พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามีบัญญัติเป็นอารมณ์ไหม
ต้องมี การฟังพระธรรมต้องพิจารณาถึงเหตุผลประกอบไปเรื่อยๆ
อารมณ์มี ๒ อย่าง คือ ปรมัตถธรรมอย่างหนึ่ง บัญญัติธรรมอย่างหนึ่ง ขณะใดที่ไม่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ ขณะนั้นต้องมีบัญญัติเป็นอารมณ์ ลืมไม่ได้เลย การที่กล่าวถึงเรื่องนี้บ่อยๆ เพื่อเกื้อกูลให้สติระลึกลักษณะของ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้ถูกต้องว่า ทางตาในขณะที่สิ่งที่กำลังปรากฏเป็น สีสันวัณณะต่างๆ เพราะเอาสีออกจากมหาภูตรูปไม่ได้ จึงปรากฏให้เห็นสีของ มหาภูตรูป ทำให้เห็นเป็นบัญญัติต่างๆ ขึ้น เพราะฉะนั้น เวลาที่สติระลึก จะต้องแยกระลึกให้ถูกต้องว่า ทางตาที่กำลังปรากฏ คือ สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสีสันต่างๆ เท่านั้น ส่วนในขณะที่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ขณะนั้นเป็นมโนทวารวิถีจิต
เมื่อได้ศึกษาอย่างนี้แล้วจะเห็นได้ว่า ชีวิตประจำวันของทุกคน ทุกชีวิต ตามความเป็นจริง ต้องมีขณะที่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์บ้าง และมีขณะที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์บ้าง สืบต่อกัน เช่น ทางตาที่เห็น ไม่ได้เห็นแต่ปรมัตถอารมณ์ทาง จักขุทวารวิถี เมื่อจักขุทวารวิถีดับหมดแล้วถึงมโนทวารวิถี มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ไม่ว่าใครทั้งนั้น มิฉะนั้นจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่รู้บัญญัติว่า เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นอาหาร เป็นถ้วย เป็นจาน เป็นช้อน เป็นส้อม จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้เลย แต่ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่ปรากฏ เป็นสีซึ่งติดอยู่กับมหาภูตรูป จะเอาสีนั้นออกจาก มหาภูตรูปไม่ได้ จึงปรากฏว่าบัญญัติเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องมีบัญญัติ เป็นอารมณ์ สัตว์ดิรัจฉานก็ต้องมีบัญญัติเป็นอารมณ์เหมือนกัน มีใครบ้างที่ไม่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ไม่มีเลย
นี่เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ เช่น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์อื่นๆ พระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบัน และปุถุชน ต่างก็มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์บ้าง มีบัญญัติเป็นอารมณ์บ้าง แต่ต่างกันอย่างไร หรือว่าไม่ต่างกันเลย ระหว่างพระอริยเจ้ากับปุถุชนซึ่งต่าง ก็มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์บ้าง มีบัญญัติเป็นอารมณ์บ้าง ต่างกันไหม
ต่างกันที่ปัญญา เพราะปุถุชนไม่เคยรู้เรื่องปรมัตถธรรมเลย จึงมีการยึดถือบัญญัตินั้นว่าเป็นสิ่งที่จริง แต่ผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมแล้วรู้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สภาพธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่เที่ยง และบัญญัติไม่ใช่ปรมัตถธรรม เป็นแต่เพียงการหมายรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น เพราะฉะนั้น บัญญัติจึงเป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิก ถ้าจิตเจตสิกไม่มี บัญญัติจะ มีได้ไหม ก็ไม่ได้
ถ้ามีแต่รูปธรรมเท่านั้น ไม่มีนามธรรม ไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก จะมีบัญญัติไหม ก็ไม่มี เพราะรูปไม่ใช่สภาพที่รู้อารมณ์ จิตและเจตสิกเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ เพราะฉะนั้น บัญญัติเป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิก ถ้าจิตเจตสิกไม่เกิด ก็ไม่มีการ รู้บัญญัติ ถ้ามีแต่รูปธรรมอย่างเดียวเท่านั้นจะไม่มีบัญญัติเลย แต่เพราะจิตเจตสิกเกิดขึ้นรู้สภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมทางจักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร และมโนทวารแล้ว วาระต่อไปยังรู้บัญญัติของสิ่งที่ปรากฏ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจนั้นด้วย
เพราะฉะนั้น การที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ของผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล กับผู้ที่ไม่ใช่พระอริยบุคคลจึงต่างกัน เพราะผู้ที่ไม่ใช่พระอริยบุคคลยึดถือบัญญัติว่า เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลรู้ว่า สภาพธรรมขณะใดเป็นปรมัตถธรรม และขณะใดเป็นบัญญัติอารมณ์
ขณะใดที่จิตรู้บัญญัติ ขณะนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือเปล่า ไม่เป็น เพราะ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงมีบัญญัติเป็นอารมณ์ จะมีมิจฉาทิฏฐิได้อย่างไร
ถ้าไม่พิจารณาโดยละเอียด โลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุตต์ กับโลภมูลจิต ทิฏฐิคตวิปปยุตต์ จะแยกกันได้อย่างไร
ขณะที่เป็นโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ มีความพอใจในอารมณ์ทุกอย่างได้ พอใจในสิ่งที่ปรากฏทางตาและในบัญญัติของสิ่งที่ปรากฏทางตา พอใจในเสียงที่ได้ยินทางหูและบัญญัติของเสียงที่ได้ยินทางหูด้วย ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ โดยนัยเดียวกัน เป็นปกติ ไม่ได้มีความเห็นใดๆ เกิดขึ้น
นี่คือชีวิตประจำวัน ซึ่งมีโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์เกิดบ่อย เป็นประจำ ขณะนั้นไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิ ไม่ใช่โลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุตต์ เพราะฉะนั้น พระโสดาบันมีโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ซึ่งเป็นไปในอารมณ์ทั้ง ๖
พระอรหันต์มีบัญญัติเป็นอารมณ์ แต่ไม่มีโลภมูลจิต แม้ทิฏฐิคตวิปปยุตต์ก็ไม่มี เพราะพระอรหันต์ดับกิเลสทั้งหมดเป็นสมุจเฉท แต่ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ถึงแม้จะรู้ลักษณะของอารมณ์ตามความเป็นจริงว่า ขณะใดเป็น ปรมัตถธรรม ขณะใดเป็นบัญญัติธรรม แม้อย่างนั้นก็ยังมีปัจจัยที่จะให้เป็นสุข เป็นทุกข์ ยินดียินร้ายไปตามปรมัตถอารมณ์และบัญญัติอารมณ์
เพราะฉะนั้น ต้องพิจารณาโดยละเอียดว่า ขณะใดเป็นมิจฉาทิฏฐิ ขณะที่ ยึดมั่นในบัญญัติต่างๆ มีความเห็นผิดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีจริง ในขณะนั้นเป็นสักกายทิฏฐิ ในเมื่อบัญญัติไม่ใช่ปรมัตถธรรม แต่ยึดถือว่าบัญญัตินั้นเป็นสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น นั่นต้องเป็นความเห็นผิด เป็นสักกายทิฏฐิ
เมื่อสักกายทิฏฐิยังไม่ดับเป็นสมุจเฉท จะเป็นปัจจัยทำให้มีความเห็นผิดต่างๆ เกิดขึ้น เช่น เห็นว่ากรรมไม่มี ผลของกรรมไม่มี และยังมีความเห็นผิดอื่นๆ ต่อไปอีก เห็นว่ามีผู้สร้าง ต่างๆ เหล่านี้ นั่นเป็นเรื่องของความเห็นผิดต่างๆ แต่ให้ทราบว่า ขณะใดก็ตามที่จิตมีบัญญัติเป็นอารมณ์ ขณะนั้นไม่ได้หมายความว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1353
รับฟัง ...
พระอรหันต์มีบัญญัติเป็นอารมณ์ไหม