ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๔
โดย วันชัย๒๕๐๔  15 ส.ค. 2554
หัวข้อหมายเลข 18950

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

และคณะวิทยากร ของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

ได้รับเชิญจากชมรมพุทธศาสน์วังพญาไท ในอุปการะของโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ

โดยท่านประธานชมรม พลตรี นายแพทย์กฤษฎา ดวงอุไร รองเจ้ากรมแพทย์ทหารบก

และคณะฯ ให้ไปร่วมสนทนาธรรม ที่ห้องประชุมใหญ่ ชั้น ๑๐ อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ

โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ระหว่างเวลา ๙.๐๐ น ถึง ๑๔.๓๐ น.

เนื่องจากการจัดสนทนาธรรมที่ผ่านๆ มา ที่อาคารพัชรกิติยาภา มีผู้ให้ความสนใจ

เข้าร่วมฟังเป็นจำนวนมากจนล้นห้องประชุมทำให้ระยะหลังๆ ท่านผู้จัดต้องจัดห้องเพิ่ม

และติดตั้งทีวีวงจรปิดขนาดใหญ่ไว้ให้ ในครั้งนี้ท่านผู้จัดจึงได้ทดลองย้ายมาจัด

ที่ห้องประชุมใหญ่ที่นี่ ซึ่งสามารถจุคนได้ราว ๕๐๐ คน

และเป็นสถานที่โอ่อ่า มีพื้นที่ใช้สอยมาก ที่นั่งรับประทานอาหารที่กว้างขวาง โล่งสบาย

และเช่นเคย นอกจากที่ท่านผู้จัดจะได้เตรียมน้ำดื่ม ชา กาแฟ โอวัลติน ขนมเค้ก ปาท่องโก๋

และอื่นๆ ไว้บริการในตอนเช้าและโดยตลอดเวลาแล้ว ยังมีการจัดอาหารกล่องรวมทั้งขนม

และผลไม้หลากหลายชนิด ไว้ให้ผู้เข้าร่วมฟังการสนทนาธรรมได้รับประทาน

ในตอนกลางวันด้วยครับ กราบอนุโมทนาในกุศลจิตท่านเจ้าภาพอาหารทุกท่านครับ

ท่านอาจารย์เดินทางมาถึงก่อนเวลาราวครึ่งชั่วโมง ท่านยิ้มแย้ม สดใส ร่าเริงมากครับ

ท่านอาจารย์มีอายุ ๘๔ ปีแล้ว แต่ยังดูแข็งแรง เดินทักทายทุกคนได้อย่างคล่องแคล่ว

เป็นที่น่าปลื้มปีติอย่างยิ่งแก่ศิษย์ และทุกๆ คนที่ได้พบเห็นท่านในวันนี้ครับ

ช่วงแรกของการสนทนาธรรมในวันนี้ ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้อย่างไพเราะจับใจมากครับ

ข้าพเจ้าจึงใคร่ขออนุญาตินำมาให้ทุกท่านได้พิจารณาด้วยดังนี้ครับ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

พลตรีหญิง เรณู "...มีความเข้าใจ ในสิ่งที่กำลังฟัง เราก็เริ่มสะสมความรู้ จากที่ไม่เคยรู้

แต่เป็นเรื่องยาก ถ้าบุคคลนั้น ไม่เคยสั่งสมบุญมาก่อนในอดีต

พ.ต.อ. ธีรชล ขณะฟัง เป็น "เราฟัง" ก็คิด "ความคิด" ที่ยัง "เป็นเรา"

ปัญญา ของเรา อ่านมา จำมา เรียนมา ก็เพียง "เข้าใจเรื่องราว"

ยังไม่เป็น จิต เจตสิก รูป ไม่ใช่ "ปัญญา" จริงๆ

พลตรีหญิง เรณู ค่ะ คำกล่าวของท่านอาจารย์ มีมากมาย นะคะ ถ้าเราติดตามฟัง

แต่ที่สำคัญที่สุด คือ ขณะที่ฟัง แล้วก็สนทนากับท่าน ในขณะนี้เลย

ก็จะเป็นประโยชน์ แก่ทุกท่าน ก่อนที่เราจะเริ่มฟัง หรือ เริ่มการสนทนา นะคะ

ขอกราบเรียนเชิญ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ซึ่งมาเป็นประธาน

ในการสนทนาธรรม ในวันนี้ ได้กล่าวกับท่านผู้มาร่วมฟังและสนทนาก่อนค่ะ

กราบเรียนเชิญค่ะ ท่านอาจารย์คะ

ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็เป็น เรื่องเดิม นะคะ เรื่องเก่า ไม่ใช่เรื่องใหม่ เฉพาะขณะนี้ค่ะ

นาน....แสนนาน....มาแล้ว ธรรมะ ก็เป็น ธรรมะ

เพราะฉะนั้น การได้ฟังเรื่องเก่าๆ เดิมๆ ที่ กำลังปรากฏในขณะนี้

แล้วก็จะปรากฏต่อไปนะคะ ก็เพื่อที่จะได้ มีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก

ในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ

เพราะว่า

จะไม่มีใครเลยค่ะ ที่สามารถที่จะทำให้เกิดความเข้าใจ สิ่งที่มีจริงๆ

ในขณะนี้ ตามความเป็นจริงได้ นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ซึ่งเมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้ว นะคะ ก็ได้ทรงแสดงพระธรรม โดยละเอียดยิ่ง

โดยประการทั้งปวง เพื่อที่จะให้ผู้ฟัง

"ค่อยๆ เข้าใจ"

เพราะว่า เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง และ ยาก

จนต้องบำเพ็ญพระบารมี นะคะ สำหรับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงยิ่งด้วยปัญญา

สี่อสงไขยแสนกัปป์ ไม่นับตอนที่ตั้งความปรารถนา และก่อนๆ นั้น

ทั้งๆ ที่ สภาพธรรมะ ก็เป็นอย่างนี้ค่ะ ไม่เป็นอย่างอื่นเลย

ในวันที่ทรงตรัสรู้ สภาพธรรมะ ก็เป็นอย่างนี้

คือ มีสิ่งที่ปรากฏให้ "เห็น" ทางตา เป็นอื่นไปไม่ได้ อย่างหนึ่ง นะคะ

แล้วก็มี สิ่งที่มีจริงๆ ที่ปรากฏว่ามีจริง เมื่อกำลัง "ได้ยิน"

"

เสียง"

ก็มีจริงๆ

....

กลิ่น...รส...แล้วก็...เย็น...ร้อน..อ่อน...แข็ง...ตึง...ไหว...

ชีวิตประจำวันของทุกคน นะคะ แล้วก็ความ "คิดนึก" สุข ทุกข์ ต่างๆ

มีจริงๆ ค่ะ

แล้วก็สามารถที่จะ ปรากฏ

แต่ผู้ที่ ไม่มีโอกาส ได้ฟังพระธรรม ไม่สามารถที่จะ เริ่มเข้าใจ ความจริงของสิ่งที่มี

แม้แต่คำว่า "ธรรมะ" ก็ผ่านหู แล้วก็ไม่ทราบว่า

จริงๆ แล้ว

"ธรรมะ" ก็คือ สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ นั่นเอง

เพราะมิฉะนั้นแล้ว อะไร? จะเป็นธรรมะ จะไปพบธรรมะ ที่ไหน?

ถ้าไม่ใช่ สิ่งที่กำลังผเชิญหน้า ในขณะที่กำลังปรากฏให้เห็น

หรือว่า "เสียง" ที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ในขณะที่ "กำลังได้ยิน"

ความลึกซึ้ง และ ความน่าอัศจรรย์ ของธรรมะ ก็คือ

ทั้งๆ ที่สภาพธรรมะ ก็ปรากฏก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ

ธรรมะ เกิดขึ้น ปรากฏ แล้ว หมดไป แสดงความเป็นธรรมะว่า เกิดแล้ว หมดแล้ว

ไม่มีใคร เป็นเจ้าของ ไม่สามารถที่จะกลับมาได้เลย สักอย่างเดียว

แต่ก็ไม่รู้ว่า เป็นธรรมะ

ได้ยินแต่เพียง "ชื่อ" ค่ะ "ธรรมะ"

แต่ว่า ตามความเป็นจริง นะคะ ต้อง "เริ่มเข้าใจคำ" ที่มีความหมายถึง สิ่งที่มีจริงๆ

ไม่ใช่เป็นคำเลื่อนลอย แต่ว่า "คำ" ที่ทรงแสดงไว้

แสดงถึง ความจริงของสภาพธรรมะ...ที่กำลังปรากฏ...ในขณะนี้...

ด้วยเหตุนี้ นะคะ การฟัง จึงต้องฟัง ด้วยความเคารพ

ในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ และ ในพระมหากรุณาคุณ

๔๕ พรรษา ที่ทรงแสดงพระธรรม

เพื่อที่จะให้เรา ได้เข้าใจทุกอย่างที่มีจริง

ไม่ว่า ความโกรธ มีจริง เกิดได้อย่างไร? นะคะ หรือว่า ความติดข้อง ก็มีจริงๆ

กำลังเพลิดเพลิน พอใจ ก็มีจริง ในชีวิตประจำวัน แต่ว่า ไม่เคยรู้เลย

ว่าแท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นเพียง สิ่งที่มีจริง...ที่เกิด...ปรากฏ...แล้วก็...หมดไป....

แล้วก็ไม่เหลือเลย

มีประโยชน์อะไร? ที่จะรู้ความจริง อย่างนี้

เพราะว่า ทุกคนเกิดมาแล้วนะคะ ต้องจากโลกนี้ไป ต้องตายแน่นอน

ช้า หรือ เร็ว กำหนดไม่ได้เลยค่ะ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ล่วงหน้า นะคะ

ว่าจะจากโลกนี้ไป เมื่อไหร่? และ เมื่อเกิดมาแล้ว

เข้าใจว่า "มีเรา"

แต่เวลาจากโลกนี้ไป

"ไม่มีเรา"อีกต่อไป

เพราะฉะนั้น สิ่งที่มี ตั้งแต่เกิดจนตาย ก็ต้องไม่ใช่เราด้วย

เป็นแต่เพียง "ลักษณะ" ของ "สภาพธรรมะ" แต่ละอย่าง

ซึ่งมี "ปัจจัย" เกิดขึ้น แล้วก็ ดับไป

เพราะฉะนั้น

"การเข้าใจความจริง" ทำให้ "ไม่หลง"

ภาษาไทย เนี่ยค่ะ เราจะใช้คำว่า "หลง" เสมอ นะคะ

"หลงโกรธ" ควรโกรธไหม? ความโกรธ มีประโยชน์หรือเปล่า?

เมื่อความโกรธ ไม่มีประโยชน์ แล้ว "หลงโกรธ" เพื่ออะไร?

เพื่อความไม่มีประโยชน์ เพื่อความไม่มีสาระ

เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่มี

ก่อนที่จะได้ฟังธรรมะ

ก็เป็นการ "หลง" หมดเลย

"หลง" ยึดถือ สภาพธรรมะ ที่กำลังปรากฏ

ว่าเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด เป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ

"หลง" ยึดสภาพธรรมะ ว่า "เป็นเรา" ที่...กำลังเห็น...กำลังได้ยิน...กำลังคิดนึก....

เพราะฉะนั้น การที่มีโอกาส ได้ฟังพระธรรม ย่อมทำให้เข้าใจความจริง นะคะ

ว่าแท้ที่จริงแล้ว ตราบใด ที่ปัญญายังไม่รู้ความจริง ของสภาพธรรมะ

ขณะนั้น...ย่อมหลงไป...ด้วยความไม่รู้.....

แล้วก็...จากโลกนี้ไป...ด้วยความหลง...เหมือนเดิม...

ตั้งแต่เกิด แล้วก็ยังหลงเพิ่มขึ้น แล้วก็ยังเพิ่ม ความติดข้อง แล้วก็กิเลส มากมาย

"ความสำคัญตน"เกิดมาแล้วนะคะ "เป็นเรา"

เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้นะคะว่า

แม้แต่เพียง "สภาพธรรมะ" ที่ "เป็นเรา" ด้วย "ความสำคัญตน"

ก็เป็นสิ่งซึ่ง "หลง" ยึดถือว่า "มีเรา" แล้วก็มี "ความสำคัญตน" ด้วย

เพราะฉะนั้น เมื่อศึกษาธรรมะแล้วนะคะ ทุกคนก็จะเห็น สภาพธรรมะ

ตามความเป็นจริง ว่า สะสมความไม่ดี อกุศลธรรมทั้งหลายเนี่ย มากมาย

ถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเลย ก็จะสะสมความไม่ดี มากขึ้นๆ

และ จาก...โลกนี้ไป...โดยการเหมือนกับ สะสม หรือ หอบ สิ่งที่ไม่ดี

เป็นขยะ เป็นเชื้อโรค เป็นแผลเน่า

ติดตามไปอีก ในชาติต่อๆ ไป

เพราะฉะนั้น

ประโยชน์ของการฟัง คือ ไม่ใช่ให้เรา หมดกิเลส วันนี้

หรือว่า ฟังแล้ว ให้รู้ความจริง เดี๋ยวนี้

เป็นสิ่งที่ เป็นไปไม่ได้เลย

แต่ "ฟัง" เพื่อ "เข้าใจ"

"เริ่มเข้าใจ" สิ่งที่มีจริงๆ ถูกต้องขึ้น

นี่คือ การสะสมความเห็นที่ถูกต้อง ที่จะทำให้ค่อยๆ คลายความไม่รู้

และอผู้ที่หมดกิเลส ไม่มีทุกข์

เพราะฉะนั้น ทุกข์ เกิดเมื่อไหร่ ให้ทราบว่า เพราะยังมีกิเลสอยู่

แล้วทุกคน ก็ไม่อยากจะมีทุกข์เสียเลย นะคะ อยากจะมีแต่สุข แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย

เพราะเหตุว่า ทุกข์ มีอยู่ตลอดเวลา ทั้งทุกข์ที่ไม่รู้เลย ว่าเป็นทุกข์

"โลภะ" สนุก ติดข้อง พอใจ นะคะ เป็นทุกข์ หรือเปล่า?

การศึกษาธรรมะ หรือ การฟังพระธรรม ต้องลึกซึ้ง ตามลำดับ

ไม่ติดข้องเลย ไม่ผูกพันเลย เดือดร้อนไม๊คะ?

แต่ถ้า ติดข้อง ต้องการ ผูกพัน

เดือดร้อน หรือเปล่า? เป็นทุกข์ หรือเปล่า?

แค่นี้ ก็ต้องอาศัย พระธรรมที่ทรงแสดง โดยประการทั้งปวง

กว่าจะค่อยๆ น้อมไป เข้าใจความจริง ของ สภาพธรรมะ

จนกระทั่ง สามารถที่จะ ค่อยๆ คลายความไม่รู้

จนกว่าจะถึง

การดับกิเลส ตามลำดับขั้นได้

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ได้มีโอกาสสะสมความเข้าใจจากการฟังพระธรรม

เป็นกาลและโอกาสแสนวิเศษ สำหรับทุกบุคคลในวันนั้น ได้หมดไปสิ้นไปแล้วอีกครั้งหนึ่ง

กราบอนุโมทนาชมรมพุทธศาสน์วังพญาไท ในความเอื้อเฟื้อ ให้ทุกๆ คนได้มีโอกาส

ได้รับธรรมทานอันเลิศนั้น อยู่เป็นนิจ

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาท่านวิทยากรทุกท่าน

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ



ความคิดเห็น 1    โดย khampan.a  วันที่ 15 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งขออนุโมทนาชมรมพุทธศาสน์วังพญาไท ที่ได้จัดให้มีการสนทนาธรรมเป็นประจำทุกปีทำให้ผู้สะสมเหตุที่ดีมา มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษา ได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกเพิ่มขึ้น ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 2    โดย paderm  วันที่ 16 ส.ค. 2554

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 3    โดย หลานตาจอน  วันที่ 16 ส.ค. 2554
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 4    โดย pat_jesty  วันที่ 16 ส.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนานกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

ความคิดเห็น 5    โดย Noparat  วันที่ 16 ส.ค. 2554

ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะ กุศลศรัทธาของคุณวันชัย ด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย raynu.p  วันที่ 16 ส.ค. 2554

ไพเราะจับใจจริงๆ พระธรรมที่ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์

และอาจารย์วิทยากร กรุณานำมาแสดง

กราบอนุโมทนาคุณวันชัยที่นำบรรยากาศที่ท่านอาจารย์ และอาจารย์

วิทยากร เมตตาไปแสดงธรรมในที่ต่างๆ และที่สำคัญนำข้อความที่ควรพิจารณา

ไตร่ตรองเพื่อความเข้าใจถูกต้อง ตามพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมา

สัมพุทธเจ้า มาย้ำเตือนอยู่เสมอ

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านในการร่วมกันเจริญกุศล

เนื่องในวันแม่แห่งชาติครั้งนี้

ธีรชล + เรณู


ความคิดเห็น 7    โดย wannee.s  วันที่ 16 ส.ค. 2554

ภาพสวยดี คมชัด แต่ธรรมะลึกซึ้ง คมชัดกว่า จะรู้ได้ด้วยปัญญาค่ะ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุก ๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย สมศรี  วันที่ 16 ส.ค. 2554

ขอบคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย สมศรี  วันที่ 16 ส.ค. 2554

ขอบคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย nong  วันที่ 16 ส.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย ผู้ร่วมเดินทาง  วันที่ 16 ส.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณวันชัย ณ กาลครั้งนี้ และทุกๆ ท่านที่เกี่ยวข้องครับ


ความคิดเห็น 12    โดย aurasa  วันที่ 16 ส.ค. 2554
กราบขอบพระคุณ ท่านอจ.สุจินต์ และคณะวิทยากร ชมรมพุทธศาสน์วังพญาไท ผู้ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานทุกท่านที่ทำให้มีวันนี้ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะธรรมะ..ยิ่งเปิดเผยยิ่งดี ยิ่งใหญ่ มีประโยชน์อย่างยิ่ง
นับว่า...มีบุญแต่ปางก่อน ที่ได้ฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์และวิทยากรทุกท่าน

ความคิดเห็น 13    โดย wirat.k  วันที่ 17 ส.ค. 2554

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 14    โดย Jans  วันที่ 17 ส.ค. 2554

... เมื่อเกิดมาแล้ว เข้าใจว่า "มีเรา" แต่เวลาจากโลกนี้ไป "ไม่มีเรา" อีกต่อไป เพราะฉะนั้น

สิ่งที่มี ตั้งแต่เกิดจนตาย ก็ต้องไม่ใช่เราด้วย เป็นแต่เพียง "ลักษณะ" ของ "สภาพธรรมะ"

แต่ละอย่าง ซึ่งมี "ปัจจัย" เกิดขึ้น แล้วก็ ดับไป ... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์

บริหารวนเขตต์ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะ กุศลศรัทธาของคุณวันชัย ค่ะ


ความคิดเห็น 15    โดย พรรณี  วันที่ 17 ส.ค. 2554

ขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ


ความคิดเห็น 16    โดย Sam  วันที่ 17 ส.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 17    โดย kinder  วันที่ 17 ส.ค. 2554
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 18    โดย orawan.c  วันที่ 18 ส.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ