สอบถามการปฏิบัติธรรม
โดย thesdn  16 ม.ค. 2556
หัวข้อหมายเลข 22345

ผมมีปัญหา ความสงสัยที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่ทราบว่าอาการความรู้สึกเช่นนี้เป็นอะไร หรือเรียกว่าอะไร ผมติดตามฟังมาได้ประมาณ 20 กว่าปี มีอยู่ครั้งหนึ่งเกิดความรู้สึกว่าเหมือนมีตัวเราเองอยู่ในโลกแต่เพียงคนเดียว อยู่กับความคิดที่เป็นเรื่องราวทั้งหมด ตัวตนหายไป มีแต่ความคิดนึกเท่านั้น มาพิจารณาดูตอนหลังมันตรงกับที่ อ.สุจินต์บรรยายไว้ ไม่ทราบว่า ขณะนั้นเป็นอะไร ขณะที่กำลังพิมพ์อยู่นี้ก็คิดขึ้นมาได้ว่า มันจะเหมือนกับคนเสียสติหรือบ้า เพราะว่า คนบ้าก็น่าจะอยู่ในโลกความนึกคิดของตัวเอง ผมขอเรียนถามเท่านี้แหละครับ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 17 ม.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในความเป็นจริงของสัจจะ คือ ไม่มีแม้แต่ตัวเอง เพราะมีแต่ธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ที่สมมติบัญญัติเรียกว่า เป็นสัตว์ บุคคล ซึ่งการจะรู้ความจริงเช่นนี้ ก็ด้วยการเจริญอบรมปัญญา คือ การเจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมี กำลังปรากฎ ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ขณะที่ระลึกรู้ลักษณะ ขณะนั้นอะไรกำลังปรากฎ ลักษณะของสภาพธรรมเท่านั้น ขณะนั้นไม่มีแม้แต่ตัวเรา ไม่มีใคร เพราะมีแต่ตัวธรรมที่กำลังปรากฎเท่านั้น จึงชื่อว่า ปราศจากความยึดถือว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล ชั่วขณะที่สติปัฏฐานระลึกรู้ลักษณะ ซึ่งการที่สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ลักษณะนั้น ไม่ใช่เป็นการคิดนึก เป็นเรื่องราว ว่ามีธรรม หรือ มีเรา เพราะฉะนั้น จากที่ผู้ถามเกิดความรู้สึกว่า มีตัวเราอยู่ในโลกคนเดียว ก็เป็นความคิดนึกที่เป็นความรู้สึก แต่ไม่ใช่ปัญญา และที่สำคัญก็เป็นเราที่ซ้อนตัวเรา เพราะยังมีเราในโลก เพราะในความเป็นจริง ไม่มีเราเลยแม้สักขณะเดียว เพราะมีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปสืบต่อกันไปแต่ละขณะ เพราะฉะนั้นเรื่องของปัญญา จึงไม่ใช่เรื่องของความรู้สึก แต่เป็นเรื่องของการประจักษ์ตัวจริงของสภาพธรรม จึงไม่มีตัวเราจริงๆ ในขณะนั้น ครับ

การเจริญสติปัฏฐาน อบรมปัญญาที่ถูกต้อง จึงไม่ใช่เรื่องการบังคับไม่ให้คิด ไม่ให้ความคิดอย่างนั้นเกิดขึ้น เพราะเมื่อมีเหตุปัจจัย ความคิดเช่นนั้นก็เกิดขึ้นอีก แต่หนทางที่ถูกต้อง คือ การเข้าใจความจริงที่กำลังเกิดขึ้นว่า ขณะที่คิด ก็เป็นแต่เพียงคิด ไม่ใช่เราคิด แต่เป็นจิตที่คิดนึกเกิดขึ้น ที่ไม่ใช่เรา การเข้าใจขั้นการฟังเช่นนี้ย่อมจะค่อยๆ ดำเนินไปสู่หนทางการอบรมปัญญาที่ถูกต้อง ว่าเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ที่อยู่ในโลกของความคิด เพราะมีจิตจึงคิด แต่ให้เข้าใจถูกว่า คิดไม่ใช่เรา และไม่มีเราอยู่ในความคิด ไม่มีเราอยู่ในโลกคนเดียว เพราะไม่มีเราสักขณะเดียว ซึ่งอาศัยการฟังพระธรรม อบรมปัญญาไปเรื่อยๆ ปัญญาจะทำหน้าที่เห็นถูก ตามความเป็นจริงเพิ่มขึ้น แต่ทีละน้อย และต้องอบรมยาวนาน นับชาติไม่ได้ หนทางนี้จึงยากและผู้ที่จะถึงได้ต้องเป็นผู้ที่อดทนและเป็นผู้ที่ตรงเท่านั้น ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา


ความคิดเห็น 2    โดย ch.  วันที่ 17 ม.ค. 2556

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย thesdn  วันที่ 17 ม.ค. 2556

ขอต่อครับ เข้าใจครับ ที่ผมบอกว่ามีแต่เราเท่านั้น แต่ในที่นี่หมายถึงตัวรู้เรื่องราว แต่ไม่ได้สำคัญว่าเป็นตัว/เป็นตน เพราะมองเห็นว่า ตัวตนก็ไม่ใช่เรา เข้าใจครับที่บอกว่าไม่มีเรา ผมถึงบอกว่าตัวตนหายไป อาการนี้หมายถึงอะไร


ความคิดเห็น 4    โดย thesdn  วันที่ 17 ม.ค. 2556

ที่ผมอธิบายไปว่าเหมือนอยู่ในโลกคนเดียว อาจจะไม่ตรงกับความเข้าใจในขณะนั้น เพราะอธิบายให้ตรงกับสภาพความจริงเป็นในขณะนั้นมันยากที่จะนึกคิดให้ตรงโดยคำพูด (ของตัวผมเอง) แต่ผมอยากจะขอเสริมคำที่ท่านผู้ตอบคำถาม ว่าตอนส่วนท้ายๆ ของคำตอบนั้น มันก็คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากความเป็นจริงในขณะนั้นด้วย ผมอาจจะพูดให้เข้าใจไม่ได้


ความคิดเห็น 5    โดย thesdn  วันที่ 17 ม.ค. 2556

ผมขอต่อครับ นึกขึ้นมาได้จะอธิบายคำว่าอยู่ในโลกคนเดียวนี้ หมายถึง ไม่มีคน ไม่สิ่งใดๆ มันว่างเปล่า แม้แต่ความคิด มีแต่ตัวรู้ เพราะที่คิดก็เป็นแต่สัญญาความจำ


ความคิดเห็น 6    โดย khampan.a  วันที่ 17 ม.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สำคัญที่จะต้องเริ่มฟัง เริ่มศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เพราะธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง คิดเอาเองไม่ได้ ต้องอาศัยการสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง และมีจริงในขณะนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นขณะใด ก็ไม่พ้นไปจากธรรม มีสภาพธรรมที่มีจริงเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก มีกุศล มีอกุศล เป็นต้น ทั้งหมดเป็นธรรม แต่ว่าก่อนการศึกษาย่อมไม่สามารถเข้าใจได้ ก็เข้าใจแต่เพียงว่า ธรรมก็คือ ธรรมฝ่ายที่ดีเท่านั้น แต่เมื่อได้ศึกษาไปตามลำดับ ก็จะเข้าใจว่า ธรรมมีมาก กว้างขวางกว่านั้น

การที่จะเข้าใจธรรม จนกระทั่งถึงมีปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมี กำลังปรากฏตามความเป็นจริง จึงต้องตั้งต้นที่การฟังพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ถ้ามีความเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นขณะใด อยู่ในสถานการณ์ใด ก็สามารถรู้ตามความเป็นจริงได้ โดยทั้งหมดนั้นก็เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น สิ่งสำคัญจะต้องไม่ไปทำอะไร ด้วยความไม่รู้ ด้วยความเป็นตัวตน ด้วยความจดจ้อง เพราะนั่นเป็นหนทางที่ผิด ไม่ใช่หนทางแห่งความเจริญขึ้นของปัญญา มีแต่จะทำให้ความไม่รู้และความเห็นผิดเพิ่มมากยิ่งขึ้น ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 7    โดย j.jim  วันที่ 17 ม.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย jaturong  วันที่ 17 ม.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย paderm  วันที่ 17 ม.ค. 2556

เรียน ความเห็นที่ 3, 4 และ 5 ครับ

สำหรับความนึกคิดที่เป็นความรู้สึกไม่ใช่ปัญญา แต่เป็นความนึกคิดที่คิดเอาตามเรื่องราวที่ได้เรียนมาไม่ใช่การเกิดขึ้นของสติ ครับ


ความคิดเห็น 10    โดย thesdn  วันที่ 18 ม.ค. 2556

ขอบคุณครับ เข้าใจแล้วครับ ไม่งั้นก็คิดว่าเป็นความคิดถูกและเป็นอย่างนั้นจริงๆ


ความคิดเห็น 11    โดย peem  วันที่ 18 ม.ค. 2556
ขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 12    โดย peem  วันที่ 18 ม.ค. 2556
ขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 13    โดย peem  วันที่ 18 ม.ค. 2556
ขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 14    โดย peem  วันที่ 18 ม.ค. 2556
ขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 15    โดย nopwong  วันที่ 18 ม.ค. 2556

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 16    โดย wannee.s  วันที่ 19 ม.ค. 2556

ศึกษาธรรมะเพื่อให้รู้ความจริงว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ ไม่ได้อยู่ในอำนาจของใคร บังคับ บัญชาไม่ได้ แม้ความคิดก็เป็นธรรมะ เป็นธาตุรู้เป็นนามธรรม เกิดแล้วดับ มีเหตุมี ปัจจัยก็ทำให้คิดอย่างนั้นอีก ตามการสะสม ค่ะ


ความคิดเห็น 17    โดย chatchai.k  วันที่ 30 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ