ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๙๙
โดย khampan.a  14 เม.ย. 2562
หัวข้อหมายเลข 30645

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๙๙


~ ถ้าเคารพรักมารดาบิดา สิ่งเดียวที่จะทำให้ท่านปลาบปลื้ม ก็คือ เป็นคนดี ถึงจะเอาอะไร ไปให้สักเท่าไหร่ แต่ความประพฤติไม่ดี ทุกอย่างไม่ดี ท่านจะมีความสุขไหม ไม่ว่าใครทั้งนั้น แม้แต่พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษา เพื่อประโยชน์กับทุกคน ก็เพื่อเขาเป็นคนดีและเข้าใจสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง
~ เรื่องของอกุศลธรรมทั้งหมด ผู้ที่เห็นโทษจึงจะงดเว้น แต่ผู้ที่ไม่เห็นโทษ ไม่เห็นจริงๆ ว่าเป็นโทษ แต่ว่าความจริงแล้ว อกุศลธรรมทั้งหลายนั้นย่อมให้ผลตามควรแก่สภาพของอกุศลธรรมนั้นๆ
~ ไม่ว่าจะเป็นอกุศลธรรมเพียงเล็กน้อยอย่างไร ก็เป็นโทษ เป็นภัย ที่ควรจะละคลายบรรเทาขัดเกลาในขณะนั้นเอง ถ้าไม่เห็นอกุศลธรรมอย่างละเอียด จะทราบไหมว่า นั่นเป็นอกุศลธรรม เมื่อไม่ทราบก็ไม่ขัดเกลา แต่เมื่อใดที่เห็นภัยของอกุศลธรรมแม้เพียงเล็กน้อยว่าเป็นโทษ ก็ย่อมมีความเห็นถูกที่จะขัดเกลาละคลายแม้อกุศลธรรมที่เพียงเล็กน้อยนั้น
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงละเอียดมาก ชี้โทษและภัยของอกุศลธรรมแม้เพียงเล็กน้อยอยู่เสมอ เพื่อจะให้เห็นตามความเป็นจริงว่าในชีวิตประจำวัน แม้ว่ากิเลสใหญ่อย่างโลภะ โทสะ โมหะ ไม่เกิดขึ้นอย่างแรงกล้าเป็นปกติในชีวิตประจำวันก็จริง แต่ในชีวิตประจำวันซึ่งเต็มไปด้วยอกุศลธรรมเล็กๆ น้อยๆ ก็ควรจะให้เห็นโทษเห็นภัยแล้วควรขัดเกลา
~ ผู้ใดก็ตามที่ได้ศึกษาพระธรรมวินัย ไม่ว่าภิกษุหรือคฤหัสถ์ เคารพใคร? เคารพพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า, เปลี่ยนคำที่พระองค์ตรัสไว้ได้หรือ ในเมื่อเป็นผู้ที่เคารพในพระธรรมวินัย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร มีใครคิดจะแก้ จะเปลี่ยน ทั้งพระธรรมและพระวินัยบ้าง ถ้าใครคิดอย่างนั้นก็หมายความว่าไม่มีความเคารพในพระบรมศาสดา เริ่มคิด เริ่มไตร่ตรองให้ถูกต้องว่าจริงไหม ถูกต้องไหม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนแปลงได้ไหม ไม่ว่าในกาลใดทั้งสิ้น
~ ทุกคนที่ฟังพระธรรม เป็นผู้ที่สะสมที่จะเห็นประโยชน์ว่าเกิดมาแล้วตายไป แล้วระหว่างที่ยังไม่ตาย ทำอะไร?
~ คนที่ไม่สนใจฟังพระธรรม มีมากมาย เกิดมาก็สนุกสนานไปวันหนึ่งๆ มีชีวิตอยู่วันหนึ่งๆ ก็พอแล้ว ไม่ได้คิดว่า พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นประโยชน์มหาศาล ไม่ใช่ประโยชน์เพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็นประโยชน์ที่จะทำให้สามารถที่จะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้
~ หนทางเดียวที่จะทำให้กิเลสค่อยๆ ลดกำลังลง ก็คือการเป็นผู้ที่ไม่ทอดทิ้งการศึกษา การฟังพระธรรม การพิจารณาพระธรรมโดยละเอียด เพื่อที่จะให้เกิดปัญญาที่สามารถจะระลึกได้ รู้ลักษณะของสภาพธรรมในชีวิตประจำวันจริงๆ ซึ่งการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ก็ย่อมแสดงถึงการเคยได้ฟังพระธรรม การเคยได้พิจารณาพระธรรมและการเข้าใจพระธรรมในอดีตด้วย
~ กุศลธรรม ตั้งใจไว้ชอบ ไม่มีประโยชน์เลยในการที่จะเกิดโทสะ แต่ว่าควรที่จะเกิดเมตตา เวลาที่เห็นคนอื่นกระทำอกุศลกรรมก็ดี หรือว่าสภาพจิตใจของคนนั้นเป็นอกุศลก็ดี ควรที่จะมีเมตตาว่า บุคคลนั้นจะต้องสะสมอกุศลจิตและอกุศลกรรมไปมากมาย ควรที่จะมีเมตตาอย่างยิ่ง
~ ความเป็นผู้ที่จริงใจและไม่ประมาทจะทำให้เห็นพระคุณอย่างยิ่งของการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี (คุณความดีที่ทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) มีคำสอนที่สืบทอดมา ไม่ว่าจะในยุคต่อไปก็ตาม ถ้าเรามีโอกาสได้เข้าใจความจริงในยุคนี้บ้าง ต่อไปก็จะเข้าใจขึ้นๆ สิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือ ปัญญา เท่านั้น
~ ไม่ประมาท เพราะเหตุว่าตราบใดที่ยังมีอกุศลธรรมอยู่ ก็จะต้องเจริญกุศลทุกประการเพื่อที่จะละอกุศลธรรมนั้น
~ ผู้ที่ฉลาดจริงๆ หาโทษของตนเองว่ามีโทษอะไรบ้าง ซึ่งคนอื่นอาจจะไม่เห็น อาจจะไม่รู้ แต่ตนเองเท่านั้นที่อาจจะรู้ดี และในขณะเดียวกัน ถ้ามีการเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นก็หากุศลของคนอื่นที่จะอนุโมทนา ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกวันๆ กุศลจิตย่อมเจริญ เพราะเหตุว่าอนุโมทนาในกุศลของคนอื่นและเห็นโทษของตนเองว่าเป็นโทษและก็จะได้ขัดเกลาละคลายโทษนั้นยิ่งขึ้น
~ เพื่อนที่ดี คือ กัลยาณมิตร (มิตรที่ดีงาม) ใครก็ตามที่เป็นเพื่อนที่ดีของใครก็คือ หวังดี หวังประโยชน์เกื้อกูล เมื่อเขาเข้าใจผิด ก็ให้เขาเข้าใจถูก เขาไม่เข้าใจธรรม ก็สามารถที่จะอนุเคราะห์ให้เขาเข้าใจ นั่นก็เป็นเพื่อนที่หวังดีกับผู้นั้น, ผู้ที่เป็นกัลยาณมิตรสูงสุดคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้น เราจะไม่ได้ยินสักคำเดียวที่เป็นคำสอนของพระองค์
~ ไม่มีอย่างอื่นใดทั้งสิ้นที่จะกล้าสู้กับกิเลสหรือจะทำลายกิเลสได้ นอกจากความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยตามความเป็นจริง ไม่ลืมกำลังของปัญญา แต่ต้องมีปัญญา ไม่ใช่ไม่มีปัญญาแล้วไปคิดถึงกำลังของปัญญา
~ ถ้าไม่เห็นโทษของอกุศล กระทำอกุศลอยู่เนืองนิตย์ ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา วันหนึ่งใครจะรู้ได้ว่า ท่านจะกระทำอกุศลกรรมหนักเพียงไร เพราะว่าการที่จะกระทำอกุศลกรรมหนักๆ ได้ ย่อมมาจากการกระทำไปทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งขาดความละอายแล้วก็สามารถที่จะกระทำทุจริตกรรมที่ร้ายแรงได้
~ ต้องอาศัยกาลเวลาในการอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะขัดเกลากิเลสเมื่อเห็นกิเลสมากเท่าไร ก็รู้ว่าจะต้องอาศัยกาลเวลานานมากทีเดียวกว่าที่จะขัดเกลากิเลสนั้นๆ ได้ โดยที่ไม่ขาดการฟังพระธรรมและไม่ขาดการที่จะพิจารณาตนเอง เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ได้ฟังทั้งหมด เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาและการขัดเกลากิเลสทั้งสิ้น
~ ในการฟังพระธรรม ก็จะต้องอดทนที่จะสละเวลาของความสำราญความสุขรื่นเริง การพักผ่อนเพื่อฟังพระธรรม เพราะเหตุว่าบางคนคิดว่าการพักผ่อนสำคัญมาก แต่ว่ายังลืมเรื่องการพักผ่อนโดยกุศลจิตเกิดด้วยการฟังพระธรรม ซึ่งนั่นจะเป็นการพักผ่อนจากอกุศล เพราะมิฉะนั้นแล้วถึงจะพักผ่อนสนุกสนานสำราญใจอย่างไรก็ตาม ขณะนั้นก็เป็นด้วยอกุศลได้ คือด้วยความพอใจในขณะที่กำลังมีความรู้สึกสบายกายและสบายใจ
~ ไม่มีใครจะได้กระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสัตว์โลกเท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่อย่าลืมว่าที่ทรงพระมหากรุณากระทำอย่างนั้น เพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลก เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้รับฟังพระธรรม ก็ควรที่จะน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาคุณที่ได้ทรงแสดงพระธรรมไว้เป็นอันมาก เพื่อให้ทุกท่านเป็นผู้ที่ว่าง่ายต่อการที่กุศลจิตเกิด เป็นผู้ที่อดทน เป็นผู้ที่ไม่ว่ายากในการที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทำให้เกิดความเข้าใจซึ่งเป็นปัญญาของแต่ละคนที่ได้ฟังนั่นคือคุณ ที่ไม่สามารถที่จะมีอะไรเปรียบได้เลยจากความไม่รู้มานานในสังสารวัฏฏ์เริ่มที่จะมีความเข้าใจที่ถูกต้องในแต่ละคำ, คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้งอย่างยิ่งลุ่มลึกตามลำดับ เพราะฉะนั้น การฟัง ต้องเข้าใจ ไตร่ตรองทีละคำจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่มั่นคง
~ ชีวิตตามความเป็นจริงของแต่ละคนก็รู้ได้เลยว่า แสวงหาไปหมด ตราบใดที่ยังมีกิเลส ก็แสวงหาสิ่งที่น่าพอใจทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่เมื่อมีโอกาสได้สะสมศรัทธา สภาพที่ผ่องใสจากอกุศลที่จะรู้ความจริง เข้าใจความจริง ก็มีการได้ยินได้ฟังพระธรรม การแสวงหาความเข้าใจพระธรรม ก็เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ในชีวิตของแต่ละคนตามความเป็นจริงก็เป็นปัญญาที่สามารถรู้ถูกว่า ขณะไหนแสวงหาสิ่งไม่เป็นสาระเลย กับขณะไหนที่แสวงหาสิ่งที่เป็นสาระที่สามารถชำระจิตได้ เพราะคนอื่นชำระจิตใครก็ไม่ได้ แต่พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เหมือนยารักษาโรค เท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องชำระจิตใจได้
~ ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นใดทั้งสิ้น จะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ สิ่งที่สะสมอยู่ในจิต คือ ความเข้าใจ ก็จะติดตามไปด้วย
~ ถ้าเราจะเดือดร้อนเพราะคนอื่น ทั้งวันไม่จบ ทั้งคืนไม่จบ ทั้งชาติไม่จบ เพราะฉะนั้น เกิดมาก็มีชีวิตอยู่ไม่นาน ประโยชน์ที่ประเสริฐที่สุดคือเข้าใจธรรมและทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ด้วย
~ ถ้าเป็นผู้ว่ายากหรือสอนยาก ก็ย่อมจะไม่รับฟังคำสอน และจะมีความขัดเคือง จะทำให้เมื่อโกรธแล้วก็ย่อมห่างเหินไป หรือว่าอาจจะจากไปตลอดชีวิต ซึ่งก็จะไม่เป็นเหตุให้ละคลายกิเลส เพราะเหตุว่าไม่ยอมที่จะรู้จักอกุศลของตนเอง และไม่เห็นความหวังดีของผู้ที่กล่าวสอนหรือพร่ำสอน
~ ข้าศึก (ศัตรูคือกิเลส) อยู่ใกล้ที่สุด คือ อยู่ในใจ เกิด ก็เกิดที่นั่นทำร้าย ก็ทำร้ายตรงนั้นแล้วก็ยังเป็นปัจจัยที่จะทำให้ทำร้ายคนอื่นต่อไปได้ด้วยซึ่งเป็นอันตรายเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นข้าศึกที่ทำลายพระศาสนา ก็คือ ไม่ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจให้ถูกต้อง
~ ผู้หวังร้าย ถึงแม้ว่าจะนอนบนที่นอนที่น่าจะสบายสักเท่าไร ขณะนั้นก็เป็นทุกข์แล้วเพราะความโกรธ
~ เมื่อโกรธเกิดขึ้นแล้ว ดีไหม? ใครเดือดร้อน? โกรธเกิดที่ไหน ไม่เป็นสุข จะทำให้คนที่มีความโกรธ เป็นสุข เป็นไปไม่ได้เลย เพราะลักษณะนั้นเป็นสภาพที่เดือดร้อน แม้จิตในขณะนั้นก็มีโทสะหรือความขุ่นเคืองใจเกิดร่วมด้วย ขณะนั้นเดือดร้อนจริงๆ
~ โกรธแล้วก็ยังไม่ลืม เพราะฉะนั้น เมื่อคิดผูกโกรธอีก ก็แสดงให้เห็นว่า ยังเป็นคนว่ายากที่ยังไม่เห็นโทษของความโกรธ
~ เราไม่เบียดเบียนเขา แต่อกุศลจิตของเขา ยังคิดร้ายต่อเรา เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องของจิตของแต่ละบุคคล ซึ่งต้องเห็นโทษของกิเลสอกุศล ตราบใดที่เขาไม่เห็นว่าอกุศลของเขาเป็นโทษ เขาก็ยังโกรธเรา ยังไม่ชอบเราอยู่นั่นเอง ทั้งๆ ที่ใจของเราไม่ได้ทำร้ายเขาเลย ก็เป็นการแสดงให้เห็นแล้วว่า จิตต่างกัน เราเมตตาเขาได้ แต่เขาจะเมตตาเราหรือเปล่า แล้วแต่การสะสมของเขา เราไม่เบียดเบียนเขา แต่เขาจะคิดเบียดเบียนเราหรือเปล่า นั่นก็เป็นเรื่องจิตใจของเขา
~ จะเห็นกำลังของความโกรธได้จริงๆ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นมารดา อาจจะได้รับความรู้สึกกระทบกระเทือนใจจากความโกรธของลูก เวลาที่ความโกรธมีกำลัง อาจจะกระทำให้มารดาบิดาเสียใจ ทั้งทางกายก็ได้ ทางวาจาก็ได้ ทั้งๆ ที่ในยามที่ไม่โกรธ ก็อาจจะตั้งใจว่าจะเป็นลูกที่ดี ที่จะเลี้ยงดูอุปการะพ่อแม่ในยามแก่ยามเฒ่า แต่พอเกิดโกรธขึ้นมา กำลังของความโกรธอาจจะทำให้ถึงกับประทุษร้ายได้ นี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา เมื่อเป็นกิเลสที่มีกำลัง ก็ย่อมจะกระทำกรรมต่างๆ ตามกำลังของกิเลสนั้นๆ
~ ความรักตัว ทำให้เห็นแก่ตัว ไม่รักใครเท่าตัว ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตัว แม้ทุจริตก็ทำได้โดยไม่รู้ว่าทุจริตนั่นแหละจะนำผลร้ายมาสู่ตัว
~ ถ้าใครก็ตามที่เป็นคนดี แล้วถูกคนอื่นว่ามากมายต่างๆ นานา คำว่าร้ายทุกคำ ไม่สามารถจะเปลี่ยนความดีนั้นให้เป็นความไม่ดีอย่างที่เขาว่าได้ก็จบ ไม่มีอะไรที่จะต้องเดือดร้อนเลย
~ ไม่ประมาทที่จะสะสมกุศลแม้เพียงเล็กน้อย เพราะใครจะรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น กุศลแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรประมาทเลย ตราบใดที่เกิดเป็นผู้ที่สามารถที่จะกระทำกุศลได้
~ การมีมิตรดีที่คอยแนะนำตักเตือนเมื่อเป็นโอกาสที่สมควร ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้ไม่เกิดความเดือดร้อนใจได้ คือ ไม่มีความประพฤติทางกาย ทางวาจาที่ไม่ถูกต้อง.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๙๘


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย มกร  วันที่ 14 เม.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย kukeart  วันที่ 15 เม.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย peem  วันที่ 15 เม.ย. 2562

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย Lawan  วันที่ 15 เม.ย. 2562

กราบสาธุและขอเจริญในธรรมค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย เมตตา  วันที่ 15 เม.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย jaturong  วันที่ 17 เม.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย ธีรพันธ์  วันที่ 1 ธ.ค. 2562

กราบอนุโมทนาสาธุ