Thai-Hindi 14 June 2025
- (คุณตรัสวิน - ความโกรธเป็นธรรม ความไม่เข้าใจก็เป็นธรรม ความใจร้อนที่เป็นอุปนิสัยก็ลดลง เพราะความที่สติตามระลึกรู้มาเป็นจังหวะคั่นอยู่เป็นระยะ ขอคำอธิบายในความละเอียดตรงนี้)
- เราก็เริ่มเห็นการสะสมตั้งแต่เริ่มได้ฟัง ไม่ว่าเราจะฟังมานานมากน้อยแค่ไหนเราไม่สามารถรู้เลยว่า จับด้ามมีดไปมันสึกไประดับไหน แต่ชีวิตประจำวันทำให้เรามีความคิดถึงธรรมเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็นสติแน่นอนเพราะว่า ขณะนั้นมีปัจจัยที่จะทำให้ไม่คิดเรื่องอื่นแต่ว่าเริ่มคิดถึงสิ่งที่ได้ฟังเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวันก็จะมีการที่จะมีปัจจัยให้เราไม่ลืมธรรมและสภาพไม่ลืมนั้น คือ สติ
- เพราะฉะนั้น ถ้าเราพูดถึงตัวสติแล้วก็อยู่ในตำรา แต่ว่าชีวิตประจำวันสติจริงๆ เริ่มตั้งแต่ขณะไหนก็ตามที่ระลึกเป็นไปในกุศล ถ้าเป็นอกุศล เห็นโทษนั่นคือสติที่ระลึกได้ในโทษของอกุศล เพราะฉะนั้น จากการที่ชีวิตประจำวันถูกปิดไว้มืดมิดด้วยความไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรและก็เป็นเรา ก็ค่อยๆ มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไป ค่อยๆ นำทางที่จะให้ธรรมที่ถูกปกปิดไว้ ค่อยๆ เป็นที่ระลึกถึงได้จนกว่าจะคุ้นเคย จนกว่าจะชิน จนกว่าจะมีความเข้าใจมั่นคง
- แต่สิ่งที่เราฟังแต่ชื่อแต่ตัวจริงทั้งวันหมดเลย เห็นก็เป็นธรรมที่เป็นธาตุรู้ เป็นจักขุวิญญาณ เป็นอะไรต่างๆ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งที่ถูกปกปิดให้มีความเข้าใจในความเป็นธรรม เพราะว่า ถูกปิดบังไว้ด้วยความเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทับถมแน่นมาก
- เพราะฉะนั้น คนที่จะรู้คุณจริงๆ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ เห็นประโยชน์ที่ว่า ไม่เคยมีความเข้าใจแม้สิ่งที่มีโดยเพียงคำที่เริ่มจะรู้ว่าเป็นอะไร แต่เพียงโดยคำจะค่อยๆ มากขึ้น ค่อยๆ ละเอียดขึ้น ค่อยๆ มีธรรมอื่นๆ ประกอบขึ้นให้รู้ว่า ที่เคยเป็นเราทั้งหมดไม่ว่าขณะไหน ลืมตา หลับตา ตื่นหลับ แท้ที่จริงก็เป็นธรรมอะไรบ้าง นี้คือการสะสมของหนทางที่จะทำให้รู้แจ้งสภาพธรรมรอบที่ ๑ นี่เริ่มเห็นรอบที่ ๑ แล้ว
- รอบที่ ๑ ไม่ใช่หมายความว่า เราเพียงแค่ฟัง แต่ว่าเริ่มรู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นอย่างที่เราได้ฟัง เพียงแต่ว่าไม่ชัดเพราะเหตุว่าเป็นแต่เพียงการคิดนึกปรุงแต่งให้ไม่ลืมที่จะเข้าใจว่า สิ่งนี้แหละเป็นสิ่งที่เป็นโทษเป็นภัย ถ้าไม่เห็นโทษเห็นภัยในขณะนั้น เราไม่สามารถที่จะละคลายอกุศลได้เลย นี้เป็นสิ่งที่กว่าอกุศลที่มั่นแน่นหนามืดสนิทจะค่อยๆ มีการเริ่มเห็นว่าเป็นอกุศลจนกว่าความเข้าใจธรรมจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ
- เพราะฉะนั้น ไม่น่าแปลกใจเลยในเรื่องแสนโกฏกัปป์เพราะสะสมมาเกินแสนโกฏกัปป์ที่จะไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นประมาทไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจคำธรรมก็ยังเป็นเราแน่ๆ เพราะเหตุว่าต้องมั่นคงในอริยสัจจะ ๓ รอบ นี้เป็นหนทางเดียวที่จะละความเป็นเราที่ต้องการไปหมดทุกอย่าง ก่อนฟังธรรมก็ต้องการอย่างอื่น พอฟังธรรมความต้องการนั้นก็หันมาเกาะสิ่งที่กำลังปรากฏที่จะที่พยายาม บางคนพยายามอย่างมากที่จะให้หมดไป
- แต่จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อไม่เข้าใจในความละเอียดความลึกซึ้งของแต่ละธรรมซึ่งขณะนี้เกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณ อาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้เริ่มรู้ว่า สว่างอย่างนี้แหละแต่อยู่ในความมืดตลอดที่ไม่รู้ความจริงเพราะความจริงต้องไม่ปรากฏอย่างที่ปรากฏเป็นนิมิตต่างๆ รวดเร็วจนกระทั่งอยู่ในโลกของอัตตา ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ รู้คุณ ค่อยๆ เห็นประโยชน์และปัญญาก็ค่อยๆ ปรุงแต่งละเอียดมาก
- (คุณสุคิน - ที่ท่านอาจารย์ใช้คำว่าไม่ลืม ในการสนทนาภาษาอังกฤษท่านก็พูดถึงความไม่ลืมการที่ฟังธรรมแล้วในชีวิตประจำวันไม่ลืมที่จะระลึก ตรงนี้หมายถึงการเกิดของสติใช่ไหม)
- แน่นอนไม่อย่างนั้นเราจะหาตัวสติในชีวิตประจำวันได้อย่างไร ธรรมทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทุกขณะในชีวิตประจำวันจริงๆ ของแต่ละคนซึ่งหลากหลายมาก แสดงความเป็นอนัตตาซึ่งถูกปกปิดไว้มิดชิดด้วยความเป็นอัตตา กว่าจะปรากฏความเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้
- เดี๋ยวนี้เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย กว่าจะมั่นคงจนกระทั่งปรุงแต่งขณะที่ค่อยๆ ละคลายความเป็นเราเท่านั้นที่จะทำให้ธรรมที่เป็นฝ่ายเข้าใจถูกต้องเจริญขึ้นได้
- (คุณตรัสวิน - ทำให้นึกขึ้นได้ว่า วันที่ท่านอาจารย์ไปออกรายการของพ่อเลี้ยงเจ ท่านอาจารย์ระลึกถึงมีพุทธานุสสติอยู่ตลอดเวลา) ไม่ใช่ตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้เพราะว่าอกุศล อาสวะต้องมีหลายระดับขั้น (หมายถึงบ่อยๆ เนือง) เพราะฉะนั้นคำว่า ตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้เพราะว่าสภาพธรรมเกิดแล้วดับตามปัจจัย
- (ท่านอาจารย์ก็เตือนพวกเราเสมอว่า ให้ระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มากๆ) แล้วแต่การสะสมเพราะว่าเพียงแต่คำว่า “ระลึกถึง” ตื่นขึ้นมาก็ระลึกแล้ว นะโม ตัสสะ (ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น) แล้ว ก่อนจะหลับถึงเวลาจะนอนก็ระลึกแล้ว “นะโม ตัสสะ” แม้เพียงเล็กน้อย
- (ตอนนี้ก็เลียนแบบท่านอาจารย์ ตอนเช้านึกไม่ทัน ตอนไหนนึกทัน ก่อนนอนก็จะนึก) พนมมือด้วยนะคะเหนือเศียร (พนมด้วย) นั่นแหละไม่ลืมที่จะระลึกถึงขณะนั้นสติไม่ใช่เรา กว่าค่อยๆ รู้จักตัวสติที่เราพูดถึงบ่อยๆ แต่ชีวิตประจำวันไม่ได้ปรากฏให้เข้าใจเลยทั้งๆ ที่ขณะไหนเป็นสติก็มี ขณะที่เป็นกุศลถ้าไม่มีสติเกิดกุศลเป็นไปไม่ได้เลยลืมเสมอ เป็นเราเสมอ เป็นอกุศลเสมอ
- จนกว่าขณะใดก็ตามที่กุศลเกิด เริ่มรู้ว่าไม่ใช่เรา ตัวสตินี้แหละแต่ลักษณะของสติยังไม่เปิดเผย ลักษณะของสภาพธรรมทุกอย่างที่มีเดี๋ยวนี้ยังไม่เปิดเผยจนกว่าอริยสัจจะรอบที่สอง จะไม่สงสัยเลยในลักษณะของสติเพราะว่า ขณะนั้นระลึกด้วยปัญญาที่รู้ความจริงของสิ่งที่เดี๋ยวนี้ยังไม่รู้แต่ปรากฏตลอด
- เพราะฉะนั้น สิ่งละอันพันละน้อยที่ได้ฟัง แล้วเราก็ค่อยๆ สะสมความเห็นถูกว่าอีกนานเท่าไหร่ไม่เป็นไรเลย แสนโกฏกัปป์ก็ขอให้ได้รู้ความจริงว่า นี้คือความละเอียด นี้คือหนทางเดียวซึ่งเป็นอริยสัจจธรรมข้อที่ ๔ ซึ่งคนไม่รู้ในความลึกซึ้ง เอ่ยแต่ชื่อแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรกันก็ไปทำอย่างโน้นอย่างนี้แต่ไม่ได้เข้าใจความเป็นอนัตตา ความเป็นอนัตตาวันนี้ไม่ปรากฏทั้งๆ ที่เป็นอนัตตาทั้งหมด “ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา” เพราะฉะนั้น กว่าจะมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นก็จะรู้ความต่างของชีวิตประจำวัน
- ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มี รู้ว่านี้เป็นระดับรอบที่ ๑ ที่สะสมมาที่จะไม่ลืม เกิดระลึกได้เมื่อไหร่นั่นคือลักษณะของธรรม ไม่ต้องเรียกชื่อเลย เกิดแล้วเป็นอย่างนั้นเป็นกุศลและแค่นี้ยังไม่พอ ยังต้องมีความละเอียดในการที่จะรู้สภาพธรรมอื่นด้วย ไม่อย่างนั้นสภาพธรรมอื่นก็ยังคงเป็นเรา
- นี้คือการบูชาสูงสุดในการที่จะเคารพในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราได้มีความเข้าใจอย่างนี้ได้ ฟังธรรม เห็นไหม แล้วก็คิดตามที่ได้ฟัง ไตร่ตรองตามที่ได้ฟังให้เข้าใจความจริงของแต่ละคำที่ลึกซึ้งเพราะกล่าวถึงที่มีเดี๋ยวนี้ทั้งหมดเลยแต่กว่าจะถึงความจริงของสิ่งที่มีได้ก็ต้องฟังต่อไป และก็ไม่มีเราเลย ความเข้าใจค่อยๆ เกิดขึ้น กุศลทั้งหลายค่อยๆ ปรุงแต่งเป็นบารมีต่างๆ เพราะฉะนั้น ขาดบารมีไม่ได้เลย อยู่ๆ จะให้ประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่มีขณะนี้ในเมื่ออกุศลเต็มหมดเลยมืดหมดเลยได้อย่างไร
- (คุณสุคิน - ได้คุยกับฮาจิใมนเรื่องนี้ว่ามีคนฟังธรรมเอยะมากแต่ว่า เข้าใจหรือไม่เข้าใจ จะพูดไม่ได้เลยจากการที่เขาสนใจและฟังเยอะ อะไรที่ทำให้คนสนใจและฟัง ฟังแล้วไใ่เข้าใจหรือเข้าใจผิดเป็นอย่างไร) คือว่าเราคิดถึงคนอื่น ขณะที่คิดถึงคนอื่นจะไม่รู้ธรรมที่เกิดกับเรา
- (ถูกต้อง ตรงนี้เริ่มเห็นมากขึ้นๆ ก็คือระลึกได้เป็นครั้งเป็นคราว การฟังถ้าเข้าใจก็จะฟังธรรมต่อไป ตรงนี้ฟังธรรมต่อไปดูเหมือนว่า น่าจะความเข้าใจบ้างแต่ฟังเยอะแต่ไม่เข้าใจหรือเข้าใจน้อย อะไรเป็นอะไร) สะสมอะไรมามาก (ความไม่รู้ ถูกต้อง) แล้วเราคิดว่าเราจะเข้าใจแง่นั้นมุมนี้อย่างนั้นอย่างนี้ละเอียดได้ไหม (ไม่ได้แต่ว่าคิดอย่างนั้นตลอด)
- เพราะฉะนั้นคำตอบอยู่ที่เราเองเมื่อเข้าใจ นี้แหละ (ปัญหาของเราทุกคนคืออยากจะได้คำตอบทันที แต่ว่าลืมว่าหนทางคืออะไรและลึกซึ้งแค่ไหน) ธรรมละอียดลึกซึ้งมาก ข้อความมีว่า “ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง” ขณะนี้สิ่งที่มีเกิดดับแน่นอน ไม่เปลี่ยน รู้ได้เพราะว่าเข้าใจตามความเป็นจริงว่า กำลังเป็นอย่างนี้แต่ปัญญาไม่ถึงขณะที่จะประจักษ์แจ้งจนกว่าการฟังนี้จะค่อยๆ เริ่มเข้าใจมั่นคงในความเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง รอบรู้จริงๆ นั่นคือ หนทางที่จะสามารถคลายความเรา
- (คุณสุคิน - รอบรู้หมายถึงว่า ฟังอะไรก็ตามจากพระไตรปิฎกหรือใครก็ได้ที่พูดถึงธรรม ฟังอะไรก็ตามเริ่มมั่นงว่า ต้องเข้าใจธรรมที่ปรากฏตอนนี้ ตรงความหมายของรอบรู้ไหม) เห็นความลึกซึ้งจึงจะรอบรู้ (ถ้าไม่เห็นความลึกซึ้งก็ไม่ใช่สัจจญาณอยู่แล้ว สัจจญาณกับรอบรู้ความหมายเดียวกันไหม)
- แน่นอน เพราะเหตุว่า เราพูดถึงเห็นแค่เป็นธาตุรู้ รอบรู้ไหม (ไม่) เห็นไหม แต่กว่าจะรอบรู้ว่า เห็นชั่วขณะเล็กน้อยแค่ไหนเพราะอะไร (แต่เมื่อกรี้มท่านอาจารย์พูดถึงเห็นและเข้าใจเห็น มันต้อขั้นปฏิบัติแล้ว) ขอโทษ เราไม่ต้องพูดถึงขั้นไหนดีไหม เพราะว่าสำคัญที่สุดคือความเข้าใจ ไม่ว่าจะปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ก็ความเข้าใจนั่นแหละ
- เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความเข้าใจตามระดับจริงๆ เราจะไม่ต้องใช้คำแต่เราสามารถเข้าใจว่า ปริยัติรอบรู้ระดับไหน (ตรงนี้ท่านอาจารย์ถึงได้พูดถึงเห็นตลอดเลย คือเห็นปรากฏอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่เข้าใจ ตรงนี้ก็ชี้ให้เห็นว่าปริยัติมากน้อยแค่ไหนใช่ไหม) แน่นอน แค่บอกว่าเห็นเป็นธาตุรู้ไม่มีทางรู้แจ้งอริยสัจจธรรมแน่นอน ถูกต้องไหม ต้องมีความมั่นคงว่า ธาตุรู้ไม่ได้ปรากฏ
- เพราะฉะนั้น ฟังทุกคำแต่ละคำดูเหมือนย้อนกลับไปฟังตอนต้นแต่ความเข้าใจในความละเอียดลึกซึ้งขึ้น ธรรมลึกซึ้งมากการที่จะถึงความลึกซึ้งของธรรมตรงธรรมได้ก็ต้องอาศัยความเข้าใจ ไม่ใช่เพียง “เห็นเป็นธาตุรู้” (ตรงนี้ยากที่สุด ฟังแล้วเหมือนเข้าใจแต่จริงๆ แล้วไม่เข้าใจ) นี้แหละคุณมหาศาลของปริยัติ ทุกคำรู้ ค่อยๆ ลึกซึ้ง เพราะว่าแค่เห็นเป็นธาตุรู้ ใครก็รู้แค่คำพูดนี้ ไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่อ่อนเพราะกำลังเห็น แค่นี้ไม่ใช่หนทางเลยเพราะเหตุว่า เพียงแค่นี้เป็นเราฟัง เราคิด เราจำ (คุณสุคิน - แต่ก็ต้องเริ่มจากตรงนี้ขั้นปริยัติว่า ธาตุรู้กับธาตุที่ไม่รู้ต่างกัน) ถึงได้มีสามรอบไง
- (คุณอาช่าถามถึง วาระ ในบริบทของอนุสยวาระ ไม่เคยได้ยิน) เพราะเหตุว่า เราไม่ได้สนใจที่จะรู้ว่า วาระคืออะไร (คุณสุคิน - แต่อนุสยวาระไม่เคยเข้าใจ) ไม่เป็นไรแต่เราต้องรู้วาระก่อน วาระจะไปอยู่กับคำไหนได้หมด เพราะฉะนั้นถามเขา วาระคืออะไร ให้เขาพูดมาวาระหนึ่ง
- (คุณอาช่า - อ่านเจอคำว่า อนุสยวาระ เข้าใจว่าอนุสัยคืออะไร แต่ไม่เข้าใจว่า วาระคืออะไร) เดี๋ยวนี้มีอนุสัยไหม (มี) นั่นแหละ วาระของอนุสัย เห็นไหมคุนสุคินความเข้าใจเท่านั้นที่เข้าใจจึงสามารถเข้าใจแต่ละคำได้ (เท่ากับอนุสยวาระคือตลอด) เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่พูดถึงอนุสัยจะรู้ไหมว่า วาระของอนุสัยไม่เว้น
- เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุด เข้าใจธรรมและอาศัยคำที่พูดถึงธรรมนั้น ค่อยๆ เข้าใจความหมายของคำที่กล่าวถึงธรรมจึงจะรู้ว่า กำลังศึกษาธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
- (คุณสุคิน - พระอรหันต์ไม่มีอนุสยวาระใช่ไหม) แล้วแต่ ต้องเข้าใจวาระ เข้าใจอนุสัย (แล้วแต่ หมายความว่าอย่างไร) อนุสัยมีอะไรบ้าง อนุสัยดับเมื่อไหร่ของใครบ้าง อนุสัยหมดเมื่อไหร่ พูดถึงวาระของอนุสัยทั้งหมด
- เดี๋ยวนี้เป็นวาระของเห็นหรือเปล่า (เห็นปรากฏแปลว่าเป็นวาระของเห็น) ขณะที่เป็นวาระเห็นมีวาระของอนุสัยไหม (มี) สำหรับใคร (ผู้ที่ยังมีกิเลส) เพราะฉะนั้นจะไม่มีสำหรับใคร (พระอรหันต์) เท่านั้นหรือ (ถ้าอนุสัยของความเห็นผิดพระโสดาบันก็ไม่มี) เพราะฉะนั้นเป็นวาระของจิตเห็นของพระโสดาบันที่ไม่มีทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย
- (พบอีกคำหนึ่งคือ สานุสยะ [ส + อนุสย] ) ขอเชิญคุณคำปั่นให้คำแปล มีคำนี้หรือเปล่า (อ.คำปั่น - แปลว่า มีอนุสัย) คำต่อไปวิภังคะ (คือการจำแนก การแจกแจง ถ้าในส่วนของอนุสัยคือ การจำแนกว่ามีอนุสัยอะไรบ้าง) เพราะฉะนั้นทุกครั้ง วิภังคะ คือการจำแนก ใช่ไหม (ใช่)
- (คุณสุคิน - คุณอาช่าขอความเข้าใจเจตสิกต่างๆ ว่าทำกิจอะไร สำคัญอย่างไร) เดี๋ยวนี้มีเจตสิกไหม (มี) เจตสิกต่างกับจิตอย่างไร (จิตเป็นประธานรู้แจ้ง จิตกับเจตสิกรู้อารมณ์เดียวกัน เจตสิกไม่ได้รู้เหมือนจิต) มีคุณอาช่าไหม (ไม่มี) ไม่มีอาช่าแล้วมีอะไร (มีธรรม) ธรรมอะไรทุกอย่างเป็นธรรม ตอบธรรมได้อย่างไร (มีจิตเจตสิกรูป) รู้จักอะไรบ้าง
- อริยสัจจธรรม มีเจตสิกอะไรที่เป็นอริยสัจจธรรม (ทุกขอริยสัจจ์ ๑ สมุทยอริยสัจจ์ ๑) ถามว่าเจตสิกอะไรเป็นอริยสัจจธรรม (เว้นนิพพาน ที่เหลือก็เป็นเจตสิก) ที่เหลืออะไร (ที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔) เพราะฉะนั้น ยังไม่รู้จักเจตสิกอะไรใช่ไหม (ยังไม่รู้)
- ฟังแล้วเดี๋ยวนี้ ตอบได้แล้วใช่ไหมว่า เจตสิกอะไรเป็นอริยสัจจธรรม (ทุกเจตสิกเป็นอริยสัจจ์) ทุกเจตสิกหรือ อริยสัจจ์มีสี่ใช่ไหม (ตอบคำเดิมว่า ทุกอย่างทุกเจตสิก) อริยสัจจธรรมมีเท่าไหร่ (เข้าใจว่า ทุกขสมุทยอริยสัจจ์คือ เหตุ ๖ คือ โลภะ โทสะ โมทหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ)
- ถามเขาทีละ ๑ อริยสัจจ์ อริยสัจจะที่ ๑ คืออะไร ได้แก่เจตสิกอะไร (ตอบแล้วว่าเป็นเจตสิกทั้งหมดเป็นทุกข์) นั่นอริยสัจจ์ที่ ๑ ใช่ไหม (ใช่) และอริยสัจจ์มี ๔ ใช่ไหม ไม่ใช่มี ๑ เพราะฉะนั้นถามอีกสามอริยสัจจ์ (พิจารณาแล้ว อริยสัจจ์ที่ ๒ คือเหตุ ๖) ดูใหม่ในตำราว่า อริยสัจจ์ที่ ๒ มีอะไร (ตามที่เราสรุปก่อนหน้านี้คือฟังแต่ชื่อและรู้แค่นั้น) ไม่ใช่ค่ะ เพราะฉะนั้นต้องการให้เขาคิดจนเขาสามารถคิดได้ ถ้าเราไปตอบที่เขาต้องการหมดเขาจะไม่ได้สามารถคิดอะไรเลย ได้แต่จำคำแปล ไร้ประโยชน์ สะสมนิสัยใหม่
- (คุณสุคิน - ก็ดีที่อาช่าไม่รีบไปเปิดหนังสือ) คือว่าอย่างนี้ ดิฉันรู้แน่ว่า ต่อให้เขาถามอะไรแล้วเราตอบไป ความเข้าใจของเขาไม่ถึงตัวธรรม เขาต้องการเพียง.. (เป็นปัญหากับผมด้วย ฟังมา ๒๕ ปีแล้วตามความจำ) (คุณอาช่า - ตอบว่า ผัสสะเป็นอาหารปัจจัยเป็นอริยสัจจ์ที่ ๒) ให้เขาไปเปิดตำราได้แล้ว อริยสัจจ์ ๔ แต่ละอริยสัจจะได้แก่อะไร
- ธรรมจักรกัปปวัตตสูตร (เขาหาในอินเตอร์เนต ส่วนใหญ่จะบอกว่าเป็นเหตุแต่ไม่ได้บอกว่าอะไร) เขาหาอินเตอร์เนตกับเขาเปิดพระธรรม อะไรเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ไม่มีที่ให้เปิดตอนนี้) ไม่มีตำราไม่มีธรรมไม่เคนได้ยินได้ฟังเลยหรืออริยสัจจ์ ๔ เขาเอ่ยชื่อ ๔ อริยสัจจะได้ แต่เขาคิดไม่พอ (พอใจแค่นั้นตรงนั้นแล้วก็ผ่านๆ ไปเป็นนิสัยของทุกคน) เพราะฉะนั้นจะไม่ได้ประโยชน์เลย เป็นเราเสมอ รู้อะไรก็เราๆ ไม่เห็นความลึกซึ้ง
- เพราะฉะนั้น คนที่จะศึกษาธรรมได้ประโยชน์จริงๆ ต้องรู้ว่า ธรรมลึกซึ้ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงต้องบำเพ็ญพระบารมี แล้วเราจะปล่อยให้ทุกคนเป็นอย่างนี้หรือ เราจะปล่อยให้ทุกคนเหมือนเดิมหรือ หรือให้เขารู้เพื่อเปลี่ยน แม้อันใหม่นิสัยจะเล็กน้อยแต่เป็นประโยชน์สูงสุด
- คนข้ามความสำคัญที่สุดคือ ความลึกซึ้ง ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แต่พระองค์ตรัสว่า “อริยสัจจ์ ๔” ก็ตามอริยสัจจ์ ๔ เขาหาเจอหรือยัง ถ้าเขาหาไม่เจอ เราจะเริ่มพูดอริยสัจจธรรมทีละหนึ่ง
- อริยสัจจะที่ ๑ คืออะไร ถามเขาไม่ใช่บอกเขา (คือทุกข์) เพราะอะไร ทุกข์ที่นี่หมายความถึงอะไร (ธรรมทุกอย่างเกิดแล้วดับ) ทำไมเป็นทุกข์ (เริ่มรู้ความต่าง แต่ติดที่คำถามเดิมว่าเจตสิกอะไรเป็นอริยสัจจ์ อยากจะให้ท่านอาจารย์ตอบ) คราวหน้า หลังจากที่ไปเขาอ่านแล้ว มาถามอีก จะเป็นปัญญาของคุณอาช่าหรือเป็นปัญญาของดิฉันเอง
- เพราะฉะนั้นเขาต้องไตร่ตรองระหว่างนี้ ไม่ใช่เพียงฟังคำแปลแต่ทุกคำที่ได้ฟังวันนี้ เขาจะต้องมีคำตอบได้ ก็ขอบคุณคุณสุคิน ยินดีในกุศลของทุกท่านนะคะ สวัสดีค่ะ
*ธรรมทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทุกขณะในชีวิตประจำวันจริงๆ ของแต่ละคนซึ่งหลากหลายมาก แสดงความเป็นอนัตตาซึ่งถูกปกปิดไว้มิดชิดด้วยความเป็นอัตตา กว่าจะปรากฏความเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้
*ความเข้าใจค่อยๆ เกิดขึ้น กุศลทั้งหลายค่อยๆ ปรุงแต่งเป็นบารมีต่างๆ เพราะฉะนั้น ขาดบารมีไม่ได้เลย อยู่ๆ จะให้ประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่มีขณะนี้ในเมื่ออกุศลเต็มหมดเลยมืดหมดเลยได้อย่างไร
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะ (บารมีทุกประการ) ของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ