[คำที่ ๗๒๑] สตตธมฺมเทสนา
โดย Sudhipong.U  12 มิ.ย. 2568
หัวข้อหมายเลข 50156

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “สตตธมฺมเทสนา”

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

สตตธมฺมเทสนา อ่านตามภาษาบาลีว่า สะ - ตะ - ตะ - ดำ - มะ - เท - สะ - นา มาจากคำว่า สตต (เนืองๆ, เป็นประจำ) กับคำว่า ธมฺมเทสนา (การแสดงธรรม, การแสดงสิ่งที่มีจริง) จึงรวมกันเป็น สตตธมฺมเทสนา แปลว่า การแสดงธรรมเนืองๆ, การแสดงธรรมเป็นประจำ จะเห็นได้ว่า เพราะมีการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงมีการทรงแสดงธรรมประกาศพระศาสนาให้สัตว์โลกได้มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง และ สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ได้เข้าใจความจริง ก็ประกาศคำจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นจะได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง การแสดงธรรมเนืองๆ การแสดงธรรมเป็นประจำ เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ เป็นคำพร่ำสอนที่น่าอัศจรรย์ เพราะสามารถกำจัดกิเลสของสัตว์โลกได้

ข้อความในสุมังคลวิลาสินี อรรถกถา ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เกวัฏฏสูตร ได้กล่าวถึงการแสดงธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ดังนี้

การแสดงธรรมเนืองๆ ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ในปาฏิหาริย์เหล่านั้น อิทธิ - ปาฏิหาริย์ (ปาฏิหาริย์คือการแสดงฤทธิ์ต่างๆ) และอาเทสนาปาฏิหาริย์ (ปาฏิหาริย์คือการรู้ใจของผู้อื่น) ยังติเตียนได้ ยังมีโทษ ไม่ยั่งยืนอยู่นาน เพราะไม่ยั่งยืนอยู่นาน จึงไม่นำสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้. อนุสาสนีปาฏิหาริย์เท่านั้นไม่ติเตียนได้ไม่มีโทษ ตั้งอยู่ได้นาน เพราะตั้งอยู่ได้นาน จึงนำสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้. เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงติเตียนอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์ ทรงสรรเสริญอนุสาสนีปาฏิหาริย์อย่างเดียว


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมในแต่ละครั้ง เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง เพียงพอแก่ผู้ที่สามารถจะเข้าใจได้ พระองค์มิได้ทรงบังคับให้ผู้ใดมานับถือพระองค์ แต่ทรงแสดงธรรม เพื่อให้ผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา มีการพิจารณาไตร่ตรอง เห็นด้วยตนเองตามความเป็นจริง เกิดปัญญาเป็นของตนเอง อย่างเช่น ทรงแสดงว่า สภาพธรรมใดที่มีโทษ ก็ควรละ ทั้งความติดข้อง ความโกรธ ความหลง ความแข่งดี และสภาพธรรมใดที่ไม่มีโทษ คือ ความไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลง ความไม่แข่งดี เป็นธรรมที่ควรอบรมเจริญให้มีขึ้นในชีวิตประจำวัน เมื่อได้ฟัง ได้พิจารณา เข้าใจตามความเป็นจริงแล้ว จากที่เคยเป็นผู้มากไปด้วยอกุศลประการต่างๆ ก็สามารถที่จะละคลายอกุศล ขัดเกลากิเลสของตนเอง และอบรมเจริญธรรมฝ่ายดีเพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน ทั้งหมดของพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริง

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นคำสอนที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง เป็นคำสอนของบุคคลผู้ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานมาก เพื่อที่จะตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริง และไม่ใช่เพียงเพื่อตรัสรู้เฉพาะพระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น แต่ทรงมีพระมหากรุณาที่จะทรงแสดงพระธรรมเกื้อกูลให้สัตว์โลกได้เข้าใจถูกเห็นถูกตามพระองค์ด้วย ดังนั้น พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงทำให้ผู้ได้ฟัง ได้ศึกษา จากที่เคยเต็มไปด้วยกิเลสประการต่างๆ มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคล ดับกิเลสตามลำดับขั้นได้ สูงสุดคือถึงความเป็นพระอรหันต์ หมดจดจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ซึ่งถ้าไม่ได้อาศัยพระธรรม จะเป็นอย่างนี้ไม่ได้เลย

จะเห็นได้ว่าในชีวิตประจำวัน แต่ละคนก็มีกิเลสมากด้วยกันทั้งนั้น เพราะเคยได้สะสมมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ กิเลสเมื่อได้เหตุได้ปัจจัยก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ และเกิดขึ้นบ่อยมากเกือบจะตลอดเวลาก็ว่าได้ เพราะ ถ้ากุศล ความดีประการต่างๆ ไม่เกิดขึ้นแล้ว ก็เป็นโอกาสของอกุศลที่จะเกิดขึ้น ครอบงำจิตใจตลอดเวลา

ตราบใดที่ยังมีกิเลส ยังไม่ได้ดับกิเลสได้อย่างเด็ดขาด ย่อมมีปัจจัยให้เกิดอกุศลจิตขึ้นได้ ในขณะที่อกุศลจิตเกิดขึ้นนั้น กิเลสก็เกิดพร้อมกับอกุศลจิตในขณะนั้น เพราะเหตุว่าที่จิตเป็นอกุศลได้นั้นก็เพราะประกอบด้วยกิเลสประการต่างๆ มีโลภะ เป็นต้น โดยไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนเลย มีแต่ธรรมเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่เท่านั้น ขณะที่อกุศลจิตเกิด ขณะนั้นกุศลจิตไม่เกิด ปัญญาไม่เกิด ไม่ยอมปล่อยให้จิตเป็นกุศลเลย และอกุศลจิตก็เกิดมากด้วยในชีวิตประจำวัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าไม่ได้อาศัยพระธรรม ก็จะไม่รู้เลยว่าตนเองเป็นผู้มีกิเลสมากแค่ไหน เมื่อไม่รู้กิเลสตามความเป็นจริง ก็ไม่สามารถละกิเลสใดๆ ได้เลย การที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงได้นั้น ก็ต้องฟังพระธรรม เพราะ บุคคล ผู้ที่เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องก็จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย

ถ้าเป็นผู้ที่ได้สะสมเหตุที่ดีมา เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ก็จะทำให้จากที่เคยเป็นผู้มีอกุศลมาก จากที่เป็นอกุศลบ่อยๆ เนืองๆ กาย วาจา ใจ ที่เป็นไปกับอกุศลเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็จะค่อยๆ น้อมไปในทางที่เป็นกุศลยิ่งขึ้น เห็นประโยชน์ของกุศลธรรมมากยิ่งขึ้น ขัดเกลากิเลสมากขึ้น ได้รับประโยชน์จากพระธรรมมากยิ่งขึ้น จากที่เป็นอกุศล แล้วค่อยๆ มีกุศลจิตเกิดขึ้น โดยที่ไม่มีตัวตนที่จะไปทำอะไรได้ แต่จะต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา ฟังพระธรรมให้เข้าใจ เมื่อปัญญาเจริญขึ้นไปตามลำดับ ก็ย่อมจะอุปการะเกื้อกูลให้ธรรมฝ่ายดีค่อยๆ เจริญขึ้นด้วย กล่าวได้ว่า สภาพธรรมที่ดีงาม ย่อมคล้อยไปตามความเข้าใจพระธรรม

จึงแสดงให้เห็นตามความเป็นจริงว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วเท่านั้น เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดและมีค่ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ที่จะทำให้ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษา มีความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสของตนเองจนกระทั่งสามารถดับกิเลสทั้งหลายได้ในที่สุด เพราะฉะนั้น จึงควรอย่างยิ่งที่ทุกคนจะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดสำหรับชีวิต เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองให้เบาบางลงจนกว่าจะมีปัญญาคมกล้าสามารถดับกิเลสทั้งหลายได้ในที่สุด ซึ่งจะต้องเริ่มสะสมปัญญาตั้งแต่ในขณะนี้ โดยที่ไม่ขาดการฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน บุคคลผู้ที่มีปัญญาเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงซึ่งเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์

ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..

บาลี ๑ คำ