อ.สมพรตอบปัญหาธรรม (1)
โดย สารธรรม  6 ต.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 51110

เครื่องรางของขลังนั้น เนื่องมาจากศาสนาพราหมณ์ พวกพราหมณ์มาบวช ในศาสนาพุทธ ทำเครื่องรางของขลังขึ้นมา ในศาสนาของเราไม่ใช่อย่างนั้น เราสร้างพระพุทธรูปเพื่อเป็นการระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีปัญญาบริสุทธิ์ มีพระมหากรุณา และมีการสิ้นอาสวะกิเลส การสร้างพระพุทธรูป ไม่ใช่เป็นเครื่องรางของขลัง แต่เพื่อเป็นอนุสสติ ที่เรียกว่า พุทธานุสสติ


รับฟัง ...

อ.สมพรตอบปัญหาธรรม (1)

ทำไมพระชอบให้หวย ที่ท่านให้ ท่านรู้จริงหรือเปล่า

รู้จริงหรือเปล่า เป็นส่วนตัวของท่าน ถ้าจะให้ผมวินิจฉัย การที่จะรู้จริง รู้ยาก เรื่องให้หวย ฆราวาสชอบถามท่าน ท่านไม่มีอะไรพูด ท่านก็พูดไปโดยไม่ตั้งใจก็ได้ หรือตั้งใจให้ก็ได้ แต่ที่ถูกนั้น ท่านที่ถือเคร่งจริงๆ ท่านจะพูดสิ่งที่เป็นสาระ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเบียดเบียน ท่านจะต้องละสิ่งเหล่านี้ การให้หวย ถ้าไม่รู้จริงก็เป็นการพูดเพ้อเจ้อ ไม่เหมาะสม แต่ท่านรู้จริงหรือเปล่า ต้องไปถามท่าน

เครื่องรางของขลังช่วยเราได้จริงไหม

เครื่องรางของขลังนั้น เนื่องมาจากศาสนาพราหมณ์ พวกพราหมณ์มาบวช ในศาสนาพุทธ ทำเครื่องรางของขลังขึ้นมา ในศาสนาของเราไม่ใช่อย่างนั้น เราสร้างพระพุทธรูปเพื่อเป็นการระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ถ้าเราไม่เห็นพระพุทธรูปเราก็ ไม่สามารถระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าได้ว่า พระพุทธเจ้ามีปัญญาบริสุทธิ์ มีพระมหากรุณา และมีการสิ้นอาสวะกิเลส

การสร้างพระพุทธรูป ไม่ใช่เป็นเครื่องรางของขลัง แต่เพื่อเป็นอนุสสติ ที่เรียกว่า พุทธานุสสติ ถ้าเรานึกว่าเป็นเครื่องรางของขลัง ก็ไม่ใช่ลัทธิ ในพระพุทธศาสนา ควรจะระลึกว่าเป็นอนุสสติ คือ เป็นเครื่องเตือนให้เราระลึกถึง คุณของพระพุทธเจ้า กุศลก็เกิด เมื่อกุศลเกิดแล้ว กุศลนั้นสามารถห้ามอกุศลได้บางอย่าง ไม่ใช่ว่าห้ามได้ทั้งหมด อกุศลที่มีกำลังไม่มีใครห้ามได้ เช่น ท่าน พระมหาโมคคัลลานะ ท่านมีของดียิ่งกว่าเครื่องรางของขลัง ท่านก็ยังถูกโจรทุบตาย อย่างเราเครื่องรางของขลังนิดหน่อยจะไปห้ามอกุศลวิบาก ห้ามไม่ได้

ใครเป็นคนแรกที่คิดให้มีการสวดมนต์ขึ้น

การสวดมนต์ของเราก็มี ของพราหมณ์ก็มี ของเหล่านี้เกิดมาเนื่องจากการศึกษาเล่าเรียน คือ เป็นพวกๆ หมายถึงว่าพวกหนึ่งศึกษาพระวินัย พวกหนึ่งศึกษาพระสูตร พวกหนึ่งศึกษาพระอภิธรรม ก็ท่องเพื่อจะรักษาพระพุทธศาสนาไว้ สวดเพื่อรักษาพระพุทธศาสนา ต่อๆ มาเราสวดไม่ได้ทั้งหมด เราก็เลือกข้อใดข้อหนึ่ง เพื่อเป็นเครื่องเตือนให้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ อย่างภิกษุหรืออุบาสกอุบาสิกาที่ทำวัตรเช้าเย็น เป็นการระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์

คนที่ตายแล้วไปสู่สุคติ อยากทราบว่า สุคติคืออะไร

สุคติภูมิ คือ ภูมิที่มีความสุข ซึ่งสุขก็ไม่เท่ากัน สุขน้อย สุขมาก

สุคติ มี ๗ คือ มนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖ ชั้น พรหมโลกยังไม่ต้องพูดถึง พูดถึง สุคติภูมิจริงๆ มี ๗ สุขก็ไม่เท่ากัน มนุษย์บางพวกก็มีความสุขมาก บางพวกก็มีความสุขน้อย แต่ก็จัดอยู่ในความสุข เทวดา ๖ ชั้น ก็มีความสุขประณีตขึ้นไปใน แต่ละชั้น

สุคติคืออะไร ก็คือ ภูมิที่ไปเกิดแล้วมีความสุข

ต้นงิ้วในเมืองนรกเหมือนในเมืองมนุษย์ไหม

ต้นงิ้วตามที่อรรถกถาอธิบายไว้ คือ ต้นงิ้วในเมืองนรกมีหนามยาวมาก ๑๖ องคุลี เกิดจากวิบากกรรมที่ทำผิดศีลธรรมในภรรยาผู้อื่น แต่ต้นงิ้วในเมืองมนุษย์หนามไม่ยาวขนาดนั้น หนามต้นงิ้วในเมืองนรกนั้นคมเหมือนเหล็กคม ในเมืองมนุษย์ ก็สั้นๆ ในเมืองมนุษย์เราไม่ขึ้นก็ได้ แต่ในนรก ถ้าเราทำบาปกรรม เราต้องขึ้นต้นงิ้ว

นรกมีจริง นรก คือ ภูมิที่ให้ความทุกข์ตลอดกาล ไม่มีความสุขเลย นะ - ระ - กะ แปลว่าปราศจากความสุข

พระสังฆราชองค์ปัจจุบัน เมื่อสิ้นพระชนม์แล้วจะเกิดอีกไหม ถ้าเกิด เป็นอะไร

ถ้าพระสังฆราชยังมีกิเลสอยู่ ก็ยังต้องเกิด หรือยังไม่บรรลุพระอรหันต์ ก็ยังต้องเกิด การที่จะเกิดเป็นอะไร ถ้าจิตก่อนจะตายเป็นอกุศลก็ไปเกิดในอบายภูมิ ถ้าจิตก่อนจะตายเป็นกุศลก็ไปเกิดในสุคติภูมิ และเราก็ไม่รู้ว่า ก่อนจะตายท่านมีอะไรเป็นอารมณ์ แต่เข้าใจว่าท่านต้องมีกุศล เพราะท่านสั่งสมกุศลมามาก

คนนั่งสมาธิบอกว่า จิตออกจากร่าง จะเป็นความจริงหรืออุปาทาน

ในพระพุทธศาสนาไม่มีคำว่า จิตออกจากร่าง จิตอยู่กับรูป รูปเกิดจิตก็เกิด ถ้าจิตออกจากร่างจริง ก็เป็นการตายไปเกิดในภพใหม่ คือ ในปัญจโวการภูมิ ภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิตกับรูปจะไม่จากกันเลย มีแต่ลัทธิภายนอก ลัทธิพราหมณ์ บอกว่า เมื่อนั่งสมาธิทำฌานแล้ว จิตออกไปได้ นั่นเป็นลัทธิภายนอก ในพระพุทธศาสนา ไม่มีจิตออกจากร่าง จิตก็อยู่ที่ร่างนี่แหละ ไม่ไปไหนเลย ถ้าแยกจากกันเมื่อไร ก็เป็นการตาย จึงจะแยกออกจากกันได้

มีบางคนไปยังสถานที่บางแห่ง มีจิตรู้สึกว่าเหมือนตัวเองเคยมา

เป็นความคิดนึก บางครั้งก็บอกว่า เหมือนฝันไป ความฝันไม่ใช่ของจริง เราจะไปสนใจอะไรมากมาย ของจริงที่ปรากฏนี้น่าสนใจมากกว่า ของจริงคืออะไร ก็คือสิ่งที่ปรากฏทางตา ปรากฏทางหู รู้ของจริงอย่างนี้มีประโยชน์กว่า สิ่งที่ไม่ใช่ ของจริง เราก็ตัดออกไป เสียเวลา

ที่พูดกันว่า พ่อแม่ทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นย่อมตกทอดถึงลูก เป็นความจริงหรือไม่ อย่างไร

กรรมนั้น ความบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ มีเฉพาะตัว ใครทำความไม่ดี คนนั้นก็ได้รับผลของกรรมไม่ดี ใครทำกรรมดีก็ได้รับผลของกรรมดี อย่างบาลีที่ว่า สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง ความบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ มีเฉพาะตัว ทำให้กันไม่ได้ หมายความว่า เราทำกรรมอย่างนี้ เช่น เราฆ่าสัตว์ตัดมือลิง ลูกออกมา ลูกไม่มีมือ ที่เขาบอกว่า พ่อแม่ทำกรรมแล้ว กรรมนั้นตกถึงลูก ไม่เป็นความจริง

ที่จริงแล้ว พ่อทำกรรมอย่างนี้ ลูกก็ทำกรรมอย่างนี้เหมือนกัน กรรม ๒ อย่างนี้เป็นประเภทเดียวกันก็มาเจอกันได้ คนทำกรรมที่ตัดมือลิงอาจจะไม่มีในประเทศไทย อาจมีในนอกประเทศ หรือในจักรวาลอื่นก็ได้ ก็มาเกิดกับคนนี้ เปรียบเหมือนฝูงโคก็เข้าคอกโค ฝูงควายก็เข้าคอกควาย หรือเราดื่มสุราเราก็ไปหาคนดื่มสุราด้วยกัน เรารักษาศีลก็ไปอยู่วัด หรือไปหาคนที่รักษาศีลเหมือนกัน คือ พวกไหนก็ไปอยู่กับ พวกนั้น คนทำกรรมประเภทเดียวกันคือฆ่าตัดมือลิง ลูกก็ทำกรรมประเภทเดียวกัน คือฆ่าตัดมือลิงหรือตัดมือคนอื่นก็ได้ ประเภทเดียวกัน ก็มาอยู่ด้วยกัน มาอยู่รวมกัน เป็นเหตุให้คนเข้าใจผิดว่า ตัวเองทำกรรมแล้ว กรรมนั้นตกถึงลูก นี่เป็นความเห็นผิด

ถ. ผมอยู่ในสถานที่กันดาร พระสงฆ์ไปบิณฑบาตไม่ถึง ได้แต่ทำอาหารบูชาข้าวพระพุทธรูปในบ้านทุกๆ เช้า มิได้ขาด จะได้อานิสงส์อะไรบ้าง จะได้บุญไหม และเมื่อบูชาข้าวพระแล้ว ก็สวดมนต์หลายบท และกรวดน้ำแผ่กุศล จะได้อานิสงส์อะไรบ้าง หรือไม่ได้ เหมือนกับเราใส่บาตรหรือไม่

สมพร การที่เราถวายข้าวพระ ถ้าเราคิดว่าบูชาคุณ คือ นึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ให้พระพุทธรูปฉันอาหาร เป็นการบูชา บูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน ด้วยอาหาร ด้วยสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นของดี เราบูชาระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า เป็นผู้รู้คุณของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีบุญคุณแก่เรามากมาย สอนเราทุกอย่าง ทุกแง่ทุกมุม ยิ่งกว่าครูอาจารย์สอน ยิ่งกว่าพ่อแม่สอน ใครจะสอนยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าในโลกนี้ไม่มี เพราะฉะนั้น เมื่อเราระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า เราไม่มีอะไรที่จะสักการะ เรามีดอกไม้ธูปเทียน หรือมีอาหารไปบูชา การบูชานั้นไม่ไร้ผล ได้อานิสงส์เหมือนกัน

สวดมนต์ก็เป็นการระลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การสวดมนต์ ถ้าจิตเราเป็นกุศลจริงๆ เราก็ได้กุศล แต่ถ้าปากเราว่า นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต แต่จิตเราไปไหนแล้ว ตั้งนะโม ๓ จบ ยังจำไม่ได้ว่ากี่จบแล้ว ใจมันเร็ว ปากว่าไปแล้ว ใจคิดไปร้อยแปดพันเก้า เป็นการท่อง จิตฟุ้งซ่าน อย่างนี้เป็นอกุศล ถ้าจิตไม่ฟุ้งซ่าน แม้ไม่สวดมนต์ เช่น ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้า มีคุณกับเราอย่างไร และเรายกมือไหว้ ก็ได้กุศลแล้ว เพราะฉะนั้น แล้วแต่จิตของเราในขณะนั้น

และที่ถามว่า จะเหมือนกับการใส่บาตรหรือไม่

กุศลทุกอย่างอยู่ที่จิตเป็นใหญ่ ที่เหมือนกันคือเป็นกุศล ที่ไม่เหมือนกัน คือ ยิ่งหย่อนกว่ากัน [ตอนที่ 1844]