อยากทราบความหมายของ 4 คำนี้ครับ
1. สมถภาวนา
2. วิปัสสนา
3. สติปัฏฐาน
4. สมาธิ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
*สมถภาวนา หมายถึง การอบรมเจริญความสงบของจิต ต้องเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาอย่างแน่นอน สมถภาวนา เป็นการเจริญกุศลด้วยปัญญา ที่เห็นโทษของจิตที่ไม่สงบ ผู้ที่มีปัญญาจริงๆ จะรู้ว่า เมื่อเห็นสิ่งใดที่ไม่สงบด้วย โลภะบ้างโทสะบ้าง โมหะบ้าง เมื่อยินเสียงก็ไม่สงบด้วยโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ผู้จะเจริญสมถภาวนา เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ สามารถรู้ขณะที่เป็นอกุศลจิตว่าต่างกับขณะที่เป็นกุศลจิต จึงมีปัญญารู้ว่าจิตจะสงบเป็นกุศลได้ เมื่อตรึกถึงอารมณ์ที่ทำให้จิตสงบขึ้น สงบขึ้น ได้อย่างไร ฉะนั้น การเจริญสมถภาวนาจึงมีจุดประสงค์ ให้จิตสงบเป็นกุศลมั่นคงขึ้น มั่นคงขึ้น จนเป็นสมาธิขั้นต่างๆ อารมณ์ที่ตั้งของการอบรมเจริญสมถภาวนา มีการระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป็นต้น
และที่น่าพิจารณาคือ การอบรมเจริญสมถภาวนาไม่สามารถดับกิเลสได้ เพียงระงับกิเลสได้ด้วยการข่มเท่านั้น ยังไม่สามารถดับกิเลสได้อย่างเด็ดขาด กิเลสยังมีโอกาสเกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตใจได้อีก สำหรับผู้ที่อบรมเจริญสมถภาวนา ได้ฌานขั้นต่างๆ เมื่อฌานไม่เสื่อมก่อนจุติก็เป็นเหตุให้ไปเกิดเป็นพรหมบุคคล ในพรหมโลก ตามระดับขั้นของฌานที่ได้ ซึ่งยังไม่พ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ ยังไม่หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก แต่การอบรมเจริญปัญญา (วิปัสสนาภาวนา) เริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ เป็นไปเพื่อ ความเจริญขึ้นของปัญญา จนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้ ผู้ที่เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ย่อมไม่ละเว้นโอกาสที่จะทำให้ตนเองได้มีความเข้าใจยิ่งขึ้น ด้วยการฟังพระธรรมฟังในสิ่งที่มีจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
*วิปัสสนา เป็นปัญญาที่รู้แจ้งซึ่งสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งจะขาดปัญญาตั้งแต่ในขั้นการฟังการศึกษาไม่ได้เลย พระอริยสาวกในอดีตที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมก็เพราะได้อบรมเจริญวิปัสสนา ทั้งนั้น ครับ
คำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มีดังนี้
"พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงธรรม ที่พระองค์ทรงตรัสรู้เพื่อให้บุคคลอื่นได้เข้าใจถูกต้องตรงตามความเป็นจริงเช่นเดียว กับที่พระองค์ทรงตรัสรู้ หมายความว่า ควรรู้ หรือเข้าใจตั้งแต่ต้น ว่า พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของใคร ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนเรื่องอะไร ทรงสอนเรื่องความจริง หรือ สัจจธรรม ที่สามารถรู้ตาม จนถึงประจักษ์แจ้งความจริง และดับความไม่รู้ ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นของปัญญา เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนา จึงเป็นเรื่องของปัญญา ทั้งหมด
คำสอนในพระพุทธศาสนา ทั้งหมด ไม่ได้มีคำแนะนำให้ทำ แต่เป็นเรื่องของ บุคคลผู้ศึกษานั้นเอง ที่ควรเข้าใจตั้งแต่ต้นว่าตนเองได้รู้จักพระพุทธศาสนาแล้วหรือ ยังว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า ทรงสอนให้ เข้าใจสัจจธรรม ไม่ใช่สอนให้ทำ โดยที่ไม่ เข้าใจอะไรเลย ทรงสอนให้เข้าใจว่า ขณะนี้มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏซึ่งตั้งแต่เกิด จนตายก็เกิดดับสืบต่อตลอดเวลาไม่ขาดสาย แต่ไม่เคยรู้จักสภาพธรรมนั้นๆ ตาม ความเป็นจริงว่า สภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั้น คือ อะไร และ มีการยึดถือสภาพธรรม เหล่านั้น ว่าเป็น ตัวตน ซึ่งหากจะเข้าใจจริงๆ ว่า ขณะไหนเป็นเรา เป็นตัวตน ก็คือ เมื่อได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระองค์เมื่อได้ฟังแล้วเกิดความเข้าใจ ก็จะทราบตาม ความเป็นจริง ว่าไม่มีสิ่งที่เคยยึดถือว่า เป็นตัวตน เป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล มีแต่สภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อตามเหตุ ตามปัจจัย ซึ่งหมายถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ แต่ละขณะเท่านั้น"
การที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสม ความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ครับ
*สติปัฏฐาน เป็นการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตรงตามความเป็นจริง ซึ่งต้องมีลักษณะให้รู้ได้ นั่นหมายถึงสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม ตามข้อความในมหาสติปัฏฐานสูตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอารมณ์ของสติปัฏฐาน ได้แก่ กาย เวทนา จิต และธรรม เมื่อประมวลแล้ว ก็ไม่พ้นไปจาก จิต เจตสิก และ รูป ซึ่งมีจริงๆ ในขณะนี้ ดังนั้น อารมณ์ของสติปัฏฐาน จึงเป็นปรมัตถอารมณ์เท่านั้น เป็นธรรมที่มีจริง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน นอกจากปรมัตถอารมณ์แล้ว อย่างอื่น เช่น สมมติบัญญัติ เรื่องราว ต่างๆ ไม่ใช่อารมณ์ของสติปัฏฐาน
สิ่งที่ควรจะได้พิจารณาเป็นอย่างยิ่ง คือ กว่าจะถึงสติปัฏฐาน ต้องอาศัยการได้ฟังพระธรรมที่แสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ว่า เป็นธรรม ไม่ขาดการฟังการศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน
*สมาธิ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว เป็นเจตสิกประการหนึ่งที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด อารมณ์ คือ สิ่งที่จิตรู้ เมื่อจิตเกิดขึ้นต้องรู้อารมณ์ และ ก็จะต้องมีสมาธิซึ่งเป็นเอกัคคตาเจตสิกเกิดร่วมกับจิตทุกครั้งทุกขณะ ไม่เว้นเลย ตั้งมั่นในอารมณ์ที่จิตกำลังรู้ ดังนั้น ไม่ว่าจะนั่ง จะยืน จะนอน จะเดิน จึงไม่ปราศจากสมาธิเลย เพราะเกิดกับจิตทุกขณะ และที่ควรพิจารณาคือ สมาธิหรือเอกัคคตาเจตสิก เกิดกับอกุศล ก็เป็นอกุศลสมาธิ ไม่ควรเจริญ ไม่ควรประกอบ เพราะไม่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม มีปัญญาเป็นต้น มีแต่จะเพิ่มพูนความไม่รู้และอกุศลธรรมอื่นๆ ต่อไป
สมาธิที่ควรอบรม คือ สัมมาสมาธิ ซึ่งเป็นไปพร้อมกับการอบรมเจริญปัญญา (ภาวนา) ในชีวิตประจำวัน ภาวนาไม่ใช่การท่องบ่น แต่เป็นการอบรมเจริญปัญญา จากที่ยังไม่มีก็มีขึ้น เมื่อมีแล้วก็อบรมเจริญให้มีมากยิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งจะต้องตั้งต้นที่การฟังพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ
อีกคำหนึ่งที่ควรจะได้พิจารณา คือ ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การไปทำ เพราะเหตุว่า ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การไปทำอะไรที่ผิดปกติขึ้นมาด้วยความเป็นตัวตนหรือความติดข้องต้องการ แต่ธรรมเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของธรรม นั่นก็คือ สติ และ สัมปชัญญะ (ปัญญา) เกิดขึ้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ตามความเป็นจริง ซึ่งจะต้องอาศัยการฟัง การศึกษาพระธรรมสะสมความเข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมไปตามลำดับ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว การปฏิบัติถูกต้อง ย่อมมีไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นความเข้าใจถูก เห็นถูก จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องฟัง ต้องศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบ จึงจะเข้าใจ และที่สำคัญ พระธรรม ทั้งหมดเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก ซึ่งจะต้องค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ ที่สำคัญ คือ จะขาดการฟังพระธรรม ไม่ได้เลยทีเดียว
ข้อที่น่าพิจารณาอย่างยิ่ง คือ การทำสมาธิหรือนั่งสมาธิที่ทำตามๆ กันโดยไม่มีความเข้าใจความต่างกันของกุศลกับอกุศล นั่นเป็นอกุศลสมาธิ ไม่ใช่สมถภาวนาและวิปัสสนาแต่อย่างใด แต่เป็นมิจฉาสมาธิซึ่งเป็นไปพร้อมกับความติดข้อง ความไม่รู้และความเห็นผิด ครับ
... ยินดีในกุศลของคุณ Saifa และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...
ขอบพระคุณอาจารย์คำปันที่กรุณาตอบข้อสงสัยครับ