ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๖๓

~ ผู้ที่ยังไม่สามารถจะตัดขาดสละความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย) ได้ ย่อมมีการแสวงหารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่พอใจ ตามความพอใจ ซึ่งก็จะต้องอาศัยเงินและทองเป็นปัจจัยในการที่จะแสวงหารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นโทษของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และสามารถที่จะสละชีวิตของคฤหัสถ์ไปสู่ชีวิตของบรรพชิต ก็ย่อมจะต้องไม่ยินดีในการรับเงินและทองด้วย เพราะเมื่อต้องการจะสละรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็จะต้องสละเงินและทอง ปัจจัยที่จะให้ได้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะด้วย
~ ผ้าเหลือง ไม่ได้เป็นพระภิกษุ ผ้าเหลืองไม่ทำให้ใครเป็นพระภิกษุด้วย แต่พระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วต่างหากที่ทำให้บุคคลผู้รักษาพระธรรมวินัย เป็นพระภิกษุ
~ ภิกษุใด ที่ไม่ศึกษาธรรมและไม่ประพฤติตามพระวินัย ผู้นั้น ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย, ให้พุทธบริษัททั้งหลายได้รู้ความจริงเพื่อที่จะได้ไม่หลงเข้าใจผิดแล้วก็ควรจะรู้ในความจริง ในเหตุผลในสิ่งซึ่งไม่มีในพระธรรมเช่น ผ้ายันต์ ไม่มี ตะกรุด ไม่มี อิทธิปาฏิหาริย์หลอกลวงคน ไม่มี เพราะเหตุว่าต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อความเป็นจริง ว่าธรรมต้องเป็นเหตุและเป็นผล อยู่ดีๆ ผ้าผืนหนึ่งจะกลายเป็นผ้าวิเศษไปได้อย่างไรใครสามารถจะไปบันดาลให้ผ้านั้นวิเศษได้ เพราะฉะนั้น ไม่เป็นไปตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วทำทำไม จุดประสงค์ที่ทำเพื่ออะไร? ไม่เป็นการขัดเกลากิเลสเพราะฉะนั้น ผู้นั้น ไม่ใช่พระภิกษุในพระธรรมวินัย
~ การเป็นผู้ตรงต่อสภาพของการเป็นภิกษุ จะต้องเป็นไปตามลักษณะของสมณเพศ แต่ถ้าเกิดคิดที่จะทำหน้าที่ของพวกคฤหัสถ์ เช่น ช่วยกันนำข่าวสารอันเป็นหน้าที่ทูต หรือว่ากระทำกิจการงานต่างๆ (ของคฤหัสถ์) นั่น ไม่ใช่ลักษณะของบรรพชิตแล้ว เพราะฉะนั้น นั่น ก็ไม่ใช่เป็นผู้ที่ตรงต่อสมณวิสัย (ความเป็นบุคคลผู้สงบ)
~ ภิกษุ มีกิจ คือ การศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม เผยแพร่ธรรมที่เป็นประโยชน์เพื่อการขัดเกลา เพื่อการดับกิเลส
~ บรรพชิตต่างกับฆราวาส เมื่อมีเจตนาที่จะขัดเกลากิเลสในเพศของบรรพชิต ก็จะต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่เหมาะสม ควรแก่เพศบรรพชิตด้วย
~ พระวินัยแต่ละข้อๆ เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสอย่างยิ่งกิจใดที่ภิกษุทำไม่ได้ ต้องไม่ทำแต่ถ้าทำ หมายความว่าไม่เคารพในพระศาสดาและกล้าที่จะทำในสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร เพราะฉะนั้น จึงเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งเพราะว่า บวชทำไม? เพื่อศึกษาพระธรรม ของใคร? ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นว่าความประพฤติทางกาย ทางวาจาอย่างไรเป็นการขัดเกลากิเลส ก็ตรงกับความประสงค์ของผู้ที่บวช เพื่อขัดเกลากิเลสเพราะฉะนั้น ต้องมีความเคารพในพระวินัยด้วย
~ เป็นพระ แล้วไม่ศึกษาธรรม ไม่รักษาพระวินัย แล้วเป็นพระได้อย่างไร?
~ พระวินัยบัญญัติทั้งหมด เป็นคำของใคร? เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วการกล่าวคำตามพระวินัยและพระธรรม ว่าร้ายใครหรือเปล่า? หรือว่าเป็นการประกาศความจริงให้รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมและการขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตโดยต้องประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยด้วย
~ เมื่อมีอัธยาศัยใหญ่สามารถที่จะสละเพศคฤหัสถ์ได้ ก็ต้องมุ่งหน้าต่อการที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต นอกจากเพื่อประโยชน์ของตนเองแล้ว ยังเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น ซึ่งเขาแม้จะถวาย (ให้) สิ่งของที่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิต ยังต้องกราบไหว้บูชาคุณความดี ที่สามารถที่จะสละกิจของคฤหัสถ์ทั้งหมดแล้วทำกิจที่ใหญ่กว่านั้น เป็นประโยชน์กว่านั้น คือ ศึกษาพระธรรมวินัย ซึ่งยาก ละเอียด ลึกซึ้งเพื่อใคร? เพื่อตนเองและสงเคราะห์บุคคลอื่นซึ่งไม่มีเวลาที่จะเป็นกุศลตั้งแต่ตื่นจนหลับเหมือนอย่างบรรพชิตต้องมีความสำนึกอย่างนี้ จึงสมควรแก่การกราบไหว้ของผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ทั้งหลาย
~ สิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็แก้ไขได้ ดีกว่าทิ้งไว้
~ ถ้าไม่เข้าใจธรรมจะประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสได้อย่างไร
~ ความเข้าใจของเราแต่ละคน ก็เป็นส่วนที่จะทำให้พระธรรมวินัย ดำรงไป เท่าที่ยังมีคนศึกษาและเข้าใจพระธรรม
~ ประเทศใดก็ตาม มีทรัพย์สินเงินทอง มั่งคั่ง มีวัตถุอะไรต่างๆ ก็ตาม แต่เป็นคนเลวทั้งประเทศ ดีไหม? ไม่ดี แล้วทำอย่างไร คนที่เลว คนที่ทุจริต จะดีขึ้น ถ้าไม่ได้รู้ความจริงว่า เลว คือ เลว ปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) เท่านั้น ที่จะเห็นว่า ไม่ควรทำ เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี นำโทษมาให้
~ ถ้าเข้าใจธรรมแล้ว มีหรือที่บุญกุศลจะไม่เกิดเพิ่มขึ้น
~ กิเลสทั้งหลาย เป็นภัยที่ยิ่งใหญ่ โดยเหตุที่ว่าอยู่ภายในตัวเอง ไม่ได้อยู่ไกลเลย เป็นสิ่งไม่ดีที่มีอยู่ในจิตใจ เป็นเหตุให้กระทำอกุศลกรรมต่างๆ และก็จะเป็นผู้ได้รับผลของอกุศลกรรมนั้นๆ เอง
~ ตัณหา (ความอยาก ความต้องการ) นี้ มีมาก ตลอดเวลา ตั้งแต่ลืมตา ตัณหาก็ไหลไปตามอารมณ์ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
~ เรียนหนังสือเก่ง แต่ไม่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน นั่น ไม่ชื่อว่าปัญญาเลย
~ ผรุสวาจา (คำพูดที่หยาบคาย) นั้น เป็นคำพูดที่ไม่มีประโยชน์เลย ถ้าเว้น ไม่พูดเสีย ก็จะมีประโยชน์กว่ามากมายทีเดียว เพราะเหตุว่าไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น หรือว่าเกิดขึ้นแล้ว ก็เกิดขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้ามีเมตตา หรือใช้คำพูดที่เหมาะที่ควร ที่จะไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนใจ โทมนัสเสียใจ
~ บุคคลโกรธตอบบุคคลผู้โกรธ ชื่อว่า เป็นคนเลวกว่าบุคคลผู้โกรธ (ก่อน) เพราะเหตุว่าคนผู้โกรธเป็นคนเลว เพราะมีอกุศลจิตเกิดขึ้น แต่บุคคลผู้โกรธตอบ ก็เป็นผู้ที่ทั้งๆ ที่เห็นว่าเป็นอกุศล ก็ยังมีอกุศลจิตเกิดด้วย
~ สำหรับเรื่องการบริสุทธิ์จากกิเลส หรือว่าการที่จะขัดเกลากิเลส ไม่ใช่อาศัยการปรากฏภายนอก เพราะเหตุว่าบางท่านมักจะตัดสินจากอาการที่ปรากฏทางภายนอก แต่เรื่องของปัญญาที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เท่านั้น ที่จะทำให้ละคลายความไม่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และสามารถที่จะละคลายขัดเกลากิเลส
~ ท่านที่ทราบว่า มีกิเลสมาก การที่จะขัดเกลา ละคลายจนถึงดับกิเลสได้ ต้องอาศัยการอบรมเจริญกุศลมากมายหลายประการ แต่ละท่านก็ต่างอัธยาศัยตามการสะสม เพราะฉะนั้น ท่านที่ขวนขวายในการที่จะขัดเกลาละคลายดับกิเลส ท่านก็พากเพียรที่จะเจริญกุศลเท่าที่ท่านสามารถจะกระทำได้
~ ก่อนฟังธรรม ไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องสภาพธรรมตามความเป็นจริง เวลาที่เริ่มฟังใหม่ๆ ก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจนักในเรื่องของสภาพธรรม แต่พอฟังนานๆ เข้า มีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น


~ คนที่เห็นโทษของอกุศล เห็นประโยชน์ของบุญ คือ การชำระล้างอกุศล จึงทำแต่สิ่งที่ดี ถ้าเข้าใจถูกต้อง ก็จะทำให้มีการชำระล้างจิตใจที่ไม่สะอาดจริงๆ แต่ไม่ใช่ต้องการอะไร เพราะถ้าต้องการ ก็เป็นการสะสมอกุศลต่อไปอีก ซึ่งไม่มีทางเลยที่จะเอาอกุศลนั้นๆ ออกไปได้ นอกจากความเห็นถูก ความเข้าใจถูก
~ ทุกวันนี้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เราบอกว่า เราเป็นชาวพุทธ แต่ชาวพุทธ คือ ผู้ที่รู้จักพระพุทธเจ้า ถ้าไม่รู้จักพระพุทธเจ้า เป็นชาวพุทธได้อย่างไร
~ ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนสมัยไหน พระธรรม ไม่เปลี่ยน
~ ถ้าไม่เข้าใจและไม่เห็นโทษภัย ความติดข้องก็สามารถทำให้เกิดทุจริต
~ ในขณะที่พูดก็มีเมตตาจิต คือ มีความเป็นเพื่อน หวังดี คำพูดนั้นๆ ทำให้ผู้ได้ฟังรู้สึกอย่างไร ถ้าคนพูด พูดด้วยความหวังดีจริงๆ พูดด้วยความเมตตา ความเป็นเพื่อน รู้สึกสบายใจ ผู้นี้เป็นมิตรแน่นอน ไม่เป็นศัตรูเลย เพราะฉะนั้น แต่ละคำของเขาก็เต็มไปด้วยความหวังดีกับคนอื่น ซึ่งผู้ได้รับฟังคำพูดอย่างนั้นก็ต้องรู้สึก ไม่ได้ทำร้าย ไม่ได้ทำลาย ไม่ได้เป็นโทษใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่ด้วยความหวังดี พูดคำจริงซึ่งเป็นประโยชน์ด้วย อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ พูดน่าฟัง แม้เป็นคำจริง ถ้าพูดไม่น่าฟัง บางคนก็ไม่อยากฟัง
~ ถ้ายังไม่หมดกิเลส ยังมีเหตุที่จะทำให้คำร้ายๆ เกิด
~ ฟังธรรม เพื่อเข้าใจธรรม
~ สำหรับการพูดเท็จ ท่านจะเห็นได้ว่า ถ้าไม่ขัดเกลา ไม่บรรเทา ไม่เห็นว่าเป็นโทษ ไม่เห็นว่าเป็นอกุศลธรรมที่น่ารังเกียจ ก็ย่อมนำมาซึ่งทุจริตกรรมทุกประการได้ เวลาที่คิดทุจริต แม้แต่ก่อนที่จะกระทำ ก็ต้องอำพราง ต้องปกปิด ต้องพูดเท็จ เพื่อจะกระทำทุจริตกรรมนั้นให้สำเร็จลงไปได้ แม้ว่ากระทำแล้ว ก็ยังไม่ปรารถนาที่จะให้บุคคลอื่นเห็นรู้ว่าเป็นทุจริต ก็ยังต้องพูดเท็จ อำพราง ปกปิดต่อไปอีก
~ ถ้ายังเห็นว่ามุสาวาทเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เพียรละ ไม่เพียรขัดเกลาแล้วละก็ ย่อมนำมาซึ่งทุจริตกรรมได้ทุกประการ
~ ถ้าเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาแล้วเป็นเรื่องของความเข้าใจถูกต้องทั้งหมด ไม่มีเรื่องอื่นเลย ต้องเป็นเหตุเป็นผล สามารถที่จะตอบได้ ในเหตุและในผล
~ ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้น ที่จะทำให้ทำในสิ่งที่ถูกที่ควร
~ นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องศึกษาธรรมให้เข้าใจ ถ้าไม่ศึกษาธรรมให้เข้าใจและไม่ประพฤติตาม คือ ไม่ขัดเกลากิเลส ก็ไม่ชื่อว่า นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ เกิดมาแล้วต้องตาย ละจากโลกนี้ไป จะเป็นคนที่ดี จากไป หรือ จะเป็นคนที่ชั่ว จากไป?.
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๖๒

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิต ของ อ.คำปั่น เป็นอย่างยิ่งค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
~ ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้น ที่จะทำให้ ทำในสิ่งที่ถูกที่ควร
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ