[เล่มที่ 43] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 169
๕. เรื่องนายทารุสากฏิกะ [๒๑๘]
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 43]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 169
๕. เรื่องนายทารุสากฏิกะ [๒๑๘]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภบุตรของนายทารุสากฏิกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "สุปฺปพุทฺธํ" (ตื่นอยู่ด้วยดี) เป็นต้น.
เด็กสองคนเล่นขลุบ
ความพิสดารว่า เด็กในพระนครราชคฤห์ ๒ คน คือ "บุตรของบุคคลผู้เป็นสัมมาทิฏฐิคนหนึ่ง บุตรของบุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิคนหนึ่ง" เล่นขลุบ อยู่ด้วยกันเนืองๆ. ในเด็กสองคนนั้น บุตรของบุคคลผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อจะทอดขลุบ. ระลึกถึงพระพุทธคุณ กล่าวว่า "นโม พุทฺธสฺส" แล้วจึงทอดขลุบ. เด็กอีกคนระลึกถึงคุณของพวกเดียรถีย์ กล่าวว่า "นโม อรหนฺตานํ " แล้วจึงทอด.ในเด็ก ๒ คนนั้น บุตรของบุคคลผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นฝ่ายชนะ, เด็กอีกคนเป็นฝ่ายแพ้. บุตรของบุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐินั้น เห็นกิริยาของบุตรผู้เป็นสัมมาทิฏฐินั้นแล้ว คิดว่า "เพื่อนคนนี้ ระลึกแล้วอย่างนั้น กล่าวแล้วอย่างนั้น ทอดขลุบไปจึงชนะเรา, แม้เราก็จักทำอย่างนั้นบ้าง ได้ปลูกฝังในพุทธานุสสติ.
เด็กผู้เป็นสัมมาทิฏฐิไปป่ากับบิดา
ต่อมาวันหนึ่ง บิดาของเด็กผู้เป็นสัมมาทิฏฐินั้น เทียมเกวียนเพื่อไปหาฟืน ได้พาเด็กนั้นไปด้วย บรรทุกฟืนในดงเต็มเกวียนแล้วขับมาถึงนอกเมือง ปล่อยโคไปในที่อันมีน้ำหาง่าย ในบริเวณใกล้ป่าช้า แล้วได้แก้อาหารออกมากิน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 170
ที่นั้น โคของเขาเข้าเมืองไปกับหมู่โคที่เข้าเมืองในเวลาเย็น. นายสากฏิกะเที่ยวติดตามโค เข้าไปในเมือง พบโคในเวลาเย็นแล้วจูงออกไป ยังไม่ทันถึงประตู ประตูก็ปิดเสียก่อนที่เขาจะไปถึง. ดังนั้น บุตรของเขาจึงนอนอยู่ใต้เกวียนเพียงผู้เดียวในความมืด หลับไป.
เจริญพุทธานุสสติป้องกันอมนุษย์ได้
กรุงราชคฤห์ แม้ตามปกติก็มากไปด้วยอมนุษย์อยู่แล้ว. ซ้ำเด็กนี้ก็ยังนอนในที่ใกล้แห่งป่าช้าอีกด้วย. พวกอมนุษย์ในที่ใกล้แห่งป่าช้านั้น มาพบเขาเข้า. อมนุษย์ตนหนึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นเสี้ยนหนามต่อพระศาสนา, อมนุษย์อีกตนหนึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิ.
ในอมนุษย์ทั้ง ๒ นั้น อมนุษย์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิกล่าวว่า "เด็กคนนี้ เป็นอาหารของพวกเรา, เรากินเด็กคนนี้กันเถอะ." อมนุษย์ผู้เป็นสัมมาทิฏฐิห้ามเขา โดยพูดว่า "อย่าเลย, ท่านอย่าชอบใจเลย." อมนุษย์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐินั้น แม้ถูกอมนุษย์ผู้เป็นสัมมาทิฏฐินั้นห้ามอยู่ ก็ไม่ใส่ใจถ้อยคำห้ามปราม จับเท้าเด็กดึงมา.
ในขณะนั้น เด็กนั้นกล่าวว่า "นโม พุทฺธสฺส" เพราะความที่ตนเป็นผู้สั่งสมในพุทธานุสสติ. อมนุษย์กลัวภัยใหญ่ จึงได้ถอยไปยืนอยู่แล้ว.
อมนุษย์รักษาและบำรุงเด็กผู้นอนในป่าคนเดียว
ลำดับนั้น อมนุษย์ผู้เป็นสัมมาทิฏฐิกล่าวกับอมนุษย์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐินั้นว่า. "พวกเราทำสิ่งอันไม่ควรทำเสียแล้ว, พวกเราจงไถ่โทษตัวเองเถิด" ดังนี้แล้ว ได้ยืนคุ้มครองเด็กนั้นอยู่. อมนุษย์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 171
ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิเข้าไปสู่พระนคร ยังถาดโภชนะของพระราชาให้เต็มแล้ว นำโภชนะมา.
ต่อมา อมนุษย์แม้ทั้ง ๒ แปลงเป็นประดุจว่ามารดาและบิดาของเด็กนั้น ปลุกเด็กนั้นให้ลุกขึ้นแล้ว ให้บริโภคอาหารนั้น จารึกอักษรประกาศความเป็นมาที่ถาดอาหาร ด้วยอานุภาพของยักษ์ ด้วยอธิษฐานว่า "พระราชาเท่านั้น จงทอดพระเนตรเห็นอักษรเหล่านี้, คนอื่นจงอย่ามองเห็น" ดังนี้แล้ว จึงละไป.
ในวันรุ่งขึ้น พวกราชบุรุษเอะอะโวยวายขึ้นว่า "พวกโจร ลักเอาถาดอาหารไปจากพระราชวัง" จึงปิดประตูทั้งหมดแล้วค้นหา เมื่อไม่เห็นในพระนคร จึงออกจากพระนคร ตรวจดูข้างโน้นและข้างนี้ ได้เห็นถาดทองคำบนเกวียนที่บรรทุกฟืน จึงจับเด็กนั้นมาถวายแด่พระราชา ด้วยเข้าใจว่า "เด็กนี้เป็นโจร".
เด็กถูกไต่สวน
พระราชาทอดพระเนตรเห็นอักษรทั้งหลายแล้ว ตรัสถามว่า "นี่อะไรกัน พ่อ." เด็กนั้นกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์ไม่ทราบ, มารดาบิดาของข้าพระองค์มาให้บริโภคอาหารในราตรี แล้วได้ยืนคุ้มครองอยู่ตลอดคืน. ข้าพระองค์คิดว่า "มารดาบิดารักษาเราอยู่" จึงไม่มีความกลัวเลย นอนหลับไป, ข้าพระองค์ทราบเพียงเท่านี้."
ลำดับนั้น แม้มารดาและบิดาของเด็กนั้น ก็ได้ไปสู่ที่นั้น เข้าเฝ้าแล้ว.
พระราชาทรงทราบความเป็นไปนั้นแล้ว ทรงพาชนทั้ง ๓ นั้นไปสู่สำนักพระศาสดา กราบทูลความเป็นไปทั้งปวงแล้ว ทูลถามว่า "ข้าแต่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 172
พระองค์ผู้เจริญ พุทธานุสสติเท่านั้นหรือที่คุ้มครองรักษาได้ หรือว่าอนุสสติอื่น เช่น ธัมมานุสสติ เป็นต้น ก็คุ้มครองรักษาได้."
พระศาสดาทรงแสดงฐานะ ๖
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสแก่พระราชานั้นว่า "มหาบพิตร มิใช่พุทธานุสสติอย่างเดียวเท่านั้น ที่คุ้มครองได้, ก็จิตอันชนเหล่าใดอบรมดีแล้วโดยฐานะ ๖. ชนเหล่านั้นก็ไม่จำเป็นต้องรักษาและป้องกันอย่างอื่น หรือด้วยมนต์และโอสถ " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงฐานะ ๖ ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
๕. สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ นิจฺจํ พุทฺธคตา สติ. สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ นิจฺจํ ธมฺมคตา สติ. สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ นิจฺจํ สงฺฆคตา สติ. สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ นิจฺจํ กายคตา สติ. สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ อหิํสาย รโต มโน. สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ ภาวนาย รโต นโน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 173
"สติของชนเหล่าใด ไปแล้วในพระพุทธเจ้าเป็นนิตย์ ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน, ชนเหล่านั้น เป็นสาวกของพระโคดม ตื่นอยู่ด้วยดีในกาลทุกเมื่อ.
สติของชนเหล่าใด ไปแล้วในพระธรรมเป็นนิตย์ ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน, ชนเหล่านั้น เป็นสาวกของพระโคดม ตื่นอยู่ด้วยดีในกาลทุกเมื่อ.
สติของชนเหล่าใด ไปแล้วในพระสงฆ์เป็นนิตย์ ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน, ชนเหล่านั้น เป็นสาวกของพระโคดม ตื่นอยู่ด้วยดีในกาลทุกเมื่อ.
สติของชนเหล่าใด ไปแล้วในกายเป็นนิตย์ ทั้ง กลางวันทั้งกลางคืน, ชนเหล่านั้นเป็นสาวกของพระโคดม ตื่นอยู่ด้วยดีในกาลทุกเมื่อ.
ใจของชนเหล่าใด ยินดีแล้วในอันไม่เบียดเบียน ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน, ชนเหล่านั้น เป็นสาวกของพระโคดม ตื่นอยู่ด้วยดีในกาลทุกเมื่อ.
ใจของชนเหล่าใด ยินดีแล้วในภาวนา ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน, ชนเหล่านั้นเป็นสาวกของพระโคดม ตื่นอยู่ด้วยดีในกาลทุกเมื่อ."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ ความว่าผู้หลับไป ตื่นขึ้นมา โดยมีสติยึดมั่นในพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ชื่อว่าตื่นอยู่ด้วยดี..
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 174
บาทพระคาถาว่า สทา โคตมสาวกา ความว่า ชื่อว่าเป็นสาวกของพระโคดม เพราะความที่ตนเป็นผู้เกิดแล้วในที่สุดแห่งการฟังแห่งพระพุทธเจ้าผู้โคตมโคตร (และ) เพราะความเป็นคืออันฟังอนุสาสนีของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นนั่นแล.
สองบทว่า พุทฺธคตา สติ ความว่า สติของชนเหล่าใดปรารภ พระพุทธคุณทั้งหลายอันต่างด้วยคุณมีว่า "อิติปิ โส ภควา" เป็นต้น เกิดขึ้นอยู่ มีอยู่ตลอดกาลเป็นนิตย์, ชนเหล่านั้น ชื่อว่าตื่นอยู่ด้วยดีแม้ในกาลทุกเมื่อ. ก็ชนเหล่านั้น เมื่อไม่อาจ (เพื่อจะกระทำ) อย่างนั้นได้ ทำซึ่งพุทธานุสสติไว้ในใจ ในวันหนึ่ง ๓ เวลา ๒ เวลา (หรือ) แม้เวลาเดียว ชื่อว่าตื่นอยู่ด้วยดีเหมือนกัน.
สองบทว่า ธมฺมคตา สติ ความว่า สติที่ปรารภพระธรรมคุณทั้งหลาย อันต่างด้วยคุณมีว่า "สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม" เป็นต้น อันเกิดขึ้นอยู่.
สองบทว่า สงฺฆคตา สติ ความว่า สติที่ปรารภพระสังฆคุณทั้งหลาย อันต่างด้วยคุณมีว่า "สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ" เป็นต้น อันเกิดขึ้นอยู่.
สองบทว่า กายคตาสติ ความว่า สติอันเกิดขึ้นอยู่ด้วยการพิจารณาตามอาการ ๓๒ หรือด้วยสามารถพิจารณาซากศพในป่าช้า ๙ หรือด้วยสามารถแห่งการกำหนดธาตุ ๔ หรือด้วยการเจริญรูปฌาน มีนีลกสิณ อันเป็นไปในภายใน เป็นต้น..
สองบทว่า อหิํสาย รโต ความว่า ยินดีแล้วในกรุณาภาวนา (การเจริญกรุณา) อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ว่า "ภิกษุนั้นมีใจประกอบด้วยกรุณา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่."
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 175
บทว่า ภาวนาย ได้แก่ เมตตาภาวนา, จริงอยู่ ภาวนาที่เหลือแม้ทั้งหมด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์เอาในบทว่า "ภาวนาย" นี้ เพราะความที่กรุณาภาวนาพระองค์ตรัสไว้แล้วในหนหลังแม้โดยแท้, ถึงดังนั้น เมตตาภาวนาเท่านั้น พระองค์ทรงประสงค์เอาในบทว่า "ภาวนาย" นี้, คำที่เหลือ ผู้ศึกษาพึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในคาถาต้นนั้นเทียว.
ในกาลจบเทศนา เด็กคนนั้น พร้อมกับบิดา มารดา ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.ครั้นภายหลัง คนทั้ง ๓ บวชแล้วบรรลุพระอรหัต. พระธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่ผู้ที่อยู่ที่นั้นด้วยแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องนายทารุสากฏิกะ จบ.