ปีติ 5 ประเภท
โดย nattawan  28 พ.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 50052

. ส่วนมากคนแก่เวลาทำบุญ มักจะกล่าวว่า มีปีติถึงกับร้องไห้ จนกระทั่งเราจำมาเป็นข้อปฏิบัติว่า ถ้าเราทำบุญแล้วมีปีติ จะต้องน้ำตาไหล ไม่ทราบว่า ปีติกับน้ำตาไหล เป็นของคู่กัน หรือไม่ใช่ของคู่กัน

สุ. ปีติมี ๕ อย่าง แต่ต้องเป็นผู้ที่สังเกตด้วยสติปัฏฐานจึงจะรู้ว่า ขณะนั้นหลอกตัวเองหรือเปล่า เพราะกิเลสหลอกเก่ง ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกตัวเอง แต่กิเลสนั่นเองทำกิจของกิเลสด้วยประการต่างๆ แม้แต่การหลอกตัวเอง อย่างเช่น ทำบุญและอยากจะปีติจนถึงกับน้ำตาไหล เพราะได้ยินได้ฟังมาว่า ถ้าปีติมากๆ ก็น้ำตาไหล ในขณะที่น้ำตาไหล ลองสังเกตดูว่า ด้วยปีติจริงๆ หรืออยากจะปีติจนน้ำตาไหล เพราะฉะนั้น ในขณะที่น้ำตาไหล หลอกตัวเองบ้างหรือเปล่า

. ก็มีความรู้สึกปีตินะ แต่ตอนที่น้ำตาไหลผมคิดว่า เป็นโทมนัสเวทนามากกว่า ใช่ไหม

สุ. ใช่ และไม่ควรจะพยายามให้มีปีติขั้นนั้นขั้นนี้ ควรเป็นไปตามความ เป็นจริง บางครั้งทำกุศลอาจจะไม่ค่อยปีติเท่าไร ก็เป็นเรื่องจริง ข้อสำคัญที่สุด คือ เป็นจริงอย่างไรก็เป็นผู้ตรงต่อลักษณะของสภาพที่เป็นจริงอย่างนั้น มิฉะนั้นแล้วโลภะจะเสแสร้งอีก เพราะอาการเสแสร้งต่างๆ เป็นลักษณะของโลภะทั้งหมด ต้องมีความปรารถนาอย่างหนึ่งอย่างใดแอบแฝง จึงสามารถทำให้เกิดกิริยาอาการต่างๆ อย่างนั้นได้ แต่ถ้าไม่ต้องการที่จะปีติจนถึงกับน้ำตาไหล อาจจะได้ของจริง คือ ปีติ ขั้นใดกำลังปรากฏ ก็รู้ลักษณะของปีติขั้นนั้นจริงๆ

และถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ขั้นน้ำตาไหล แต่เป็นขั้นที่มีความปลาบปลื้มใจ ซึ่งนั่น ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ไม่ต้องพยายามไปทำให้ถึงกับน้ำตาออกมา ถ้าไม่เป็นตามความเป็นจริง

ขอกล่าวถึงลักษณะของปีติเพื่อจะได้พิจารณาว่า เวลาที่กุศลจิตเกิดและมี ความปีติปลาบปลื้มเกิดขึ้นนั้น จะมีลักษณะอย่างไร ซึ่งข้อความใน อัฏฐสาลินี จิตตุปปาทกัณฑ์ อธิบายความหมายของปีติว่า

สภาพธรรมที่ชื่อว่าปีติ เพราะเอิบอิ่มปีตินั้น

สัมปิยายนลักขณา มีการชื่นชมยินดีเป็นลักษณะ

กายจิตตปีนนรสา ผรณรสา วา มีการทำกายและจิตให้เอิบอิ่มเป็นรสะ หรือว่าซาบซ่านไปเป็นรสะ คือ เป็นกิจ

โอทัคยปัจจุปัฏฐานา มีการฟูกายและใจเป็นปัจจุปัฏฐาน คือ เป็นอาการปรากฏ

ก็ปีตินั้น มี ๕ อย่าง คือ

ขุททกาปีติ ขณิกาปีติ โอกกันติกาปีติ อุพเพงคาปีติ ผรณาปีติ

บรรดาปีติเหล่านั้น ขุททกาปีติสามารถเพื่อทำเพียงขนในร่างกายให้ชูชันเท่านั้น

คือ เวลาปีติมากๆ อาจจะขนลุก

ขณิกาปีติ ย่อมเป็นเช่นกับความเกิดขึ้นแห่งฟ้าแลบขณะหนึ่งๆ

โอกกันติกาปีติ ก้าวลงสู่กายแล้ว ครั้นก้าวลงแล้วก็แตกไปเหมือนคลื่นที่ ฝั่งสมุทร

อุพเพงคาปีติ เป็นปีติมีกำลัง ทำกายให้ฟูขึ้นถึงการลอยไปในอากาศได้

ผรณาปีติ เกิดขึ้นแล้วก็แผ่ไปสู่สรีระทั้งสิ้น เหมือนถุงที่เต็มด้วยลม

เพราะฉะนั้น เวลาที่เกิดดีใจมาก ปลาบปลื้มปีติ ควรจะพิจารณาว่า ขณะนั้นเป็นปีติในลักษณะใด ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีปีติมากมายก็ได้ เพียงรู้สึกดีใจนิดหน่อย ลักษณะอาการของปีติก็ไม่ได้ปรากฏเหมือนอย่างนี้ นอกจากว่าเมื่อปีติมีกำลังมากขึ้น เช่น ในการอบรมเจริญสมถภาวนา หรือวิปัสสนาภาวนา ก็จะมีลักษณะของปีติที่มีกำลังเพิ่มขึ้นได้ แต่ถ้าเป็นปกติในชีวิตประจำวันที่ดีใจเล็กๆ น้อยๆ ก็ลองพิจารณาดูว่า ปีติจะถึงขั้นเหล่านี้หรือเปล่า หรือว่าเป็นเพียงความเอิบอิ่ม ความอิ่มอกอิ่มใจ

และไม่ว่าจะเป็นปีติที่เกิดกับโลภมูลจิตซึ่งเป็นอกุศล หรือปีติที่เกิดกับ มหากุศลจิต ก็เป็นสภาพลักษณะที่มีความเอิบอิ่ม รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจเวลาได้สิ่งที่พอใจ นั่นเป็นลักษณะของปีติที่เกิดกับโลภมูลจิตที่เป็นอกุศล แต่เวลาที่ทำกุศล บางครั้งรู้สึก เอิบอิ่มใจมาก ในขณะนั้นก็เป็นลักษณะของปีติ น้ำตาไหลหรือเปล่าขณะที่กำลัง เอิบอิ่ม ความจริงแล้ว หน้าตาน่าจะชื่นบานมากกว่าที่น้ำตาจะไหล

แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1379



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 28 พ.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 2    โดย Wisaka  วันที่ 30 พ.ค. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย nattawan  วันที่ 31 พ.ค. 2568

ยินดีในกุศลจิตค่ะ