กุศลจิต
โดย นฤมน  15 มี.ค. 2561
หัวข้อหมายเลข 29577

กราบเรียนถามค่ะ

1.กุศลจิต ในแต่ละวันเกิดยากมาก มีวิธีใดที่จิตจะเป็นกุศล เวลาทำบุญ จิตยังนึกตำหนิ จิตจะคิดโน้น นี้ นั้น

2.สติปัฏฐาน คือ ทุกขณะจิตเกิดดับจิตต้องเป็นกุศล ถูกต้องไหมคะ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 15 มี.ค. 2561

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

1.กุศลจิต ในแต่ละวันเกิดยากมาก มีวิธีใดที่จิตจะเป็นกุศล เวลาทำบุญ จิตยังนึกตำหนิ จิตจะคิดโน้น นี้ นั้น

- ควรเข้าใจถูกต้องครับว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ สะสมกิเลส อกุศลมามาก ที่เรียก ปุถุชน คือ ผู้หนาด้วยกิเลส ก็ต้องเป็นธรรมดาที่จะต้องเกิดกิเลส อกุศลมากกว่าปกติ ดังนั้นต้องยอมรับความจริงข้อนี้ ซึ่งธรรมจึงไม่ใช่เรื่องที่จะบอกให้ทำยังไงกุศลจะมาก นั่นคือความต้องการโลภะ ความอยากก็มาอีกแล้วที่อยากจะมีความดี กุศลมากๆ พระพุทธศาสนาจึงเป็นเรื่องละโดยประการทั้งปวง ซึ่ง เป็นเรื่องของปัญญา กุศลจะเจริญเพิ่มขึ้น ก็ทีละน้อย มีได้ด้วยเหตุ คือ ปัญญาความเห็นถูกที่มีมากขึ้น กุศลก็มีมากขึ้น เพราะฉะนั้น ทางเดียวก็คือการฟังพระธรรมในหนทางที่ถูกต้องนั่นเอง จะเป็นเหตุให้กุศลเจริญเพิ่มขึ้นครับ

คำบรราย เรื่อง จะหลอกตัวเองหรือจะเข้าใจความจริง

จารุพรรณ มีผู้บ่นว่า พอฟังแล้ว อันนั้นก็เป็นโลภะ อันนี้ก็เป็นโทสะ รู้สึกว่าเป็นอกุศลทั้งวัน ชักจะท้อแล้ว เหมือนกับหมดกำลังใจ เกิดวิตกกังวล

ท่าน อ.สุจินต์ สู้หลอกตัวเองว่าไม่มีไม่ได้ ใช่ไหมคะ อยากจะหลอกตัวเองต่อไป หรืออยากจะรู้ความจริง รู้จักตัวเองขึ้นให้ถูกต้อง วันนี้ตักตวงวัดอกุศลไม่ได้เลยว่า มากสักเท่าไร เพราะมากจริงๆ ชั่วขณะที่ฟังธรรมเป็นกุศล และขณะอื่นเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต สำหรับคนที่สะสมกุศลมามาก วันหนึ่งกุศลมีโอกาสเกิดได้บ่อย แต่ไม่ได้หมายความว่ามากเท่าอกุศล เพราะเหตุว่าทันทีที่ลืมตาก็โลภะแล้ว แล้วจะให้บอกว่าอย่างไร ถ้าเป็นพระอรหันต์ซิคะ ลืมตาแล้วไม่มีหรอกโลภะ แต่เมื่อยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ต้องยอมรับตามความเป็นจริง การที่จะรักษาโรค ก็ต้องรู้สมุฏฐานของโรค ถ้าไม่รู้สมุฏฐานแล้วจะละอย่างไร คนที่ไม่มีปัญญารู้ความจริง ไม่มีทางที่จะดับทุกข์หรือดับกิเลสได้เลย เมื่อมีกิเลสแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเป็นกิเลส แล้วจะละกิเลสได้อย่างไร เมื่อไม่รู้ว่าเป็นกิเลส แต่ว่าผู้ที่รู้จักกิเลส สามารถละกิเลสได้ เพราะรู้ว่า กิเลสเป็นอย่างไร

ถ้ารู้ตัวเองว่าเป็นคนไม่ดี แล้วจะได้ทำดี กับคิดว่าตัวเองดีแล้ว พอแล้ว ก็ต่างกัน ใช่ไหมคะ ถ้าใครเขาบอกเราว่าไม่ดี เราจะรับไหมคะว่า จริงค่ะ ถูกค่ะ ไม่ดีจริงๆ เพราะตั้งแต่ลืมตาก็เป็นอกุศลมามากมายแล้ว

ขออนุโมทนา

---------------------------------

2.สติปัฏฐาน คือ ทุกขณะจิตเกิดดับจิตต้องเป็นกุศล ถูกต้องไหมคะ

สติปัฏฐาน คือ สติและปัญญาที่รู้ความจริงของสภาพธรรมใด สภาพธรรมหนึ่งว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เป็นปัญญาระดับสูง ขณะนั้นเป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา ซึ่งเป็นเรื่องที่ห่างไกลและต้องค่อยๆ อบรมปัญญาขั้นการฟังอีกยาวนานครับ ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย นฤมน  วันที่ 15 มี.ค. 2561

ขอบพระคุณค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย khampan.a  วันที่ 15 มี.ค. 2561

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
~ กุศลจิตเกิดเพราะเหตุปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม กุศลจิตสามารถเกิดขึ้นเป็นไปได้ ถ้าเข้าใจและเห็นคุณของความดี ไม่ว่าจะเป็น ฟังพระธรรม ให้ทาน มีเมตตาต่อผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ขวนขวายในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นต้น ครับ
~ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นความจริง ก่อนอื่นเมื่อกล่าวถึงอะไรนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่า เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เมื่อเป็นสิ่งที่มีจริง ก็ไม่ใช่ใครไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนแต่อย่างใด แม้แต่ สติปัฏฐาน ก็เช่นเดียวกันซึ่งควรที่จะได้พิจารณาเป็นอย่างยิ่ง เพราะทั้งหมด เป็นธรรม
"สติปัฏฐาน" เป็นเรื่องของการระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏ เป็นการระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ไม่พ้นจากสติไปได้ สติย่อมมีอย่างแน่นอน โดยไม่มีตัวตนที่ระลึก หรือไปเจาะจงอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ต้องมีสภาพธรรมที่เป็นอารมณ์ของสติคือ เป็นสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีในขณะนั้น มีสติซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ระลึก และ มีปัญญาที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ขณะที่สติปัฏฐานเกิด ย่อมเป็นกุศลจิต ไม่ใช่อกุศลจิต เป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา และ มีสติที่เป็นสภาพธรรมที่ระลึก ด้วย เพราะสภาพธรรมที่เป็นอารมณ์ให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้นั้น ก็เป็นธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน สิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันนี้เองที่สามารถรู้ตามความเป็นจริงได้ ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร แต่รู้ยาก เพราะสะสมอวิชชา ความไม่รู้มาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์
ประการที่สำคัญ นั้น ก่อนที่จะไปถึงสติปัฏฐาน ขอให้ฟังให้เข้าใจ เพราะเหตุว่าพระธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งมาก ต้องอาศัยการฟัง การศึกษาพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ฟังพระธรรมให้เข้าใจในสภาพธรรม ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม อย่างมั่นคงว่า ทุกอย่างเป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่ สัตว์บุคคลตัวตน เป็นความเข้าใจในความจริงอย่างมั่นคงจึงจะเป็นเหตุให้สติปัฏฐานเกิด แต่อย่าลืมว่าธรรม เป็นอนัตตา ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ครับ.
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 4    โดย ประสาน  วันที่ 16 มี.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด


ความคิดเห็น 5    โดย นฤมน  วันที่ 16 มี.ค. 2561

กราบขอบพระคุณค่ะ เข้าใจได้ว่า ทุกสิ่งเป็นธรรม ไม่ใช่เรา บังคับบัญชาไม่ได้ ความเป็นเรายังเหนียวแน่น ถ้าอยากที่จะทำ ก็เป็นโลภะ ได้แค่เข้าใจ