธาตุรู้ หรือจะใช้คำว่า จิต ก็ได้

อีกประเภทหนึ่ง คือ เป็นธาตุที่สามารถจะรู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้นั้น เป็นอย่างไร รู้แจ้ง ในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นสีสันต่างๆ

อย่างดอกไม้ที่โต๊ะนี้ เห็นได้ว่า สีไม่เหมือนกัน เพราะอะไร? เพราะ จิตรู้แจ้ง สิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ถ้าจิตไม่เกิดขึ้น จะรู้ไหมว่า ดอกไม้นี่ สีต่างๆ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะไปรู้ได้ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย สิ่งที่มีชีวิตคือ สัตว์ บุคคล ก็จะต้องมี "ธาตุรู้" เกิดขึ้น ถ้าไม่มีธาตุรู้ ก็ไม่สามารถจะเป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ คิดไม่ได้ จำไม่ได้ ชอบไม่ได้ อะไรไม่ได้เลย นี่คือความต่างกันของสิ่งที่มีจริง

สิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่งนั้น ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น แต่ถ้าไม่มีสิ่งที่สามารถ "รู้" โลกก็ไม่ปรากฏ อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ เสียงก็ปรากฏไม่ได้ กลิ่นก็ปรากฏไม่ได้ ถ้าสิ่งนั้นไม่เกิดขึ้นปรากฏ จะชอบหรือชังในสิ่งที่ปรากฏก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น แหล่งที่สำคัญที่สุดของโลก ก็คือ จิต ถ้าไม่มีจิต ไม่เป็นไรเลย ฝนจะตก น้ำจะท่วม ภูเขาไฟจะระเบิด ก็ไม่มีอะไรที่จะเดือดร้อน เพราะเหตุว่า ไม่มีใครไปรู้ ไปเห็น ก็เป็นไปตามธาตุต่างๆ ซึ่งถึงกาลที่จะวิบัติหรือเป็นไปอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

แต่ว่า จิต เป็นธาตุที่รู้ เดี๋ยวนี้ กำลังเห็น นี่แหละ รู้แค่นี้ พอไหม? ถ้ารู้แค่นี้ ก็ไม่พอ เพราะยังไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว เห็นนี้ เห็นเล็กน้อย สั้นมาก แล้วก็หมดไป ถ้าจะพูดถึงเรื่องความเพียร ให้เข้าใจว่าความเพียร คืออะไร? ความเพียร ไม่ใช่จิต จิต ธาตุชนิดนี้ เพียงเกิดขึ้น รู้สิ่งที่ปรากฏ อย่างเดียว

เพราะฉะนั้น อีกชื่อหนึ่งของจิต คือ ปัณฑระ เป็นสภาพที่ผ่องใส เพราะเหตุว่า ขณะนั้น เราไม่กล่าวถึงธาตุอื่น นามธาตุ ซึ่งเกิดกับจิต เช่น โกรธบ้าง ชอบบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เราจะไม่พูดถึงสภาพธรรมะนั้นๆ เพราะเป็นแต่ละหนึ่ง สุข ไม่ใช่จิต เพราะจิตเป็นแต่เพียงสิ่งที่สามารถจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ รู้แจ้งจริงๆ

ด้วยเหตุนี้ วันหนึ่งๆ ไม่ได้มีแต่จิต แต่มีสภาพของนามธรรม ซึ่งเกิดกับจิต ทำให้จิตนั้นหลากหลาย เป็นจิตที่ดีก็มี เป็นจิตที่ไม่ดีก็มี หรือว่า เป็นจิตที่ทั้งไม่ใช่ไม่ดีและดี ก็มี นี่คือ ความละเอียด ของผู้ที่ทรงตรัสรู้ เมื่อมีความศรัทธาที่จะเลื่อมใสในผู้ประเสริฐ ผู้รู้แจ้งสภาพธรรมะ ก็ไม่ใช่เพียงแต่ว่าเลื่อมใสโดยไม่เข้าใจ ว่าผู้นั้น เลิศอย่างไร? แต่ว่า การที่จะนับถือบุคคลใด ว่าเป็นเลิศ ก็ต้องรู้ความเป็นเลิศของบุคคลนั้นด้วย

คือ ผู้ที่สามารถจะรู้ความจริง ของสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะ แม้ในขณะนี้ เพียงพูดคำหนึ่งคำใด คนอื่น ยากจะเข้าใจหมดจด สิ้นเชิง เช่น เพียร มีใครเพียรเห็นบ้าง? นอนหลับสนิท ฟ้าแลบ ตื่นแล้ว ใช่ไหม? มีสิ่งที่กระทบตา ใครไม่ตื่น ให้ตื่นได้ไหม? ให้เห็นได้ไหม? ไม่ได้ ฟ้าก็แลบไป เสียงฟ้าร้อง ใครจะตื่นหรือไม่ตื่น ก็แล้วแต่ ไม่ใช่ไปบังคับ ให้คนที่ไม่ได้ยินเสียง เกิดได้ยิน หรือคนที่หลับสนิท แล้วเกิดตื่นเพราะเสียงฟ้าร้อง ก็ไปบังคับไม่ให้ตื่นขึ้นได้ยินเสียง ก็ไม่ได้

เพราะฉะนั้น นี่ก็แสดงความจริงอยู่แล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ด้วยเหตุนี้ แม้เพียงชีวิตปรกติ ธรรมดาๆ ก็ยังต้องอาศัยการฟังความจริง ของสิ่งที่มีจริงในชีวิต เพื่อที่จะได้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ที่ทุกคนเกิดมา ปรากฏในโลกนี้ เพียงชั่วคราว แล้วก็ หายไป แล้วก็จะเป็นคนนี้อีกต่อไป ไม่ได้เลยทั้งสิ้น

แต่ก่อนนั้น ดีหรือชั่ว หรือว่า สุขหรือทุกข์ มากมาย หรือเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ก็เป็นอย่างนั้น ด้วยเหตุนี้ ควรรู้ ไม่ใช่ว่ามีโอกาสที่จะเข้าใจ แล้วก็ไม่สนใจที่จะเข้าใจ แต่โอกาสนี้ หายาก เพียงจากโลกนี้ไป จะรู้ไหม? ว่ามีโอกาสที่จะได้ฟังอย่างนี้อีกหรือเปล่า?

ฟังเรื่อง สิ่งที่มีจริง ในแต่ละชาติที่เกิดมาให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ว่า แท้ที่จริงแล้ว เป็นสิ่งที่มีจริงชั่วคราว "ชั่วคราว" คือ สั้นมาก แล้วก็ หมดไป นี่คือ การฟัง ให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง เพราะว่า กำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง

เพราะฉะนั้น ใครจะเข้าใจได้มากน้อยเท่าไหร่ เห็นประโยชน์มากน้อยเท่าไหร่ ก็แล้วแต่ว่า สะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ ว่า เกิดมาแล้ว บางคนก็ขวนขวาย ทำงาน มีเงิน มีทอง มีทรัพย์สินทุกอย่าง ที่อยากจะได้ แล้วก็ ... จากไป ... แล้วก็ ... หายไปเลย ... จำอะไรก็ไม่ได้ ชาติก่อนเป็นอย่างไร ไม่รู้เลย พอถึงชาตินี้ ก็กำลังเหมือนกับทุกอย่างมีจริง ขวนขวาย หามา ได้มาทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พอชาติต่อไป ก็ไม่รู้แล้ว ชาตินี้เป็นอย่างไร ก็ไม่รู้เลย ทำอะไรไว้ มากน้อยแค่ไหน ก็ไม่รู้!!

เพราะฉะนั้น การที่มีโอกาสที่จะได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ จะสามารถทำให้เข้าใจ ถึงอดีตและสิ่งที่จะเกิดขึ้นด้วย เพราะอย่างไรก็ไม่พ้นจาก เห็น เกิดแล้วต้องเห็น เกิดแล้วต้องได้ยิน เกิดแล้วต้องได้กลิ่น เกิดแล้วต้องลิ้มรส เกิดแล้วต้องกระทบสัมผัส เกิดแล้วต้องคิดนึก บังคับไม่ได้เลยว่า สิ่งที่มีชีวิตที่เกิดมาเป็นธาตุรู้ แล้วจะไม่รู้อย่างนี้ เป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ว่า จะรู้ที่โลกมนุษย์ หรือว่าสวรรค์ หรือพรหมโลก หรือว่านรก หรือว่าสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย เลือกไม่ได้เลย!!

แต่ว่า ขณะใดที่มีโอกาสได้ฟังและได้เข้าใจ ก็จะไม่สูญเปล่า ไม่เหมือนกับเกิดมาแล้ว ก็จากไป แล้วก็จำอะไรไม่ได้เลย แต่ขณะนี้ ความเข้าใจที่ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็ก ทีละน้อยจะสืบต่อไปถึงชาติต่อไป เหมือนชาติก่อน ต้องเคยได้ยิน ได้ฟัง มาบ้าง ก็สืบต่อมาจนกระทั่งเห็นประโยชน์ของการที่จะได้เข้าใจ สิ่งที่มี ไม่ใช่ว่า อยู่ในโลกไปเรื่อยๆ โดยไม่เข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ

คุณคำปั่น กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มากครับ ก็เป็นข้อความ เป็นถ้อยคำที่ไพเราะ ที่แสดงถึงสิ่งที่มีจริง เพื่อให้ผู้ฟังนั้นได้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง และในช่วงท้าย ท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวถึง ความเป็นผู้เห็นประโยชน์ของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาแล้ว ทุกคนต้องตายแน่นอน ท่านอาจารย์ก็ใช้คำที่ไพเราะว่า ใครจะจากโลกนี้ไป ก่อนใคร? ใครจะหายไป ก่อนใคร? ไม่มีใครรู้ นะครับ

นั่งอยู่ที่นี่ เกือบร้อยชีวิต ก็ไม่รู้ว่า ใครจะไปก่อนใคร? แต่ก็เป็นการจากไปด้วยดี นะครับ เพราะว่า ได้สะสมการฟังพระธรรม สะสมการเห็นประโยชน์ของการที่ได้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง ซึ่งก็เป็นโอกาสที่สำคัญในชีวิต เพราะว่าแต่ละขณะ แต่ละขณะ นั้น ก็เป็นธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริง ที่เกิดขึ้น เป็นไป ตามเหตุตามปัจจัย

แต่ถ้าหากว่า ไม่มีการฟัง ไม่มีการศึกษาเลย ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจ เพราะฉะนั้น จึงมีข้อความ ที่เป็นประโยชน์ว่า "เกิดมา เพื่อจากไปด้วยดี ด้วยการสะสมความดีและฟังพระธรรมให้เข้าใจ" ก็เป็นข้อความที่ท่านอาจารย์ ได้กล่าวไว้ ที่ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา " ... เกิดมา เพื่อจากไปด้วยดี ด้วยการสะสมความดีและฟังพระธรรมให้เข้าใจ ... "

ท่านอาจารย์ เริ่มต้นของการฟัง ต้องเป็นผู้ที่ตรง ถ้าไม่ฟังพระธรรมให้เข้าใจ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทรงมีประโยชน์หรือเปล่า?

เพียงเท่านี้ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมให้เข้าใจ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีประโยชน์แก่ใครหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุดที่ทุกคนได้รับคือ ใครก็ตาม ที่ฟังแล้ว เห็นค่า แล้วก็พิจารณา ไตร่ตรอง เพื่อเข้าใจพระธรรม ถึงจะเห็นประโยชน์หรือคุณค่าของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่า เกิดมาแล้ว ไม่ฟังพระธรรม แล้วก็บอกว่านับถือพระรัตนตรัย แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทรงมีคุณค่าสูงสุด เลิศกว่าบุคคลใดทั้งสิ้น ก็ต่อเมื่อ มีผู้เข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดง ถ้าไม่เข้าใจ แล้วก็บอกว่า พระองค์เป็นผู้เลิศ ประเสริฐที่สุด ตรงไหม?

(คณะสหายธรรมจากลพบุรี ที่เดินทางมาเที่ยว และ ได้พบท่านอาจารย์ที่นี่)

" ... เราควรจะรู้จุดประสงค์ของการฟังธรรมว่า มิใช่เพื่อตนเอง มิใช่เพื่อลาภสักการะ ชื่อเสียง มิใช่เพื่อการยกย่องว่าเป็นคนฉลาด มีปัญญา จุดประสงค์ที่แท้จริงนั้นเพื่อรู้จักตนเอง รู้ความจริงว่า ยังไม่เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง เช่น ไม่รู้ความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธรรมอย่างหนึ่ง และเสียงที่ปรากฏทางหูก็เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง เป็นต้น

ความเข้าใจพระธรรม การอนุเคราะห์ผู้อื่นให้เข้าใจและเห็นประโยชน์ของพระธรรมนั้น เป็นสาระสำคัญที่สุดในชีวิต การสงเคราะห์ช่วยเหลือสังคมนั้น ไม่มีวันจบสิ้น และไม่สามารถให้เกิดความสงบสุขได้ เมื่อไม่เข้าใจพระธรรม ความทุกข์ก็จะบรรเทาและหมดสิ้นไปไม่ได้ เพราะไม่รู้เหตุที่แท้จริงของปัญหาต่างๆ เหตุที่แท้จริงของปัญหาและความทุกข์ทั้งหลายนั้นก็ คือ โลภะ โทสะ โมหะ ... "


(ข้อความบางตอนจากคำกล่าวของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในโอกาสเข้ารับรางวัลสตรีดีเด่นในพระพุทธศาสนา เนื่องในวันสตรีสากลขององค์การสหประชาชาติ)

ในตอนค่ำ หลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ทางคณะศิษย์ของท่านอาจารย์ ที่มีชมรมบ้านธัมมะ มศพ. เชียงใหม่ เป็นแกนนำ ได้จัดให้มีการแนะนำตัวผู้ใหม่ ความประทับใจ ความซาบซึ้งใจ ที่มีต่อท่านอาจารย์ และการแสดงต่างๆ เพื่อน้อมบูชาคุณท่านอาจารย์ เนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิด ๘๕ ปีของท่านอาจารย์ ในวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๕

ซึ่งท่านที่มีความสนใจ สามารถชมรายการต่างๆ ที่ได้บันทึกวีดีโอ และได้ทำการดาวน์โหลดลง youtube ไว้โดยคุณพรชัย อภิศักดิ์ศิริ (คุณป๊อบ) ตามลิงก์นี้ครับ ...

วีดีโอกิจกรรมระลึกนอบน้อมคุณความดี บูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ฯ

ในตอนท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอนำคำกล่าวบูชาคุณ ของคุณคำปั่น อักษรวิลัย ที่ได้กล่าวไว้อย่างไพเราะ ลึกซึ้ง เป็นคำกล่าวที่มีค่าน่าประทับใจที่สุดในค่ำคืนนั้น ดังนี้

" ... ท่านอาจารย์ อุทิศชีวิตทั้งชีวิต ทั้งกายและใจ เพื่อประโยชน์คือความเข้าใจถูก เห็นถูก สำหรับผู้อื่นอย่างแท้จริง ท่านอาจารย์ เป็นผู้เกิดมาเพื่อความเข้าใจของผู้ที่สั่งสมเหตุที่ดีมา ที่จะได้ฟังพระธรรม ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรม ได้รับประโยชน์จากใคร ก็จะมีความปรารถนาดีให้ผู้นั้นมีอายุยืนนาน ชีวิตของผู้มีปัญญา ยิ่งมีอายุยืนนานเท่าใด ก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น มากเท่านั้น ... "

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ


ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โครงการหลวงอินทนนท์ ๑๑-๑๓ ม.ค. ๒๕๕๕ ตอนที่ ๑

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โครงการหลวงอินทนนท์ ๑๑-๑๓ ม.ค. ๒๕๕๕ ตอนที่ ๒

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โครงการหลวงอินทนนท์ ๑๑-๑๓ ม.ค. ๒๕๕๕ ตอนที่ ๓ [จบ]



ความคิดเห็น 1    โดย Jans  วันที่ 25 ม.ค. 2555

"ชีวิตของผู้มีปัญญา ยิ่งมีอายุยืนนานเท่าใด ก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น มากเท่านั้น "

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาและกุศลวิริยะของคุณวันชัย ด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย pat_jesty  วันที่ 25 ม.ค. 2555

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขอบพระคุณคุณวันชัย และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย เมตตา  วันที่ 25 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

แต่ว่า ขณะใดที่มีโอกาสได้ฟังและได้เข้าใจ ก็จะไม่สูญเปล่า

ไม่เหมือนกับเกิดมาแล้ว ก็จากไป แล้วก็จำอะไรไม่ได้เลย แต่ ขณะนี้ ค่ะ

ความเข้าใจ ที่ค่อยๆ เข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย จะสืบต่อไปถึงชาติต่อไป

เหมือนชาติก่อน นะคะ ต้องเคยได้ยิน ได้ฟัง มาบ้าง ก็สืบต่อมา จนกระทั่งเห็นประโยชน์ ของการที่จะได้เข้าใจ สิ่งที่มี

ไม่ใช่ว่า อยู่ในโลกไปเรื่อยๆ โดยไม่เข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ

... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง ...

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่าน ค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย khampan.a  วันที่ 25 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"... ต้องเป็นผู้ที่ตรง ถ้าไม่ฟังพระธรรมให้เข้าใจ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า จะทรงมีประโยชน์หรือเปล่า? เพียงเท่านี้ค่ะ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมให้เข้าใจ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีประโยชน์แก่ใครหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุดที่ทุกคนได้รับ คือ ใครก็ตาม ที่ฟังแล้ว เห็นค่า แล้วก็พิจารณา ไตร่ตรอง เพื่อเข้าใจพระธรรม ถึงจะเห็นประโยชน์หรือคุณค่าของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ทั้งหมด ..."

...กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่าน ครับ...


ความคิดเห็น 5    โดย เซจาน้อย  วันที่ 26 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่านด้วยครับ


ความคิดเห็น 6    โดย Noparat  วันที่ 26 ม.ค. 2555

ชีวิตของผู้มีปัญญา ยิ่งมีอายุยืนนานเท่าใด ก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น มากเท่านั้น ...

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งามและทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย jaturong  วันที่ 26 ม.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย ผู้ร่วมเดินทาง  วันที่ 26 ม.ค. 2555

"ชีวิตของผู้มีปัญญา ยิ่งมีอายุยืนนานเท่าใด ก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น มากเท่านั้น"

กราบเท้าบูชาท่านอาจารย์สุจินต์ ขอให้ท่านมีอายุยืนนานเพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่ยังด้อยปัญญาด้วยนะครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้ และขออนุโมทนาทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 9    โดย daeng  วันที่ 26 ม.ค. 2555

"ชีวิตของผู้มีปัญญา ยิ่งมีอายุยืนนานเท่าใด ก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น มากเท่านั้น ..." กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 10    โดย kinder  วันที่ 27 ม.ค. 2555
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 11    โดย รวงข้าว  วันที่ 29 ม.ค. 2555

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ


ความคิดเห็น 12    โดย กระจ่าง  วันที่ 29 ม.ค. 2555

ขอขอบคุณทีมงาน ที่ถ่ายทอดรูปภาพและข้อความ ให้ผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วม มีความรู้สึกว่า เป็นคนหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย

สาธุอนุโมทนามิ


ความคิดเห็น 13    โดย ธุลีพุทธบาท  วันที่ 31 ม.ค. 2555

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

(ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น)

ขอกราบนมัสการอย่างสูงสุด แด่พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ

กราบแทบเท้า ท่าน อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างยิ่ง

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนา ในกุศลจิตของพี่วันชัยและทุกๆ ท่านด้วยครับ

ขณะอย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย.


ความคิดเห็น 14    โดย wanipa  วันที่ 7 ก.พ. 2555

ขออนุโมทนาบุญในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ ...


ความคิดเห็น 15    โดย chatchai.k  วันที่ 12 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 16    โดย Kalaya  วันที่ 21 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาค่ะ